Skip to main content

 


 

แล้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และ เป็นนายกหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของเมืองไทย และเป็นคนที่ 52 ของโลก อย่างสมบูรณ์ โดยได้รับการโหวตเสียงจากที่ประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 296 เสียง ไม่เห็นด้วย 3 เสียง และงดออกเสียง 197 เสียง ก่อนจะได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ในวันที่ 8 สิงหาคม 2554 เวลา 18.40 น. ณ บริเวณตึกชั้น 7 ที่ทำงานพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางความยินดีของคนจำนวนมากมาย ที่สนับสนุนคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย
 
โดยเฉพาะคนเสื้อแดง ที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา และด้วยเลือดและชีวิตของคนเสื้อแดง 90 กว่าศพ บาดเจ็บอีกกือบ 2,000 คน ซึ่งอาจกล่าวได้อีกว่า เป็นราคาของเสียงชนบทที่จ่ายให้แก่พรรคที่เขาเลือก ด้วยราคาที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของเมืองไทย อีกเช่นกัน
 
ครับ
ผมขอแสดงความยินดี แด่ คุณยิ่งลักษณ์ด้วยอีกคนหนึ่ง แต่มิใช่ในฐานะของคนเสื้อแดง หรือในฐานะคนบ้านเดียวกัน เพราะผมมิใช่คนท้องถิ่นนิยม แต่ในฐานะคนๆหนึ่ง ที่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง ต่อชัยชนะอันงดงามและควรแก่การภาคภูมิใจของคุณยิ่งลักษณ์ เท่านั้น
 
ส่วนก้าวต่อไปของคุณยิ่งลักษณ์
ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลผู้บริหารประเทศ ที่ใครต่อใครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันเป็นภาระอันหนักหนาสาหัส ซึ่งผมก็เห็นด้วยทุกประการ โดยเฉพาะความเห็นจาก ดร.เอนก ธรรมทัต ที่กล่าวเอาไว้ในบทสัมภาษณ์ในหนังสือสารคดี ฉบับเดือนตุลาคม ปี 2543 ที่ผมนำมาลงในตอนที่แล้วว่า คนที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆนั้น ถึงแม้อำนาจการชี้ขาดในการได้รับเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาลจะอยู่ที่เสียงประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นคนชนบท แต่เมื่อก้าวมาถึงขั้นตอนเป็นรัฐบาลแล้ว การอยู่รอดของรัฐบาลกลับมิได้อยู่ที่คะแนนเสียงส่วนใหญ่ เช่น รัฐบาลของประเทศอเมริกา ที่ไม่ต้องแคร์คนชั้นกลาง ที่หมายถึงนักคิด นักวิชาการ และสื่อต่างๆของคนชั้นกลาง หรือม็อบใดๆทั้งสิ้น เพราะคนส่วนนี้ไม่สามารถที่จะล้มรัฐบาลได้ ตราบใดที่เสียงส่วนใหญ่ยังสนับสนุนเขาอยู่ เขาก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้
 
แต่ประชาธิปไตยแบบไทยๆในบ้านเรา คนชั้นกลางเขาสามารถล้มรัฐบาลได้ อย่างที่เรารู้ๆเห็นๆกันจนเป็นเรื่องธรรมดา  และนอกจากคนชั้นกลางแล้ว ในบ้านเมืองเรา ยังมีอำนาจพิเศษนอกระบบ มี NGO อีกมากมายหลายองค์กรที่เป็นผู้นำสังคมกลุ่มต่างๆต่อสู้กับปัญหาที่ไม่สามารถพึ่งพารัฐได้ ร่วมอยู่ด้วย และต่างก็มีพลังที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลได้เช่นกัน (อำนาจพิเศษและ NGO เป็นข้อมูลที่ผมเพิ่มเติม เพราะเป็นความจริงที่มีอยู่)
 
