ย้อนกลับไปทบทวนดู
คำประกาศหลังจากรับพระราชทานโปรดเกล้าฯของคุณยิ่งลักษณ์ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า
“อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่ทั้งหมดมิใช่อุปสรรคขวางกั้นมิให้ทำงาน พร้อมที่จะอุทิศตัวด้วยความทุ่มเท เสียสละอดทน ทำงานแข่งกับเวลา ไม่เกรงต่อความลำบากใดๆ”
ข้อความที่คุณยิ่งลักษณ์กล่าวว่า
“อุปสรรคข้างหน้ายังรอเราอยู่มาก ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้”
โดยเฉพาะความที่ว่าอุปสรรคที่ควบคุมไม่ได้ ผมตีความเอาเองว่า น่าจะเป็นอุปสรรคที่เกิดจากความสัมพันธ์เชิงบุญคุณที่ต้องตอบแทนกันในทางการเมืองจากคนภายใน ที่ร่วมกันผลักดันให้คุณยิ่งลักษณ์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น นั่นเอง
ซึ่งบัดนี้ ก็ได้ก่อตัวขึ้นมาให้คุณยิ่งลักษณ์ตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และวางตัวให้ดูดีได้ยากแสนยาก เพราะยังไม่ทันได้แถลงนโยบายเพื่อบริหารประเทศอย่างเต็มตัว ก็ถูกคนภายในนำข้อเรียกร้องปัญหาต่างๆมาเป็นบ่วงผูกมัดข้อเท้า ด้วยเงื่อนไขทางบุญคุณ คอยรั้งเอาไว้...มิให้เดินได้ตามสะดวก เริ่มตั้งแต่การเรียกร้องตำแหน่งรัฐมนตรีจากคนเสื้อแดงที่จัดการลงตัวและเงียบเสียงกันไปแล้ว และตามมาด้วยการเรียกร้องให้ส.ส.ในพรรครัฐบาลเอาตำแหน่งประกันตัวผู้ที่ถูกจับกุมด้วยข้อหา เผาบ้านเผาเมือง ออกมาจากที่คุมขัง ที่เสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นรัฐบาลของคนเสื้อแดง
แต่เรื่องนี้
เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังมากนะครับ เพราะเพียงแค่ถูกลดความเป็นคนลงไปเป็นนักโทษและถูกจองจำจำกัดอิสรภาพ ก็เป็นการตกนรกทั้งเป็นเหลือที่จะทนอยู่แล้ว แต่ว่ากันว่า พวกเขายังถูกผู้คุมและนักโทษในเรือนจำไม่ยอมรับ และคอยกระแหนะกระแหน เยาะเย้ยถากถาง กดดันพวกเขา ทำให้พวกเขาเป็นคนแปลกแยกและน่ารังเกียจราวกับตัวเสนียด เพราะคำว่า เป็นคนเผาบ้านเผาเมือง ทำให้พวกเขายิ่งแย่จนเหลือจะทนเข้าไปอีก...
โดยส่วนตัวของผม ผมเห็นด้วยกับการช่วยประกันพวกเขาออกมาจากขุมนรกที่กดดันพวกเขามากเกินไป ทั้งๆที่คดีความยังไม่ได้มีการตัดสินความผิดถูก ตามข้อกล่าวหาอันใหญ่โตที่อดีตรัฐบาลอภิสิทธิ์โยนให้พวกเขา ดังคำสัมภาษณ์ของ คุณแสงทอง ประจำเมือง ชาว ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดร หนึ่งใน 22 คนที่ได้รับการประกันตัวจากเรือนจำกลางอุดรธานี ได้ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ฉบับวันที่ 20 สิงหาคม 2554 เอาไว้ว่า
“ผมมีอาชีพ เปิดร้านขายของชำอยู่ที่บ้าน ในวันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 ผมไปยืนถ่ายวิดิโอบันทึกเหตุการณ์อยู่ และถูกทหารคนหนึ่งเข้ามากระชากกล้องแล้วทำลายกล้องจนพังหมด ก่อนจะควบคุมผมและคนอื่นๆไปที่ค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดา ต.โนนสูง อ.เมืองอุดร
