ความอ่อนแอ

7 February, 2011 - 11:29 -- thanorm

 


ภาพ มาลานชา โดย Tou Paycheck

 
บางครั้ง
หรืออาจจะบ่อยครั้ง ที่เราต้องพบตัวเองตกอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ หมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีกะจิตกะใจลุกขึ้นทำอะไร นอกเรื่องที่จำเป็นจริงๆที่ทำให้เราต้องพยายามฝืนใจซังกะตายลุกขึ้นมา ดังอาการที่เกิดขึ้นกับผมในอาทิตย์ที่ผ่านมา เนื่องมาจากหลายสิ่งหลายอย่างที่เรียกกันว่า ปัญหาชีวิต (อะไรก็ช่างเถอะ) มันเข้ามารุมกินโต๊ะผม จนผมทรุดลงนั่นแหละ
 
ตอนนี้
อาการของผมค่อยๆดีขึ้นจนเกือบเข้าสู่ความเป็นปกติแล้ว ที่ดีขึ้นนั้นมิใช่เป็นเพราะว่า ผมได้แก้ปัญหาจบสิ้นไปแล้ว ปัญหาต่างๆยังคงมีอยู่
 
 แต่เป็นเพราะว่า ผมได้ทำใจยอมรับความอ่อนแอที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตจิตใจ และเฝ้ามองดูมัน (ความอ่อนแอ) แทนที่จะคิดผลักไสมันให้ออกไปจากจิตใจ เหมือนอย่างที่ผมเคยทำ เพราะหลงเชื่อตามคำผู้ใหญ่รวมทั้งสังคมที่บอกเรามาทุกยุคทุกสมัยว่า ความอ่อนแอเป็นสิ่งที่เลวร้าย เราจะต้องขับไล่มันออกไป หรือต้องไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแก่ตัวเองอย่างเด็ดขาด และเราจะต้องเป็นมนุษย์ที่เข้มแข็งเท่านั้น
 
ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ผิดหลักความจริง ผิดหลักธรรมชาติของชีวิต ทำให้เราไม่รู้จักยอมรับความอ่อนแอเมื่อถึงคราวที่เราต้องอ่อนแอ (คนที่เกิดมาแล้ว ไม่เคยรู้จักความอ่อนแอ ไม่ต้องอ่านเรื่องนี้) และนั่นยิ่งทำให้เราเก็บกดและเป็นทุกข์ซับซ้อน ไม่รู้แล้วรู้จบมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องความเชื่อ และค่านิยมที่ผิดๆ
 
ความจริงแล้ว
เมื่อตั้งสติเฝ้ามองดูความอ่อนแอ เหมือนนักปฏิบัติธรรม เฝ้ามองดูอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆทั้งด้านลบและบวกของตัวเองที่เกิดขึ้นแต่ละขณะโดยไม่วิพากษ์วิจารณ์ และนิยาม ผิด ถูก ดี เลว ไม่ผลักไสมันออกไป (เพราะไม่ชอบ) ไม่เหนี่ยวรั้งมันเอาไว้ (เพราะชอบ) เฝ้าดูมันจนมันคลายจางจากไป
 
ผมพบว่า
ความอ่อนแอ ก็คืออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดด้านลบชุดหนึ่ง เช่นเดียวกับความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความอิจฉาริษยา ถ้าเรามีสติเฝ้ามองดูมัน แทนที่จะยอมตกเป็นเหยื่อของมัน มันก็จะค่อยๆจางหายไป เมื่อเหตุปัจจัยของมัน ซึ่งก็คือความคิดในเรื่องที่ทำให้เราเกิดอารมณ์ความรู้สึกชนิดนี้...คลายออกไปจากจิตใจ (เป็นความจริงอย่างที่หลวงพ่อดูลย์กล่าวว่า “คนสมัยนี้เขาเป็นทุกข์เพราะความคิด”)
 
เหตุที่ผมมีความรู้สึกอ่อนแอดังกล่าวมาเนิ่นนานเป็นอาทิตย์ ก็เป็นเพราะว่า ผมเป็นคนประเภทย้ำคิดย้ำทำ นั่นเอง ว่ากันว่า คนประเภทผมนี่แหละที่มักจะฆ่าตัวตายกันได้ง่ายๆ เพราะเวลามีเรื่องอะไรร้ายๆเข้ามาในชีวิต มักจะเก็บมาย้ำคิดแล้ว...ย้ำคิดอีก ไม่รู้จักปล่อยวาง จนตัวเองทนไม่ไหว แล้วชีวิตจะเหลืออะไร
 