และที่ผ่านๆมา คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ นอกจากคะแนนเสียงท่วมท้นจากคนเสื้อแดงแล้ว สื่อดังกล่าวบางสื่อ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์บางสำนักที่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนอย่างกว้างขวาง แต่ได้เสื่อมศรัทธาต่อรัฐบาลอภิสิทธ์ แล้วหันมาเชียร์คุณยิ่งลักษณ์ และโจมตีคุณอภิสิทธ์ ก็เป็นพลังอันมหาศาลที่ชักนำเอาคะแนนเสียงจากส่วนอื่นๆ มาทุ่มเทให้คุณยิ่งลักษณ์เป็นจำนวนมิใช่น้อย นี่แหละ คืออำนาจของสื่อในบ้านเรา โดยเฉพาะสื่อของคนชั้นกลางที่เป็นสื่อกระแสหลัก
 
โดยข้อเท็จจริงดังกล่าว
ผมจึงเห็นด้วยกับท่านดร.เอนก ที่เปรียบเปรยเอาไว้อีกว่า การเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยนั้น มีความเสี่ยง เหมือนนักเล่นกายกรรมไต่เส้นลวด ที่ต้องคอยประคับประคองทรงตัวเอาไว้ให้ดี นั่นคือ ต้องบริหารประเทศให้เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย คีอ คนชนบทที่จัดตั้งรัฐบาล คนชั้นกลางในเมือง อำนาจพิเศษนอกระบบ และ NGO ให้สมดุลกัน จึงจะอยู่รอดปลอดภัยได้
 
อีกประการหนึ่งที่เป็นจุดอ่อนที่สำคัญ ที่จะทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถูกทำลายได้ง่าย ก็คือ เมื่อขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้ว ทำให้คนจับได้ว่า แท้จริงแล้วเข้ามาเพื่อช่วยคุณทักษิณ ซึ่งอยู่เบื้องหลังคอยเป็นผู้กำกับรัฐบาลนี้ แต่จะน้อยหรือมากจนคุณยิ่งลักษณ์กลายเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดหรือไม่ คงต้องดูชะตากรรมของคุณยิ่งลักษณ์กันต่อไป ดังที่ทีมการเมืองของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสื่อที่เป็นกลางในทางการเมือง ฉบับ 7 หน้า 3 ฉบับ 7 ส.ค. 54 ได้ชี้ชัดเอาไว้อย่างสมเหตุสมผลในท้ายบทความที่ชื่อว่า “โฉมหน้าครม.บ่งชี้เจตนา” ดังนี้
 
“หากมองย้อนกลับไปในยุคของพรรคพลังประชาชน ที่มี “ทักษิณ” เป็น “นายใหญ่” นายใหญ่ สั่งการ เมื่อมีการเลือกตั้งครั้งแรกหลังการรัฐประหารพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทั้งนาย สมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้นั่งเก้าอี้นายกฯ
 
แต่รัฐบาลทั้งยุคของนายสมัคร  และ นายสมชาย ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้ แถมยังเพิ่มปัญหาจนเกิดการชุมนุมต่อต้าน ถูกยุบพรรค เกิดการพลิกขั้วทางการเมืองต้องไปเป็นฝ่ายค้าน
นั่นก็เป็นเพราะ “ความใจร้อน” ของ “ทักษิณ” ที่ต้องการปลดพันธนาการให้ตัวเอง เร่งเครื่องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเดินไปสู่การนิรโทษกรรม
 
วันนี้ เมื่อมาถึงรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ภายใต้การกำกับของ “ทักษิณ” ก็ต้องรอดูกันว่า เขาจะใช้กลยุทธวิธีแบบเดิมๆ หรือจะนำบทเรียนที่เคยได้รับมาปรับยุทธวิธี เพราะต้องไม่ลืมว่า การที่ประชาชนหลายส่วนผสมกันเทคะแนนเลือกพรรคไทยรักไทยจนได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ไม่ใช่เพราะทุกคะแนนอยากให้ “ทักษิณ” กลับบ้าน
 