โดนควบคุมอยู่ 2 วัน ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสอบสวนผมและเพื่อนๆทั้ง 22 คน ซึ่งตำรวจบอกว่าพวกผมโดนคดีกระทำผิด พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นคดีไม่ร้ายแรง ให้รับสารภาพ เสียแค่ค่าปรับเท่านั้น ซึ่งทุกคนก็รับสารภาพกันหมด
จากนั้นทหารบอกให้ญาติไปเสียค่าปรับที่ศาล และบอกว่าจะนำตัวส่งศาล แต่กลับนำพวกผมเข้าห้องขังที่เรือนจำกลางอุดรฯ เมื่อมาถึงคุก ทางศาลแจ้งโทษว่าพวกผมต้องโทษอีก 2 คดี คือ พยายามวางเพลิงเผาทรัพย์อาคารสาธารณะ สมบัติของแผ่นดิน และคดีบุกรุกโดยมีอาวุธหรือร่วมกันกระทำผิดเกิน 2 คนขึ้นไป
เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำ รู้สึกกดดันมาก ถูกขังซอย 7 คนต่อห้องขนาด 3 คูณ 2 ตารางเมตร ไม่ได้ออกไปไหน อยู่ในห้องประมาณ 2 สัปดาห์ เขาก็นำมาขังรวมกันที่มาด้วยกัน 18 คน เฉพาะชาย ส่วนหญิงอีก 4 คนแยกไปขังซอยหญิง จึงค่อยดีขึ้น
ทุกเช้าที่หน้าเสาธง พวกผมจะรู้สึกกดดันมาก เพราะจะมีเจ้าหน้าที่เรือนจำออกมาพูดหน้าแถวว่า พวกผมเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง เป็นพวกขบถ เป็นทรราช ทำให้พวกนักโทษในเรือนจำ พากันเยาะเย้ยถากถางเป็นประจำ...”
ถัดมา ก็เรียกร้องให้รัฐบาลจ่ายค่าหัวคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตในเดือนเมษา - พฤษภาคม 53 รายละ 10 ล้านบาท อันนี้ผมไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ เพราะไม่ว่าเงินจะมากหรือน้อยสักแค่ไหน ก็ไม่อาจชุบชูชีวิต...คนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นกลับคืนมาใหม่ได้ แต่ผมกลับมองว่า ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำไปแล้ว แต่สังคมกลับมองว่าเป็นการลำเอียงให้คนเสื้อแดงมากเกินไป ก็เป็นเรื่องที่จะถูกโจมตี แต่ถ้าให้ด้วยตัวเลขที่คนเสื้อแดงเขาไม่พอใจ ก็จะเสียแนวร่วม นี่ คือเรื่องที่สำคัญ และยากแสนยากที่จะทำได้ให้เป็นที่พอใจแก่ทุกฝ่าย เหมือนอย่างที่ภาษิตล้านนากล่าวเอาไว้ว่า
“จับใจ๋แฮ้ง บ่จับใจ๋ก๋า จับใจ๋ครูบา บ่จับใจ๋พระหน้อย”
(ถูกใจแร้ง ไม่ถูกใจกา ถูกใจครูบา ไม่ถูกใจเณรน้อย)
นั่นเอง
แล้วก็มาถึงกรณี การเดินทางไปญี่ปุ่นของ คุณทักษิณ ชินวัตร ที่ปรากฏว่า นายยูกิโอะเอดาโน เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นแถลงว่า รัฐบาลไทยไม่มีนโยบายห้ามอดีตนายกฯทักษิณเดินทางเข้าประเทศใดๆ และได้ร้องขอมาทางญี่ปุ่นให้ออกวีซ่าให้ ตามคำขอดังกล่าวของรัฐบาลไทยและการพิจารณาหลายๆด้าน เราจึงตัดสินออกวีซ่าให้
เรื่องนี้ จึงเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายค้าน แจ้งความดำเนินคดีและถอดถอนคุณ สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รัฐมนตรีต่างประเทศออกจากตำแหน่ง ในฐานะคนช่วยเหลือโน้มน้าวญี่ปุ่นออกวีซ่าให้คุณทักษิณ และขยายผลไปถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ แล้วก็มีกระแสข่าวติดตามมาด้วยเรื่อง ความสอดคล้องต้องกันราวกับนัดหมาย