แต่กับตัวผมในเวลานี้คงยาก เพราะผมยอมรับมัน มองเห็นใบหน้าของมัน และเข้าใจมันเสียแล้ว ที่สำคัญก็คือผมถือว่ามันเป็นความจริงประการหนึ่งของชีวิต และเป็นธรรมชาติของชีวิต ที่เราจะต้องยอมรับมันเมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องอ่อนแอ เหมือนเรายอมรับกลางวันและกลางคืน ยอมรับฤดูกาลต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งทำให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น เพราะชีวิตได้ถูกบ่มเพาะจากความมืด จากแสงสว่าง และจากความต่างในอุณหภูมิของฤดูกาล นั่นเอง
 
6 กุมภาพันธ์ 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่ 

 

 

 

ความเห็น

Submitted by น้ำลัด on

ผมว่าชีวิตของใครต่อใครไม่เคยโรยด้วยดอกกุหลาบตลอดสาย
บางครั้งราบรื่นนุ่มนวลหอมหวาน เสียจนเราอยากเดินอยู่อย่างนั้นตลอดไป
บางช่วงของเส้นทางเหมือนเดินอยู่ในปลักในโคลน กว่าจะก้าวขาได้แต่ละก้าว
ช่างยากเย็นสุดแสนลำเค็ญ เหนื่อยแทบขาดใจหมดเรี่ยวแรง ไม่อยากก้าวไปอีก

ผมไม่รู้หรอกว่ามันเกี่ยวข้องกับความอ่อนแอหรือเข้มแข็งหรือไม่
ปัญหาที่ถาโถมเรามาบางครั้งมันก็อาจเกินกำลังของเราที่จะต้านทาน
หรือถ้าชนกับปัญหาตรงๆอาจทำให้เราบาดเจ็บเจียนตาย
บางครั้งผมว่าเราก็ต้องเป็นเหมือนคนอ่อนแอยอมโอนอ่อนผ่อนตาม
ถึงแม้มันจะทำให้เราสูญเสีย เราอาจต้องยอมสูญเสียเพื่อโอกาสในการได้คืน

ผมกำลังนึกถึงมวยไท่เก็ก ที่ใช้ความอ่อนสยบความแข็ง
ใช้ท่ารับแบบผ่อนแรงแล้วย้อนแรงที่ถาโถมมานั้นให้สะท้อนกลับคืนไป

จริงๆแล้วคนเราทุกคนมีบางสิ่งที่อ่อนแอ แต่ก็มีบางสิ่งที่เข้มแข็งแตกต่างกันไป
แต่ชีวิตของเรามีการต่อสู้ตลอดเวลา คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดก็คือตัวเรานั่นเอง

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

อ้ายหนอม คับ ดีแล้วให้ ความอ่อนแอ อยู่กับเรา ทำให้เราบรรลุธรรมได้ระดับหนึ่ง นั่นคือการรู้จักปล่อยวาง ตามหลักคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ... เขาอยู่กับเราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมสุข เกิดแก่ เจ็บตาย ไปด้วยกัน ฯลฯ เหมือนดั่งปาราสิต(ที่ทางคำเมืองบ้านเฮาเรียกว่า ขี้ตึก ) อ้ายว่าอ้ายหนอม บรรลุธรรมได้ระดับหนึ่งแล้ว หลังจากที่รู้สึกอ่อนแอ และทำให้เรากล้าแกร่ง ไม่เอะอะโวยวาย... เย็น นิ่ง ลึก กะเขา อยู่กับเขา แล้วเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีของเราเอง และเราต้องคารวะขอบคุณเขาด้วย... ที่ทำให้เราแข็งแกร่ง ฯลฯ