อย่าตีความเข้าข้างตัวเอง
 
แต่เป็นเพราะสังคมส่วนใหญ่อยากให้โอกาสแก่ประเทศ อยากให้รัฐบาลชุดใหม่เขามาแก้ไขปัญหาประเทศ เพื่อให้เกิดความสงบสุข
ฉะนั้นถ้า “ทักษิณ” กำกับบทให้รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” มุ่งแก้ปัญหาประเทศก่อน ประวัติศาสตร์คงไม่ซ้ำรอย แต่ถ้าเร่งปลดล็อกพันธนาการให้ตัวเองก่อน กงล้อประวัติศาสตร์ก็อาจซ้ำรอยเดิม”
 
ครับ
ผมได้แต่หวังเอาไว้ว่า คุณยิ่งลักษณ์ คงจะรู้และตระหนักดีว่า คะแนนเสียงส่วนใหญ่ในบ้านเมืองเราที่เป็นเสียงจากคนชนบทนั้น มีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย ก็เพียงแค่ตอนลงคะแนนเสียงเลือกคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นรัฐบาลเท่านั้น 
 
แต่อำนาจ ที่จะทำให้รัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์อยู่ได้หรือไม่ได้ อยู่ที่กำมือของคนชั้นกลาง เพราะพวกเขามีสื่อ หนังสือพิมพ์ วิทยุ ทีวี ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสื่อราคาแพงและเต็มไปด้วยพลังในการสื่อสารชวนเชื่อ รวมทั้งอำนาจพิเศษ และ NGO ที่คุณยิ่งลักษณ์จะต้องรับฟังความคิดเห็น และข้อเรียกร้องจากทุกฝ่าย
 
ที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้มนุษย์สามารถทรยศหักหลัง และลงมือฆ่ากันได้เหมือนผักเหมือนปลา แม้แต่พี่น้องที่คลานออกมาจากท้องแม่เดียวกัน ตั้งแต่ระดับปัจเจกชนไปจนถึงระดับสังคม ก็คือเรื่องผลประโยชน์ทั้งที่เป็นวัตถุธรรมและนามธรรม นั่นคือ คุณจะต้องจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์โดยชอบธรรม ให้ทุกฝ่ายเขาได้...ในสิ่งที่เขาควรจะได้ ตามหน้าที่ของรัฐบาล ที่ถือว่าเป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศเขาฝากความหวังเอาไว้
 
แทนที่จะเสียเวลาไปทะเลาะหรือคิดกำจัดฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว เราต้องยอมรับว่า เดี๋ยวนี้เมืองไทย มิได้ขึ้นอยู่กับอำนาจผูกขาดของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่จะทำอะไรง่ายๆตามใจตัวเองได้ โดยไม่แคร์ต่อผลกระทบกับส่วนอื่นๆ ที่ต่างดำรงอยู่ในโครงสร้างเดียวกัน อีกต่อไป
 
 เพราะเพียงแค่ จะช่วยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ให้แก่ผู้ใช้แรงงาน เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท แก่ผู้แรกเริ่มเข้าบรรจุ รัฐก็ยังต้องไปงอนง้อต่อรอง...ขอจากฝ่ายทุนมาเจือจุนให้แรงงาน และผู้จบปริญญาตรี กลายเป็นเรื่องราววุ่นวายใหญ่โต...ไม่รู้จบมาจนถึงบัดนี้ ทั้งๆที่เขาก็รู้ว่าค่าแรงแค่นั้น เงินเดือนแค่นั้น แทบจะไม่พอยาไส้มนุษย์...ตามสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจสังคมอันโหดร้ายในปัจจุบัน ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก   
 
และนับตังแต่วัน ที่คุณยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกฯ เป็นต้นไป นอกจากนโยบายที่คุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยได้หว่านเอาไว้ในตอนหาเสียงแล้ว ยกเว้นคะแนนเสียงจากชนบท คนชั้นกลางที่เต็มไปด้วยอำนาจในการส่งเสริมและทำลายรัฐบาล โดยผ่านขบวนการสื่อสารมวลชน รวมทั้งอำนาจพิเศษ ม็อบมีเส้น NGO พันธมิตร ASTV และรัฐบาลตัวแทนของทุนและอำนาจเก่า ที่พลิกขั้วกลับไปเป็นฝ่ายค้านที่น่าสะพรึงกลัว เขากำลังจ้องดูว่า คุณกำลังเข้ามาเพื่อช่วย ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของคุณให้หลุดพ้นจากพันธนาการ ใช่หรือมิใช่
 