ระหว่าง คุณทักษิณ ที่มีโปแกรมจะเดินทางเข้ากัมพูชา เพื่อพบปะหารือกับ ฮุนเซน เกี่ยวกับธุรกิจน้ำมันทางทะเล ที่สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของรัฐบาลไทย ที่กระทรวงกลาโหม เตรียมเจรจากับกัมพูชากรณีพิพาทชายแดนและเรื่องการถอนทหาร พร้อมๆกับที่ กระทรวงพลังงาน จะเจรจากับกัมพูชาเรื่องความร่วมมือด้านพลังงานน้ำมันและก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เป็นเรื่องที่ทำให้สังคมระแวงว่า เป็นความเคลื่อนไหวที่ผูกโยงไปถึงเรื่องธุรกิจและผลประโยชน์ทับซ้อน ที่สื่อเขามองว่า เป็นเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เลย
ส่วนเรื่องที่หนักหนาสาหัส
ก็คือเรื่องที่คนเสื้อแดงเขาเรียกร้องอีก คือเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการคดีเอาคนฆ่าคนเสื้อแดงเอาลงโทษ โดยเล็งไปที่ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณสุเทพเทือกสุวรรณ อดีตนายกฯและรองนายกฯ และทหารที่เกี่ยวข้องในการล้อมปราบคนเสื้อแดง และเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมาดหมายจะนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้แทนรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ใช้กันปัจจุบัน และถูกมองว่าเป้าหมายที่แท้จริง คนเสื้อแดงที่ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็เพื่อช่วยนิรกรรมโทษให้คุณทักษิณ ที่ต้องโทษจำคุก 2 ปี ติดตัว และยังลี้ภัยอยู่ที่ดูไบ กรณีทุจริตจัดซื้อที่ดินที่รัชดาฯ
ครับ
นี่คือบ่วงจากคนภายในที่เข้ามาผูกมัดข้อเท้าอันขาวผ่องและเรียวงามของคุณยิ่งลักษณ์ (ฮา) โดยไม่มีใครยอมอดทนรีรอให้คุณยิ่งลักษณ์ได้ก้าวแรกออกไปอย่างสง่างาม โดยไม่สะดุดหยุดชะงัก แต่บางที...เรื่องที่ทำให้คุณยิ่งลักษณ์ยุ่งยากลำบากใจเรื่องนี้แหละ ที่จะบีบคั้นเอาตัวตนที่แท้จริงของคุณยิ่งลักษณ์ออกมาแสดงความเป็นตัวของตัวเองให้สังคมได้แจ้งประจักษ์ ด้วยเหตุปัจจัยของตัวตน ที่อาจเกิดขึ้นได้ว่า...
ฉันพยายามให้ทุกอย่างตามที่ทุกคนต้องการแล้ว
ฉันพยายามอดทนเป็นหุ่นเชิด เป็นหนังหน้าไฟ...จนเพียงพอแล้ว
คราวนี้แหละ ถึงคราวที่ฉันจะต้อง ขบถ เพื่อตัวของฉันเองมั่งหละ
(ไชโย ! เพราะฉันขบถ ฉันจึงมีชีวิตอยู่...)
โดยส่วนตัวของผม
ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่เรียกร้องเอากับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ผมถือว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสที่สุดจริงๆ ก็คือ เรื่องเรียกร้องดำเนินคดีความเอาคนที่ฆ่าคนเสื้อแดงมาลงโทษ ถ้ารัฐบาลนี้ทำเรื่องนี้ให้ปรากฏออกมาเป็นความจริงให้ประจักษ์แก่สังคมได้ ฟันธงลงไปได้เลยว่า มันเป็นเรื่องสุดยอด ปาฏิหาริย์ ที่สามารถบันทึกลงไปในหน้าประวัติศาสตร์ได้เลยว่า นี่...เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองของเมืองไทย ที่มีรัฐบาลสามารถเอาคน ที่ลงมือฆ่าประชาชนตายและบาดเจ็บเป็นเบือมาลงโทษได้...