อ้ออ้ายหนอมคับ อ้ายแสงดาวฯ รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ที่ไมาสามารถไปงานอ้ายพงศ์ฯ ที่จอมทองได้ เพราะอ้ายติดงานที่สุดสะแนน พวกเราจะจัดอะไรเล็กๆน้อยๆ ให้ ฮวก - ตุ๊กตา ที่สุดสะแนนย้อนหลังที่น้องของเราทั้งสองไปจัดพิธีกรรมแต่งงานที่อิสาน พวกเราส่วนหนึ่งไปไม่ได้ "อ้ายแก้ว".... อดีต เอนจีโอ ดำริอยากจัดให้น้องทั้งสอง เพื่อ congrajulation แสดงความยินดีให้น้อง ในวันที่ ๑๒ กพ ใกล้จะถึงนี้ ที่สุดสะแนน ตั้งแต่เวลา 18.30 เป็นต้นไป .... งานนี้ อ้ายแก้ว เป็นผู้ดำริ อ้ายแสงดาวฯก็เห็นด้วย เพราะ ฮวก - สุดสะแนน ก็คือผู้ที่งดงามในการสนิทแนบแน่นกับพวกเรา นอกจากที่เขาเป็นกวี นักเขียน นักดนตรีแล้ว เขาก็ยังคุณประโยชน์ ให้สังคมด้วย ... เราก็พูดกันว่าจะชวนอ้ายหนอมพี่ยายไปร่วมด้วย แต่อ้ายหนอมติดงานอ้ายพงศ์ บ่เป๋นหยัง เฮาแยกกันตี อ้ายหนอมไปให้กำลังใจอ้ายพงศ์ หมู่อ้ายไปให้กำลังใจ ฮวก กรุณาช่วยบอกอ้ายพงศ์ว่าอ้ายติดไปไม่ได้จริงๆ ไว้โอกาศดีๆ เฮาค่อยไปแจมหาอ้ายพงศ์ คับ ... ยินดี คับ

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

น้ำลัด ขอบคุณครับสำหรับความเห็นดีๆจากคุณน้ำลัด ตอนนี้ผมกำลังติดตามกรณีเขาพระวิหารที่ถูกดึงเข้ามาเป็นเรื่องการเมือง และเริ่มบานปลายเป็นสงคราม ที่ทำให้คนเล็กคนน้อยต้องล้มลงตาย การเมืองนี้ซับซ้อน แต่ก็เชื่อต้องมีผู้ได้รับผลประโยชน์จากเหตุการณ์นี้

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

อ้ายแสงดาว เข้าใจครับ ไม่เป็นไรครับ ตกลงเราแบ่งกันไปให้กำลังใจแต่ละฝ่ายก็แล้วกัน ถ้าอ้ายแสงดาวมีเวลามาเที่ยวทุ่งเสี้ยวก่อนวันที่ 12 ก.พ. 54 ผมก็จะฝากหนังสือกุลสตรีปักษ์แรกมกรา ที่มีเรื่องราวของสุดสะแนนในวันงานคอนเสิร์ตของผม พร้อมด้วยภาพของ ฮวกและชวด ไปให้ฮวก แต่ถ้าไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไร เสร็จจากงานจอมทอง ผมจะเอาไปให้เขาเอง ขอบคุณครับ อ้อ ขอบคุณสำหรับความเห็นที่ช่วยต่อยอดให้ด้วครับ

Submitted by namping on

เรามี นศ.ไทยมาเรียนนอกมากมายแต่ละปีทั้งทุน กพ. และทุนอื่น หรือส่วนตัว
ได้เสียดุลย์เงินไทยไปเท่าไหร่ในแต่ละปี กว่าจะได้เป็น ดร.กลับไปแผ่นดินเกิด

แต่น่าเสียดาย ทั้งเวลา และเงินทองที่สูญเสี่ยไปในการศึกษา
หาได้นำความคิดศิวิไลย์ไปยกระดับความรู้สึกนึกคิดมวลชนและชาติพันธ์

หลังปีสหัสวรรษ ยุคคลื่นลูกที่สาม นักคิดเขาตื่นตัวกันเป็นGlobalization
เขาระดมความรู้สติปัญญานักคิดทั่วโลกต้อนรับเรื่องสังคมยุคดิจิตอล

หลังปีสหัสวรรษ 10 ปี ยุโรปได้เปลี่ยนไป๋อย่างก้าวใกล EUไร้พรมแดนสมชื่อ
เป็นการเติบโตสู่สังคมไฮเทคคลื่นลูกที่สาม ใช้เงินสกุลเดียวกันฯลฯคือไร้พรมแดนจริงๆ

บางที่กลับไม่สำเหนียกพัฒนาใด กำลังจะไปตีดินแดนคืน เหมือนปัญญาอ่อน
แย่กว่านั้นคือปลุกผีโมเดลอยุธยาฆ่าฟันกันโต้งๆกับเพือนบ้าน ปฏิกริยาสิ้นคิด
----------------------------------------------------------------------

ถามว่าใครได้ประโยชน์
กับการเกิดศึกกับเพื่อนบ้านหรือ

มันขึ้นอยู่กับว่าสายตาของใครมอง
ยิ่งคนไทยต้องถามว่า"คุณใส่แว่นสีอะไรมอง"

แต่ในสายตาของความสัตย์ซื่อผู้รับใช้ความจริงในสากล
เขาก้ต้องวิจาณ์อย่างที่เห็นอย่างที่เป็นโดยไม่พูดเกินจริง