นั่นหมายความว่า ก้าวแรกของคุณยิ่งลักษณ์ ซึ่งย่อมมิใช่ในฐานะนักบริหารธุรกิจเอกชน แต่ในฐานะนายกรัฐมนตรีของคนทั้งประเทศ จะต้องก้าวข้ามปมปัญหาส่วนตัวพวกนี้ไปให้พ้น แล้วเข้าไปต่อสู้กับปัญหาเพื่อส่วนรวมทุกภาคส่วนให้ได้เสียก่อน นี่ คือคำตอบที่ดีที่สุด...ที่ใครๆก็มองเห็น ถ้าหากคุณยิ่งลักษณ์ไม่ปล่อยให้อคติอย่างใดอย่างหนึ่งมาบดบัง และต้องทำให้ดีที่สุด เพียงประการเดียว เท่านั้น เพราะนี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะต้องทำ เพราะมันยังจะเป็นเกราะป้องกันภัยที่ดีที่สุดของคุณด้วย
 
ถ้าหากคุณยิ่งลักษณ์ ไม่อยากถูกผลักตกลงมาจากเส้นลวดที่คุณกำลังไต่ เจ็บ...และไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย ทั้งโดยส่วนตัวและส่วนรวม เหมือนอย่างที่คุณทักษิณได้รับบทเรียนมาแล้ว...อย่างแสนสาหัส เพราะเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป และไม่ยอมฟังเสียงจากใครเลย...
 
แม้ว่าหน้าตา ของคณะรัฐมนตรีในสายตาของสื่อจะสะท้อนออกมาว่า ยังดูไม่ค่อยดี เมื่อเทียบกับหน้าตาอันสวยสดของท่านนายกฯ เพราะเขามองกันว่า ยังหนีไม่พ้นการนำเอาคนของญาติและพวกพ้องมานั่งเก้าอี้ เหมือนที่พรรคเคยทำมาเมื่อปี 49 และ 50 มิหนำซ้ำยังวางตัวบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งที่สำคัญผิดฝาผิดตัว และทำนายกันว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1ยากจะอยู่ได้นาน เพราะความไม่ค่อยงามในเรื่องนี้ จะทำให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เป็นเสมือนคำปรามาสและท้าทาย ที่ขัดแย้งกับเจตจำนงในคำแถลงการณ์ของคุณยิ่งลักษณ์ หลังจากรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ว่า
 
“อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่ทั้งหมดมิใช่อุปสรรคขวางกั้นมิให้ทำงาน พร้อมที่จะอุทิศตัวเองด้วยความทุ่มเท เสียสละ อดทน ทำงานแข่งกับเวลา ไม่เกรงต่อความยากลำบากใดๆ การได้รับโอกาสครั้งนี้เป็นพันธะสัญญาทางใจ ที่ตอกย้ำว่ามีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ จะจดจำเจตจำนงและเหตุผลของการเข้ามารับใช้แผ่นดินเกิดในครั้งนี้ ด้วยความภาคภูมิใจในความรักของประชาชน และจะสร้างการทำงานอย่างมีเป้าหมาย ‘ใช้ความเป็นมืออาชีพ สร้างสุข สลายทุกข์’ ให้พี่น้องประชาชนอย่างสุดความสามารถ และนี่เป็นสัญญาที่ไม่ได้ทำเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ทำเพื่อประเทศไทยของเราทุกคน”
 
ครับ
ด้วยความปรารถนาดี ผมจะเฝ้าคอยดู และเอาใจช่วยคุณยิ่งลักษณ์พิสูจน์ตัวเองด้วยนโยบาย ที่ถือว่าเป็นการชี้ชัดอย่างถึงที่สุด ซึ่งคุณก็ได้แสดงท่าทีเกี่ยวกับนโยบายอย่างชัดเจนเอาไว้ในบทสรุปของคำแถลงการณ์ว่า
‘ใช้ความเป็นมืออาชีพ สร้างสุขสลายทุกข์’ ให้พี่น้องประชาชนอย่างสุดความสามารถ
และนี่เป็นสัญญา ที่ไม่ได้ทำเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  แต่ทำเพื่อประเทศไทยของเราทุกคน.
  