เรื่องนี้
พ่อ แม่ ญาติพี่น้องของคนเดือนตุลา 16 และคนเดือนพฤษภา 34 ที่สูญเสียคนในครอบครัวเขารู้ดี และคนเดือนตุลาฯ ที่ยังมีชีวิตอยู่ แถมยังเป็นแกนนำส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงยิ่งรู้ดี เพราะประวัติศาสตร์สังคมได้บอกเอาไว้แล้วว่า มันเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก เพราะว่ากันว่า ไม่ว่าฝ่ายใดขึ้นไปเป็นรัฐบาลและกลายเป็นผู้มีอำนาจแล้ว เขามักจะไปเกี้ยเซียะกับอำนาจเก่า อำนาจพิเศษ กองทัพ คนชั้นกลาง NGO ฯลฯ เพื่อการอยู่รอดของตัวเอง ยากที่จะหันกลับมาเหลียวแลช่วยเหลือคนเล็กคนน้อยอีกต่อไป โดยเฉพาะการเรียกร้องกรณีสุดยอดนี้ เป็นไปได้ยากแสนยากที่รัฐจะทำได้ ด้วยเหตุผลที่พอจะเข้าใจได้ เหมือนอย่างที่พังเพยโบราณเปรียบเปรยเอาไว้ว่า ลูบหน้าก็ปะจมูก หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ นั่นเอง
หรือบางทีวันนี้
อาจจะถึงคราวที่ปาฏิหาริย์จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นก็ไม่รู้ ผมไม่ควรมองเรื่องนี้กับท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ในแง่ร้ายจนเกินไป เช่นเดียวกับคนเสื้อแดงก็ไม่ควรจะไปคาดหวังสูงกับคุณยิ่งลักษณ์ถึงขนาดนี้ ถึงแม้รัฐบาลนี้อาจจะไม่ยอมเกี้ยเซียะกับฝ่ายใดทั้งสิ้น
ครับ
อย่างไรๆ ก็ขอเอาใจช่วยคุณยิ่งลักษณ์
นายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง
แก้ปมบ่วงที่ผูกมัดข้อเท้า
แล้วสลัดมันออกไปเพื่อทำงาน
ให้ส่วนอื่นๆที่เขากำลังรออยู่โดยเร็วพลัน
เฮ้อ...จะเอาอะไรกันนักหนากับประชาธิปไตยแบบไทยๆ.
21 สิงหาคม 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ภาพของสุภาพสตรีสาวสวยสองคน
กลางทุ่งหญ้าสีน้ำตาล ณ ท่ามแสงตะวันสีทองชวนฝันทั้งสองภาพนี้ เป็นภาพของ คุณเจี๊ยบ - อรวรรณ ชมพู (คนซ้ายมือ)ที่สวยแบบคมเข้ม และ คุณนาย - มาลานชา (คนขวามือ) ที่ผมเคยนำภาพ Portrait ขาวดำที่สวยแบบหวานคลาสสิกของเธอ มาลงเป็นภาพประกอบเรื่อง “ความอ่อนแอ” ในตอนก่อน เป็นภาพถ่ายจากฝีมือการถ่ายของ Tou paycheck ซึ่งคนเดียวกันกับที่ถ่ายภาพ portrait ขาวดำของเธอ ในวันที่คุณมาลานชาและคุณ Tou paycheck อดีตเพื่อนร่วมชั้นมัธยมจากดาราวิทยาลัย ได้ชักชวนกันเดินทางไปให้กำลังใจคุณอรวรรณที่กำลังจะเปิดร้านกาแฟชื่อ ชมพู แบบเป็นทางการที่บ้านแม่ข้อน ตำบลเมืองงาย อำเภอเชียงดาว…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
Normal
0
false
false
false
EN-US
X-NONE
TH
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:"Table Normal";
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-priority:99;
mso-style-qformat:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin-top:0cm;
mso-para-margin-right:0cm;
mso-para-margin-bottom:10.0pt;
mso-para-margin-left:0cm;…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ครับ
จั่วหัวเรื่องข้างบนนี่ คือชื่องานคอนเสิร์ต ของคุณ กฤตน ชัยแก้ว หรือที่เพื่อนฝูงนักดนตรีและแฟนเพลงในเชียงใหม่ให้ฉายากันว่า MAEW.Mp3 ตามชื่อเล่นว่า แมว ที่เขาเดาะเขียนเป็นภาษาอังกฤษให้เท่กันเล่นๆ ส่วนคำว่า Mp3 ที่ต่อท้ายเป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงความสามารถของเขาที่สามารถเล่นกีตาร์และร้องได้แทบทุกแนว ตั้งแต่เพลงไทยสากล เพลงลูกทุ่ง เพลงคำเมือง เพลงเพื่อชีวิต เพลงสากล ฯลฯ ทั้งเก่าและใหม่ ประมาณว่าถ้าเขาเล่นดนตรีประจำอยู่ในร้านไหน ไม่ว่าแขกจะขอเพลงอะไร ยากนักที่จะผิดหวัง