อำนาจโบราณจวนตัวกลัวสงครามชนชั้นที่ประชิดเข้ามาหาตน
เพราะไม่เคยมีอำนาจใดต้านทานประชาชนได้มาก่อนในประวัติศาสตร์

การเดินเข้าไปรุกชายแดนของเจ็ดคนคือการจุดชนวนสงคราม
หันความสนใจประชาชนและสากลให้กลายเป็นว่า"เรามีปัญหากับเพื่อนบ้าน"ตะหาก

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

namping เมื่อกี๊ผมดูข่าวหัวค่ำ มีการปะทะกันอีก บ้านช่องชาวบ้านเสียหายมิใช่น้อย ผู้คนต้องอพยพหนีเข้าไปอยู่ในที่ว่าการอำเภอกันทลักษณ์ น่าแปลกที่ผู้นำทั้งสองประเทศเราทั้งและเขาต่างพูดว่า จะไม่มีการสูญเสียทางเศรษฐกิจ หมายถึงธุรกิจคนไทยในกัมพูชา ฟังดูทแม่งๆอย่างไรพิกล คงต้องดูกันต่อไป แต่ที่แน่ๆก็คือ คนเล็กคนน้อยของทั้งสองฝ่ายย่อยยับกันไปแล้วทั้งชีวิตและทรัพย์สิน หรือจะเป็นอย่างที่คุณว่า ขอบคุณครับ

Submitted by namping on

ฝ่ายข่าวออกทางนี้แจ้งว่าความเสียหายย่อยยับเป็นของฝ่ายบุกรุกมากกว่า
เพราะบริเวณชายแดนแถบนั้นทางขะแมร์เขาไม่มีผู้คนชาวบ้านสักกี่หลังคา

ถึงจะมีก็บ้านเพิงใบตอง มุงจาก มุงคา ปลูกห่างกันมาก (ดูตามภาพรายงานข่าว)
ทางฝ่ายบุกรุก(เขาใช้คำนี้จริงๆ)มีบ้านเรือนชาวบ้านที่ปลูกอยู่ด้วยกันหนาแน่น

ทางฝ่ายบุกรุกแจ้งว่าได้ยิงทหารขะแมร์ตายเกินครึ่งร้อย และฝ่ายตนเสียทหารไปหนึ่งนาย
แต่ทางข่าวนอกประเทศรายงานว่าทหารขะแมร์ตายคนเดียว(เพราะทำปืนลั่นใส่ตนเอง)

แลกเปลี่ยนข่าวสารกันด้วยความจริงนะ
ขออภัยหากไม่เป็นที่สนใจของผู้อื่นเจ๊า

Submitted by น้ำลัด on

ASTV เขาบ้ากันไปใหญ่แล้วนะผมว่า เล่นยุให้ทำสงครามเต็มรูปแบบไปแล้ว

ถ้าทำอย่างที่เขาบอกก็น่าจะดีนะครับ เราจะได้รบกับสหประชาชาติ
เราจะได้ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของชาติไทย
ประกาศศักดาความเป็นมหาอำนาจของชาติไทยให้ลือลั่นไปทั่วโลก

(แล้วให้สหประชาชาติมาจัดการปัญหาการเมืองในไทยไปซะด้วยเลย...จบข่าว)

Submitted by แสงดาว ศรัทธามั่น on

อ้ายบ่ฮู้จะอู็จะได แล้ว ขอเพียงใช้คำพูดของ อ้าย สุจิตต์ วงษ์เทศ อดีต บก. นิตยสาร ศิปละวัฒนธรรม ผู้ร่ำเรียนมาจากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ก็แล้วกัน เปิ็นพูด เตือน สติอยู๋ เสมอว่า .... "อย่าล้าหลัง - คลั่งชาติ"

Submitted by โสมคาน on

แข็งกับอ่อนร้อนกับเย็น เห็นกันอยู่
อีกทั้งคู่ เป็นกับตาย มิใช่ฝัน
ควายกับลาบ เหมือนถูกสาป แต่ปางบรรพ์
ล้วนกอดกันกลมกลิ้ง ลองนิ่งดู

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

โสมคาน ขอบคุณคุณโสมคาน สำหรับบทกวี ที่ผมชอบในวลีสุดท้ายที่ว่า "ลองนิ่งดู"
ใช่ครับ นิ่ง เพื่อสงบใจ ไม่ว่าชีวิตจะอยู่ในชตากรรมใด
เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เป็นฐานในทางจิตใจในการยืนหยัดเผชิญกับปัญหาต่างๆ ขอบคุณครับ