10 สิงหาคม 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
 
 
 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตเอย เหตุใดเล่า เจ้าจึงเศร้าโศกเสียใจร้องไห้คร่ำครวญ ให้กับบางสิ่งที่เจ้าได้สูญเสียมันไป เหมือนนมที่หกออกจากแก้วไปแล้ว...ตกลงบนพื้นดิน วันแล้ววันเล่า ไม่รู้จักจบสิ้น  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
12 เมษายน 2545 วันครบรอบวันเกิด...ที่แสนจะเจ็บปวด ขณะนั่งรถจักรยานยนต์ออกตรวจพื้นที่กับคู่หู ขับรถผ่านไปทางบ้านพ่อแม่ผู้พัน นายเก่าที่มาหยิบยืมเงินเราแล้วไม่ยอมใช้คืน เมื่อสองสามปีที่แล้ว พอเจอหน้า จอดรถจะเข้าไปถาม นายกลับรีบเดินหนี อนิจจา ! นายเอ๋ยนาย...ดอกไม่ต้องขอเพียงแค่ต้นคืนได้ไหม...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  7   ครับ รายละเอียดเรื่องราวของเขา ที่ผมอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน เริ่มปรากฏอยู่ในบันทึกหน้านี้นี่เอง และเมื่อหยิบหน้าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ที่เขาถ่ายสำเนาจากหนังสือนิตยสาร “ชีวิตรัก” มาให้ผม ซึ่งเป็นหน้า คอลัมน์ - ในช่วงที่เขาได้แบกเป้ออกไปตะลอนทัวร์ ช่วยคุณวนัสนันท์ ตามที่เขาตั้งปณิธานเอาไว้ออกมาอ่าน เพื่อทำความรู้จักทั้งคอลัมน์และตัวตนของคุณวนัสนันท์ ที่นำมือแห่งความเมตตาของคุณวรรณและคุณแขคนไทยในต่างประเทศ มาฉุดเขาขึ้นมาตจากขุมนรกอันลึกล้ำดำมืดแห่งหนี้สิน และมือแห่งความเมตตาอีกมากมายที่หลั่งไหลติดตามมา... ผมพบว่าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ของคุณวนัสนันท์…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
6 หลังจากงานศพของพ่อแล้ว เขาก็เริ่มตกเข้าไปอยู่ในวังวน - ของการหมกมุ่นครุ่นคิด...เป็นทุกข์อยู่กับหนี้สินอีก และพยายามต่อสู้กับตัวเองอย่างถึงที่สุด ระหว่างการคิดทำลายตัวเองตามพ่อไป เพื่อหนีความทุกข์ปัญหาอันหนักหนาสาหัส และการพยายามคิดหาเหตุผลต่างๆนานาที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
30 ตุลาคม 2539 วันนี้ นายเรียกข้าราชการตำรวจทั้งโรงพักมาประชุม เพื่อร่ำลาไปรับตำแหน่งใหม่ เห็นพวงมาลัย...ที่นายดาบหัวหน้าสายแต่ละสาย เตรียมมาให้นายแล้ว ได้แต่นึกเสียดาย... ท่านมากอบโกย...แล้วก็ไป
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  3. เขากลับกรุงเทพฯไปได้หนึ่งอาทิตย์กว่าๆ ผมก็ได้รับกล่องพัสดุขนาดใหญ่ หนักเกือบสองกิโลกรัมจากเขา เมื่อแกะกล่องออกมา ผมก็พบแฟ้มเก็บต้นฉบับที่เขาถ่ายสำเนามาจากหน้าคอลัมน์ “สะพานบุญ” ที่เขาเคยเขียนในนิตยสาร “ย้อนรอยกรรม”และ จากหน้าคอลัมน์ “ศาลาแรงบุญ” ในนิตยสาร “แรงบุญแรงกรรม” ที่เขาเขียนอยู่ในปัจจุบัน นับรวมกันได้ 60 กว่าเรื่อง หนาประมาณ 200 กว่าหน้ากระดาษ A4 รวมทั้งสำเนาต้นฉบับที่เขาถ่ายจากหน้าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ของคุณวนัสนันท์ จากหนังสือ “ ชีวิตรัก” 15 แผ่น และจากกรอบหน้าคอลัมน์หนังสือพิมพ์รายวันที่เขียนยกย่องชื่นชมเขา 3 - 4 แผ่น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 1.  