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
โคลสใบหน้า ถนอม ไชยวงษ์แก้ว บนเวทีคืนนั้น ภาพโดย บัณรส บัวคลี่
Normal
0
false
false
false
EN-US
X-NONE
TH
MicrosoftInternetExplorer4
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:"Table Normal";
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-priority:99;
mso-style-qformat:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin:0cm;
mso-…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมต้องขออภัย
ที่เงียบหายไปค่อนข้างนานจนผิดปกติโดยมิได้บอกกล่าว เรื่องของเรื่องก็คือ ช่วงเวลาที่ผมเงียบหายไปจนถึงบัดนี้ ผมกำลังตกอยู่ในภาวะที่มีแต่เรื่องที่ต้องหมกมุ่นกับตัวเอง ตอนนี้หลายๆเรื่องกำลังคลี่คลายและพ้นผ่านไปแล้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมรู้จักแซมมานานหลายปี
ตั้งแต่ผมทำงานเล่นดนตรีอยู่ที่ร้านสายหมอกกับดอกไม้ ของคุณอันยา โพธิวัฒน์ ที่ตั้งอยู่ริมถนนวงแหวน 700 ปี หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงปลายๆ โดยการแนะนำของน้อย อัคนี มูลเมฆ มิตรสหายของเขาที่เคยร่วมทำงานข่าวชายแดนและสารคดีด้วยกันมาหลายครั้ง ซึ่งต่อมาเขาได้กลายเป็นแขกประจำร้าน ที่ผมมักจะเชิญให้ขึ้นมาร้องเพลงรักเก่าๆที่หาฟังได้ยาก หาคนร้องได้ยาก ที่เขาชอบและร้องได้ดี เข้าถึงอารมณ์เพลงได้อย่างลึกซึ้ง และมีความสุขจนเราสัมผัสได้ และเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน เพราะเขาร้องมันออกมาจากหัวใจนั่นเอง
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คือแม่น้ำและขุนเขาอันขรึมขลัง
คือพลังคีตการอันหวานไหว
คือจิตวิญญาณล้านนาไทย
คือดอกไม้สวยสะคราญบานนิรันดร์
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
บางครั้ง
ชีวิตคนก็ถูกต้อนมาถึงมุมอับ
ที่ซึ่งไม่มีทางไปต่อ
และไร้หนทางถอยหนี
ในสถานการณ์เช่นนั้นเขาจะทำอย่างไร
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อพูดถึงคำว่า“เสรีภาพ”
คำ คำนี้ช่างมีพลังอย่างแปลกประหลาด ทำให้รู้สึกดึงดูดเย้ายวนใจสำหรับคนบางคน พอๆกับที่ก่อให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวกับคนบางคน ยิ่งไปกว่านั้นบางคนปรารถนาเสรีภาพ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ เรียกร้องอยากจะได้มา และก็กลัวที่จะได้มันมาจริงๆ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
"นางแบบภาพประกอบ สุธาทิพย์ โมราลาย คอลัมนิสต์วรรณกรรมกุลสตรี ถ่ายโดยผู้เขียน"
เงินตรา
ย่อมเป็นวัตถุที่ก่อความชื่นชมแก่มนุษย์โดยทั่วหน้า
เป็นศุภนิมิตอันดีเลิศแก่วัฒนธรรมในสากลโลก
เป็นหลักประกันแก่สังคม
แก่จิตใจมนุษย์ชาติ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
Normal
0
false
false
false
MicrosoftInternetExplorer4
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:"Table Normal";
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin:0cm;
mso-para-margin-bottom:.0001pt;
mso-pagination:widow-orphan;
font-size:10.0pt;
font-family:"Times New Roman";
mso-bidi-font-family:"Times New Roman";
mso-ansi-language:#0400;
mso-fareast-language:#0400;
mso-bidi-language:#0400;}
สองสามวันก่อน
ผมได้รับเมลจาก ขจรฤทธิ์ รักษา…