จินตวีร์ เกียงมี หรือที่มีชื่อเต็มยศว่า จ.ส.ต.จินตวีร์ เกียงมี ซึ่งปัจจุบันรับราชการตำรวจ ตำแหน่ง งานธุรการอำนวยการกองวิจัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ที่ใครต่อใครต่างรู้จักกันทั่วไปทั้งประเทศ และเลื่องลือไปถึงเมืองนอกเมืองนาในวันนี้ ในฐานะ จ่าตำรวจใจบุญ ที่แบกเป้เที่ยวตะลอนๆ ไปช่วยเหลือคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก แทบทุกหนทุกแห่งในประเทศ ที่ส่งเสียงร้องทุกข์โอดโอยมาให้เขาได้ยิน ซึ่งเราได้รับรู้เรื่องราวของเขาจากสื่อต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นสื่อทางวิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร อินเตอร์เน็ต ฯลฯ และที.วี.แทบทุกช่องที่นำเรื่องราวของเขา มาบอกเล่าแก่สาธารณะชน  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 สมัยที่ผมยังทำงานเป็นนักดนตรีประจำร้าน สายหมอกกับดอกไม้ ของคุณอันยา โพธิวัฒน์ คู่ชีวิตของคุณจรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนา ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก่อนจะออกมาทำงานเขียนและงานเกี่ยวกับหนังสืออย่างเต็มตัวในทุกวันนี้ ผมจำได้อย่างแม่นยำว่า ภายในร้านสายหมอกกับดอกไม้ นอกจากเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับตกแต่งภายใน ที่ประกอบด้วย โต๊ะ เก้าอี้ ที่เป็นเครื่องไม้ ภาพเขียน รูปปั้น และ ข้าวของเครื่องใช้ ผลงานเพลงของคุณจรัลในตู้โชว์ ตลอดจนรูปภาพของคุณจรัลตามฝาผนังห้องในอิริยาบถต่างๆแล้ว ยังมีกระจกเงาเก่าแก่บานหนึ่ง กว้างประมาณ สองฟุต สูงท่วมหัว ประดับอยู่ตรงมุมห้องโถงด้านขวามือใกล้ๆกับเวทีเล่นดนตรี…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  3 กันยายน 2552 ปีนี้ นอกจากจะเป็นวันรำลึกครบรอบการจากไปของ จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาแล้ว วันนี้ยังมาตรงกับวันจัดงาน " แอ่วสันป่าตอง " ซึ่งเป็นงานของโครงการย้อนยุคอำเภอสันป่าตอง ที่มีเป้าหมายที่จะแนะนำอำเภอสันป่าตองเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยมีสภาวัฒนธรรมอำเภอเป็นตัวหลักในการจัดงาน ร่วมกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนอีกมากมายหลายองค์กร ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ก่อนอาทิตย์ตกในไร่ข้าวโพดสีส้มโชติโชนอยู่อีกครู่ใหญ่แผ่ร่มเงาความเวิ้งว้างกว้างออกไปอีกหนึ่งวันกลืนวันวัยในวันนี้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ฉันเอยฉันทลักษณ์ ยากยิ่งนักจะประดิษฐ์มาคิดเขียน เป็นบทกวีงามวิจิตรสนิทเนียน มิผิดเพี้ยนตามกำหนดแห่งกฎเกณฑ์
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
มิ่งมิตร เธอมีสิทธิ์ที่จะล่องแม่น้ำรื่น ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม