“อนาคตทางการเมืองของคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย” บทความที่ต้องอ่านและเก็บไว้ ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์

12 September, 2012 - 21:22 -- thanorm

 

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

 

 เมื่อผมได้อ่าน

บทความ “อนาคตทางการเมืองของคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย” ที่ลงในหน้า 6 มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 6 กันยายน 2555 ผมต้องกลับไปซื้ออีก 2 ฉบับ เพื่อเก็บเอาไว้ เพราะนอกจากบทความนี้จะชี้ให้เห็นอนาคตของคนเสื้อ และความสัมพันธ์ระหว่างคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยแล้ว บทความนี้ยังทำให้เรามองเห็นโครงสร้างของความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง “อำนาจเก่า” “อำนาจใหม่” อย่างกว้างขวางและลุ่มลึก รวมทั้งอุปสรรคที่ยากแสนยากที่สังคมไทยจะพัฒนาก้าวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ดังที่กล่าวกันว่า มาจากประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
 
 
นอกจากความเข้าใจดังกล่าวแล้ว
ผมยังชักจะเห็นจริง ตามที่อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เคยทำนายเอาไว้อีก ว่าความขัดแย้งนี้อาจจะดำรงอยู่เป็นเวลานานถึง 100 ปี กว่าประชาธิปไตยในบ้านเราจะหมดจดจากอำนาจนอกระบบที่เข้ามาปนเปื้อน ทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นง่อย ไม่กล้าเข้าไปแตะสิ่งที่ควรปฏิรูปแก้ไขเลยสักอย่าง ผมจึงขอนำบทความนี้มาเผยแพร่ในเว็บประชาไท เพื่อเป็นการบันทึกบทความที่ช่วยให้ผมตาสว่างขึ้นอีกระดับหนึ่งเอาไว้ ณ ที่นี้อีกพื้นที่หนึ่ง และสำหรับผู้สนใจการเมืองทุกท่านที่ยังไม่ได้อ่าน
ดังนี้
 
บวนการของคนเสื้อแดงมีเป้าหมายอะไรบ้าง - - เรียกร้องความเป็นธรรมให้คุณทักษิณ และให้แก่ตนเองในกรณีที่ถูกสังหารโหดในปี 2552 และ 2553 ยุติการใช้กฎหมายและอำนาจรัฐรังแกประชาชนที่เป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายอำนาจ คัดค้านการรัฐประหารในปี 2549 และต่อต้านการรัฐประหารซึ่งอาจมีขึ้นในอนาคต ส่งเสริมและรักษาระบอบประชาธิปไตย จึงต่อต้าน “อำนาจนอกระบบ” ที่ปรากฏตัวในรูปต่างๆ
ล้วนแต่เป็นเป้าหมายทางการเมืองที่น่ายกย่อง
 
เพื่อจะบรรลุเป้าหมายทางการเมืองดังกล่าว ขบวนการคนเสื้อแดงใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือ จึงได้เทคะแนนให้แก่พรรคนี้ในการเลือกตั้งจนได้รับชัยชนะท่วมท้น
แต่จนถึงวันนี้ ขบวนการคนเสื้อแดงควรคิดพิจารณาให้ดีว่า พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือที่ดีของตนหรือไม่
 
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีคลิปโทรศัพท์เสียงของ ส.ส. พรรคเพื่อไทยคนหนึ่ง พูดทำนองข่มขู่ข้าราชการให้ทำผิดกฎหมาย เพื่อช่วยพรรคพวกตน ขบวนการคนเสื้อแดงต้องแสดงให้เห็นว่า ไม่สนับสนุนการกระทำเยี่ยงนี้ พรรคจำเป็นต้องบีบให้ ส.ส. ผู้นั้นลาออกจากตำแหน่ง ถ้าพรรคเพื่อไทยจะเป็นเครื่องมือของขบวนการ พรรคต้องยืนในจุดที่สุจริต ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่ขบวนการจะบรรลุเป้าหมายทางการเมืองได้... แต่ทั้งนี้ขบวนการคนเสื้อแดงต้องคุมพรรคการเมืองของตนได้
 
การที่ผู้มีอำนาจนอกระบบทั้งหลายสามารถกีดกันมิให้ประเทศไทยได้พัฒนาประชาธิปไตยไปเต็มที่ ก็เพราะประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ ด้านการถือครองทรัพย์สิน ด้านการศึกษา และด้านสังคม วัฒนธรรมทั้งปวง แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่เคยคิดริเริ่มการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง การประกันราคาข้าวไม่ใช่การแก้ปัญหาให้แก่เกษตรกรได้ในระยะยาว รัฐบาลต้องเร่งปฏิรูปที่ดิน โดยมีเป้าหมายให้ผู้ถือครองที่ดินจำนวนมากเพื่อเก็งกำไร ต้องปล่อยที่ดินของตนออกมา ด้วยระบบภาษีก้าวหน้า
 
เวลานี้มีเกษตรกรเดือดร้อนด้วยเรื่องที่ดินจำนวนมาก โดยกรมอุทยานตัดฟันต้นยางบ้าง โดยกรมป่าไม้ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายกรณีทำให้โลกร้อนบ้าง ขบวนการต้องใส่ใจกับปัญหาของคนเล็กๆด้วยกันเหล่านี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนเสื้อแดงหรือไม่ก็ตาม และเคลื่อนไหผลักดันให้รัฐบาลแก้ปัญหา
อย่างน้อยก็ต้องสั่งให้ยุติไล่รื้อลงชั่วคราว เพื่อศึกษาว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร จึงจะเกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
 
คนไทยส่วนใหญ่ได้หลุดพ้นออกจากภาคเกษตรกรมานานพอสมควรแล้ว (อันที่จริงส่วนใหญ่ของสมาชิกขบวนการเองก็มิได้เป็นเกษตรกร) คนเหล่านี้เผชิญความยากลำบากในการเผชิญชีวิตนอกภาคเกษตร เพราะไม่มีหลักประกันเพียงพอ และขาดทักษะที่จะนำไปขายในตลาดด้วยราคาดีได้ แม้ว่ารัฐบาลจะเพิ่มค่าแง 300 บาท แต่แรงงานส่วนใหญ่ขอไทยเป็นแรงงานนอกระบบ รัฐต้องหาทางช่วยคนเหล่านี้มีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่วนแรงงานในระบบเองก็ควรได้สิทธิเสรีภาพในการรวมตัว เพื่อมีส่วนในการดูแลสวัสดิภาพของตนเอง
 
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าประกาศขึ้นค่าแรง ซึ่งสมมุติว่าประสบความสำเร็จในการเพิ่มรายได้จริง ก็ไม่ได้แก้ปัญหาแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศ
 
 
เครื่องมือสำคัญของอำนาจนอกระบบที่จะขัดขวางพัฒนาการของประชาธิปไตยคือกองทัพ ซึ่งได้สั่งสมอำนาจทางกฎหมายเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง ระหว่างการรัฐประหารครั้งล่าสุด และนำเอาอดีตแม่ทัพมาเป็นรัฐมนตรี รัฐบาลเพื่อไทยไม่คิดจะแก้ปัญหากำหมายเหล่านั้น เพื่อลดอำนาจของกองทัพลง อย่างน้อยก็ในทางกฎหมาย ซ้ำยังไม่ตัดลดงบประมาณของกองทัพแต่อย่างไร
 
ความล้มเหลวในการจัดการความไม่สงบในภาคใต้ของกองทัพ ชี้ให้เห็นว่านโยบายที่ใช้การทหารเป็นผู้จัดการเด็ดขาดในพื้นที่ ควรต้องยกเลิก และหาวิถีทางใหม่ที่น่าจะได้ผลกว่า แต่รัฐบาลก็แทบจะไม่กล้าแตะต้องกองทัพด้วยประการใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะเกรงว่าจะเป็นเหตุให้กองทัพก่อรัฐประหารล้มรัฐบาล
ความใส่ใจของรัฐบาลมีอยู่เพียงอย่างเดียว คือขออยู่ในตำแหน่งต่อไปเรื่อยๆ แม้ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเดียวก็ไม่เป็นไร
 
ขบวนการเสื้อแดงจะปล่อยให้เครื่องมือของตนอยู่ในลักษณะที่ตั้งใจจะไม่ทำอะไรสักอย่าง เพื่อทำให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่มั่นคงเช่นนี้หรือ จะมีพรรคอื่นเป็นแกนนำรัฐบาล ก็ดูไม่ต่างจากพรรคเพื่อไทยตรงไหน
 
นักโทษการเมืองอีกจำนวนหนึ่ง ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ รัฐมนตรียุติธรรมในฐานะผู้บังคับบัญชาของกรมราชทัณฑ์ สามารถสั่งให้ย้ายผู้ต้องขังเหล่านี้ไปไว้บางเขนได้ แต่รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยไม่เคยรู้สึกว่า ชะตากรรมของคนเสื้อแดงเป็นของพรรค ที่ตนจะต้องแก้ไขบรรเทาเท่าที่จะพอมีอำนาจพอทำได้  เพราะกลัวแต่ว่าจะถูกโจมตีทางการเมืองและทำให้เสียเปรียบทางการเมืองแก่ปรปักษ์ของตน
 
จะบรรยายความล้มเหลวของรัฐบาลนี้ไปอีกกี่หน้าก็ได้ โดยเฉพาะความล้มเหลวที่ทำให้ขบวนการเสื้อแดง ไม่มีเป้าหมายทางการเมืองใดๆ  นอกจากคอยต้อนรับคุณทักษิณกลับบ้าน เหตุใดจึงไปเชื่อว่า เมื่อคุณทักษิณได้รับความเป็นธรรมแล้ว คนอื่นจะได้รับความเป็นธรรมไปด้วย โดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองในเวลานี้ คนที่ถูกไล่ที่ทำกิน คนที่ถูกศาลปรับหลายแสนหลายล้านบ้าน เพราะทำให้โลกร้อน (มากกว่าแอร์ที่เป่าอยู่ในห้องพิจารณาคดี)  คนส่วนใหญ่ซึ่งต้องเสียค่าเอฟทีแก่การไฟฟ้าอันอธิบายไม่ได้ คนส่วนใหญ่ที่ไม่รู้ว่าคณะกรรมการพลังงานกำลังทำอะไรอยู่ แต่ต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงลิบลิ่ว ในขณะที่ ปตท. ทำกำไรมหาศาลทุกปี ฯลฯ
 
ขบวนการเสื้อแดงมีทางเลือกอะไรได้บ้าง
1.หันไปสนับสนุนพรรคการเมืองอื่น แต่น่าเสียดายที่คนเสื้อแดงไม่เหลือทางเลือกอีกแล้ว หลังจากการอย่างเหี้ยมโหดจนถึงทุกวันนี้ พรรค ปชป. ยังไม่รู้สึกเลยว่าได้ทำอะไรผิด ส่วนพรรคเล็กอื่นๆนั้น บางพรรคก็น่ารังเกียจแก่คนคนเสื้อแดงไม่น้อยไปกว่า ปชป. บางพรรคไม่มีประวัติการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่ในเงาของตนเองเอาเลย อันที่จริงนักการเมืองของพรรคเพื่อไทยเอง ก็ไม่ด่างจากพรรคอื่นมากนัก สถานการณ์บังคับให้ขบวนการเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยต่างคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นเครื่องมือให้ได้ต่างหาก
ฉะนั้น การหันไปสนับสนุนพรรคการเมืองอื่น จึงมิใช่ทางเลือกในเวลานี้
2.ตั้งพรรคการเมืองของตนเอง นี่เป็นความคิดของคนเล็กๆหลายฝ่ายได้คิดกันมาก่อนแล้ว (ตั้งแต่พรรคเขียวจนถึงพรรคการเมืองใหม่) ว่าเฉพาะขบวนการคนเสื้อแดง ก็ยังเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้อยู่นั่นเอง ลักษณะการก่อตั้งขบวนการ (เท่าที่มีผู้ศึกษามา) ค่อยข้างแยกเป็นหน่วยย่อยที่ไม่เชื่อมต่อกันนัก และมีความเปราะบางในความสัมพันธ์ค่อนข้างสูง หากจะเลือกทางนี้คงต้องมีการปรับขบวนการหลายอย่างหลายประการ ซึ่งคงยากมากกว่าจะทำได้สำเร็จ จึงเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ในอนาคตยาวไกล แต่ไม่ใช่ในเวลานี้
3.ที่พอเป็นไปได้ในเวลานี้ก็คือ หาทางที่จะควบคุมทิศทางของพรรคเพื่อไทยให้ได้มากขึ้น ไม่ใช่รณรงค์เข้าไปกรรมการบริหารพรรค แต่ต้องคุมให้ได้ในฐานะประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั่นเอง
เรื่องนี้ไม่ง่าย เพราะที่จริงแล้วยังไม่มีสมาชิกขอพรรคการเมืองใด ที่สามารถคุมพรรคของตนเองได้สักพรรคเดียว
 
บวนการต้องมีสื่อของตนเอง ซึ่งมีจุดยืนที่เป็นอิสระจากพรรคเพื่อไทย อันที่จริงเวลานี้ก็มีอยู่ เพียงแต่มิใช่สื่อโทรทัศน์หรือสื่อหนังสือพิมพ์กระดาษเท่านั้น เพราะนั่นต้องการเงินลงทุนและมีลักษณะรวมศูนย์มากเกินไปกว่าคนเสื้อแดงจะทำได้ แต่มีสื่อออนไลน์จำนวนมาก ที่บางครั้งก็ประกาศตนเป็นคนเสื้อแดง บางครั้งก็ไม่ได้ประกาศ แต่มีจุดยืนอิสระของตนเองที่ไม่สอดคล้องกับพรรคเพื่อไทยในหลายกรณี ปัญหามาอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรขบวนการคนเสื้อแดง จึงจะสามารถทำให้สมาชิกเข้าถึงสื่อเหล่านี้ได้มากขึ้น
 
สื่อของขบวนการอาจไม่ใช่หนังสือพิมพ์กระดาษ แต่เป็นสื่อที่มีความเห็นหลากหลายจากจุดยืนของประชาชน แม้บางครั้งความเห็นนั้นอาจจะขัดแย้งกันก็ตาม แต่ไม่ใช่ความเห็นที่พรรคเพื่อไทย (หรือมือที่มองเห็นของพรรคเพ่อไทย... ซึ่งมีหลายมือด้วย) ยัดเยียดมาให้ ดังที่เอาจพบเสมอในวิทยุชุมชนบางแห่ง
 
กลไกทางการเมืองเฉพาะหน้าที่ขบวนการควรร่วมกันรณรงค์ก็คือ พรรคเพ่อไทยจะต้องใช้ขบวนการ “ไพร์มารี” หรือเปิดให้ประชาชนแต่ละในเขตเลือกตั้ง ได้ลงคะแนนเสียงเลือกผู้สมัคร (ส.ส. ส.ท. นายกเทศมนตรี อบจ.  และรวมทั้งสมาชิกสภา อบต.ในแต่ละเขต) นี่ไม่ใช่ความคิดใหม่ คุณทักษิณ ชินวัตร เอง เคยเสนอไว้ก่อนการรัฐประหารด้วยซ้ำ
 
ส.ส.ต้องตอบสนองเป้าหมายทางการเมืองของประชาชน ไม่ใช่เพียงแต่ดึงงบประมาณมาลงท้องถิ่นอย่างเดียว แต่ส.ส.พรรคเวลานี้ ส่วนใหญ่มี “สาย” ของตนเอ ซึ่งมีเฮียบ้าง เจ๊บ้างคุม “สาย” ของตนเองอยู่ ดังนั้น ส.ส.จึงตอบสนองเป้าหมายทางการเมืองของ “เฮีย” ของ “เจ๊” ไม่ใช่ของประชาชนผู้เลือกตั้ง
ขบวนการคนเสื้อแดงต้องทำลายระบบนี้ลงให้ได้ ด้วยการรณรงค์ให้พรรคยอมรับขบวนการ ไพร์มารี ให้ได้
 
มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่จะประสบความสำเร็จ เพราะนอกพรรคจะได้ความมั่นคงในชัยชนะจากการเลือกตั้งมากขึ้นแล้ว ยังมี “แกนนำ” ของพรรคอยู่บ้างเหมือนกันที่ไม่มี “สาย” ของตนเอง (ด้วยเหตุต่างๆกัน) จึงน่าจะพอใจที่ “มุ้ง” ต่างๆของพรรคเพื่อไทยจะอ่อนกำลังลง ทั้งเพื่อประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัวและการเมืองของพรรค ฉะนั้นหากมี “ไพร์มารี” ได้เมื่อไหร่ ชาวเสื้อแดงก็จะได้เห็นแม้แต่ระดับ “แกนนำ” บางคนขอพรรค ต้องตอบสนองต่อเป้าหมายทางการเมืองของขบวนการคนเสื้อแดงมากขึ้น
จะมาเล่นปาหี่ เพื่อยกเลิกการแก้รัฐธรรมนูญกันอย่างหน้าด้านๆ เช่นนี้ไม่ได้.
 
7 กันยายน  2555
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

 

ความเห็น

Submitted by Thotspol on

เพื่อไทยเองก็น่าจะมองออกแล้วนะครับว่า เอาเข้าจริงคนเสื้อแดงเองก็ไม่ได้เออออห่อหมกไปกับพรรคท่านไปซะทุกครั้ง ทุกเรื่อง ทุกเหตุการณ์ บทเรียนเรื่องการเลือกตั้งซ่อมที่ปทุมธานี ดอนเมือง น่าจะบอกอะไรๆเรา(ปชช. ,คนเสื้อแดง , เพื่อไทย) ได้

House

Submitted by dk on

พรรคเพื่อไทย กลายพันธุ์ หรือ เปิดเผยธาตุแท้ของตัวเอง กันแน่

ปชช.เป็นได้แค่เหยื่อ การเมืองเท่านั้นหรือ?

ฝันว่า ปชช.จะสามารถคุมพรรคการเมืองได้ หรือ?
เพราะ การเมืองทุกวันนี้ ทุนเป็นตัวชี้ขาด ความอยู่รอดของพรรค ไม่ใช่ปชช.(แม้จะมีอำนาจ แค่ สามนาที)

ทุกวันนี้ พรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลแล้ว
แต่สิ่งที่เขาทำ ทำให้แปลกใจยิ่งว่า ทำไมทำสิ่งที่ทำร้ายรากหญ้า หรือ ปชช.ทั้งแผ่นดินเลย
เช่น น้ำมันแพง (ลดหลอกตอนแรกเข้ามา ให้หลังก็ใจหายเพราะแพงกว่ายุคปชป.อีก) ข้าวของแพง
ค่าแรงเพิ่มก็ไม่ได้ช่วยให้เงินในกระเป๋าเพิ่มค่า สินค้าเกษตรทุกอย่างราคาตก ประกันราคาข้าวก็ทำลายตลาดโลกข้าวไทย รถคันแรกก็ยิ่งเพิ่มปัญหารถติดในระบบจราจร ลดภาษีธุรกิจแต่ไปเก็บภาษีใน
ฐานกว้างของคนส่วนใหญ่แทน นี่มันอะไรกัน..

รบ.นี้จะอยู่รอดถึง กลางปีหน้าไม๊นี่ น้ำท่วมกำลังจะมา เหมือนปีก่อนเลย กู้เงินแสนล้านไปทำอะไร?

Submitted by น้ำลัด on

จะว่าไปประเทศไทยเรามีเีพียงพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น
ที่มีระบบระเบียบของพรรคชัดเจน ดูดีมีมาตรฐาน
แต่ทำไม? พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่อาจชนะใจประชาชนได้
พรรคประชาธิปัตย์ ต้องถามตัวเองวันละหลายๆรอบ ว่าเกิดอะไรขึ้น

ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา
ผมคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์คิดแต่จะชูตัวบุคคลเท่านั้น
ไม่เคยมามุ่งเน้นทางด้านนโยบายเลย
ไม่เคยเห็นข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมเพื่อส่วนรวมมาก่อน

คู่ต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา
อันที่จริงมีภาพลักษณ์ทางการเมืองที่สู้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เลย
ทุกคนที่แย่งชิงได้ตำแหน่งนายกไป ล้วนใช้วิธีลงทุนรวบรวมมุ้งการเมืองทั้งนั้น
และประชาธิปัตย์ กลับใช้วิชามารล้มล้างรัฐบาลเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า

เรายังไม่เคยมีพรรคการเมืองใดที่เกิดจากความต้องการจากข้างล่างขึ้นข้างบน
ทุกพรรคการเมืองในไทยล้วนเกิดจากความต้องการจากข้างบนลงข้างล่าง
แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ที่ดูดี ก็กำเนิดมาจากชนชั้นสูง
อำนาจในพรรคก็ยังโยงใยอยู่กับชนชั้นสูงของสังคมเหมือนที่เคยเป็นมา

ในความรู้สึกของผมกับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าหัวหน้าพรรค ไม่ว่าทีมบริหารของพรรค
ไม่ได้มีความหมายสลักสำคัญอะไรนัก ก็เป็นแค่นอมินีของชนชั้นสูงเท่านั้น
เมื่อประชาชนมอบอำนาจให้พรรคไป ก็ไม่น่าจะสนองความต้องการของประชาชนอยู่ดี
จริงๆเป็นอย่างไรผมไม่รู้ แต่นี่เป็นความรู้สึกของราษฎรคนหนึ่งที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร

พรรคทางเลือกส่วนใหญ่ดูขี้เหร่มากทั้งนั้น แม้แต่พรรคไทยรักไทย
มาจนถึงพรรคเพื่อไทยก็ล้วนดูขี้เหร่ ไม่อาจเทียบรัศมีพรรคประชาธิปัตย์ได้เลย
แต่พรรคขี้เหร่ๆที่ชนะการเลือกตั้งมาได้นั้น ผมมองว่ามันไม่ได้เกิดจากการซื้อเสียงหรอก
แต่มันเกิดจากความห่วยของพรรคประชาธิปัตย์เอง ที่ไร้แนวทาง ไร้นโยบายที่ชัดเจน

ยิ่งการกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ในช่วงของการล้มล้างรัฐบาลทักษิณนั้น มันยิ่งตอกย้ำความไม่เอาไหน
มันตอกย้ำการไร้จุดยืน ไร้อุดมการณ์ ไร้นโยบายที่เป็นเรื่องเป็นราว
และที่สำคัญที่สุดในทางการเมือง คือไร้ความจริงใจต่อประชาชน

พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเดียวที่จะต่อกรกับพรรคประชาธิปัตย์ได้ ถึงจะมีภาพลักษณ์เป็นนอมินีเช่นกัน
แต่ประชาชนก็ได้ทุ่มคะแนนให้ ทั้งๆที่รู้ๆอยู่ว่าผลลัพท์ที่ได้มันคงไม่ต่างกัน
แต่มันก็เป็นเพียงความหวังเล็กๆของผู้คน ที่จะหาช่องทางพัฒนาการเมืองขึ้นมาได้
ใช่...หลายสิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำมันห่วยแตก มันไม่ได้เรื่องเลย...แต่ทำไงได้ละ

สิ่งที่พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องทำ ก็คือต้องรับฟังเสียงของประชาชนให้มากขึ้น
นโยบายต่างๆที่จะออกมา จำเป็นต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมประกอบการตัดสินใจ
นโยบายไหนที่มีผลลัพท์ออกมาไม่ดีก็ควรต้องยุติ และหาแนวทางใหม่ในการแก้ไข
การดันทุรังกันต่อไป มันอาจทำให้พังกันทุกฝ่าย ไม่เป็นผลดีต่อใครเลย

ในเมื่อพรรคเพื่อไทย เป็นความหวังของประชาชนส่วนใหญ่
พรรคเพื่อไทยก็จึงจำเป็นต้องรับฟังเสียงของคนส่วนใหญ่ ว่าจะเอาอย่างไร
ถ้าหากพรรคไม่มีกลไกในการรับฟังเสียงของประชาชนแล้ว
พรรคเพื่อไทยต่อไปก็จะมีชะตากรรมไม่ต่างไปจากพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นอยู่

พรรคไทยรักไทยในอดีตนั้น เกิดจากการรวบรวมมุ้งการเมืองมากมาย
การต่อรองผลประโยชน์จึงเกิดขึ้นมากมายเช่นกัน
แต่เมื่อนโยบายหลายอย่างของพรรคไทยรักไทยทำงานได้
อำนาจการต่อรองของมุ้งการเมืองก็จะลดลง จนแทบจะสลายมุ้งได้

แต่เมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองมันพลิกผันเปลี่ยนไป
มุ้งการเมืองก็กลับมาเรืองอำนาจของการต่อรองขึ้นมาอีก
และเราก็ได้เห็นกันแล้ว ว่าแค่มุ้งการเมืองกลุ่มหนึ่ง สามารถคว้ากระทรวงสำคัญได้
จนคนในวงการเมืองด้วยกันต้องพูดว่าเหมือนสามล้อถูกหวย

แนวทางของพรรค อุดมการณ์ของพรรค นโยบายของพรรคการเมือง
มันเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่จะผลักดันให้วงการเมืองเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด
มันสำคัญกว่าตัวบุคคลมากมายหลายเท่าตัวนัก
การที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยยุ่งการเมืองเลย ก้าวขึ้นเป็นนายกได้ มันเป็นสิ่งพิสูจน์แล้ว

นั่นมันก็เป็นเพียงแค่ความเห็นของราษฎรธรรมดาๆคนหนึ่ง
ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะมองเห็นอะไรๆที่แตกต่างกันออกไปเป็นเรื่องธรรมดา
บางสิ่งบางอย่างสำคัญกับคนหนึ่ง แต่อาจไม่ใช่สาระสำคัญของอีกคนหนึ่ง
ความแตกต่างอันหลากหลายจึงมีขึ้นในสังคมอันยุ่งเหยิงที่เป็นอยู่

Submitted by somchok kaojit on

ประเทศไทยยังขาดพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ ทำงานเพื่อยกระดับคุณภาพประเทศและประชาชนอย่างจริงๆเรามีแต่พรรคการเมืองเฉพาะกาล และกลุ่มต่างๆในบ้านเมืองที่ทรงอำนาจและอิทธิพล ล้วนแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตนเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอำมาตย์ ขุนนาง กลุ่มทุนเก่า กลุ่มทุนใหม่ ล้วนแต่หาความจริงใจไม่ค่อยจะได้ สยามประเทศจึงเป็นอย่างที่เห็นอยู่

Submitted by ประมุข ตั้งนภากร on

ทัศนคติ คุณน้ำลัด และ ตุณจิตสำนึก มองเหมือนกันเลยครับ สุดยอด โดยเฉพาะ วรรคนี้

"พรรคไทยรักไทยในอดีตนั้น เกิดจากการรวบรวมมุ้งการเมืองมากมาย การต่อรองผลประโยชน์จึงเกิดขึ้นมากมายเช่นกัน แต่เมื่อนโยบายหลายอย่างของพรรคไทยรักไทยทำงานได้อำนาจการต่อรองของมุ้งการเมืองก็จะลดลง จนแทบจะสลายมุ้งได้ แต่เมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองมันพลิกผันเปลี่ยนไป มุ้งการเมืองก็กลับมาเรืองอำนาจของการต่อรองขึ้นมาอีก และเราก็ได้เห็นกันแล้ว ว่าแค่มุ้งการเมืองกลุ่มหนึ่ง สามารถคว้ากระทรวงสำคัญได้ จนคนในวงการเมืองด้วยกันต้องพูดว่าเหมือนสามล้อถูกหวย"

(การปฏิวัติ พวกนี้มันเลวมากเลยครับ เพราะถ้ามันไม่มีการปฏิวัติเกิดขึ้น พวกสามล้อถูกหวยก็จะตายไปจากสังคมแล้ว และการเมืองก็จะเริ่มถ่ายเลือดใหม่ โดยเริ่มจากสายเลือดใหม่ในพรรคประชาธิปัตย์ ที่เต็มไปด้วยคนรุ่นเก่าๆ คิดแบบเก่าๆ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนการปฏิวัติ เหมือนในอดีตที่ผ่านมาของการเป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ จึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับการเป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ หากไม่มีการปฏิวัติ สถาบันก็คงไม่ถูกดึงลงมาให้เสียหายมากมายขนาดนี้ คนที่ทำการปฏิวัติทั้งหลาย เคยจับกลุ่มคุยกันหลังจากนี้ไหมว่า ผลได้ ผลเสียของประเทศไทยด้านไหนมีน้ำหนักมากกว่า...... สิ่งหนึ่งที่ได้รับจากการปฏิวัตินั่นก็คือ กลุ่มพันธมิตรได้รับการสนับสนุนน้อยลง แต่มวลชนคนเสื้อแดงกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้น ดูได้จากผลการเลือกตั้งที่เดิมเสียง Vote NO มีอยู่ 4 ล้านกว่าเสียง แต่ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดหลังจากแคมเปญ Vote NO ของกลุ่มพันธมิตร พบว่าลดลงเหลือเพียงแค่ 1 ล้านกว่าเสียง กลุ่มคน 3 ล้านกว่าเสียงหายไปไหน เคยทำการบ้านไหมครับ เพราะผมคือ 1 ใน 3 ล้านกว่าเสียง เพราะฉะนั้นยังมีกลุ่มที่ไม่สนใจทั้งกลุ่มพันธมิตร และนปช. อีกมากมายพรรคประชาธิปัตย์ควรจะเล็งเห็นตรงนี้มากขึ้น แล้ววรีบทำการบ้านซะเลย เลิกพฤติกรรมแบบในสภาได้แล้วครับ)

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

ขอบคุณทุกท่าน สำหรับท้ศนะความเห็นที่ล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงแนวทางที่สร้างสรรค์

Submitted by คนกรุง on

ผมเห็นด้วยกับคุณน้ำลัดเกือบหมด ยกเว้นเสียแต่ว่า สมัยพรรคไทยรักไทยมุ้งได้หมดไป เพราะความจริงแล้วมุ้งไม่เคยหมดไปเลย เพียงแต่ต้องยอมรับว่าคุณทักษิณสามารถไกล่เกลี่ยผลประโยชน์ได้ลงตัว ผมว่าน่าจะจำกันได้ว่า party list ของ พรรคไทยรักไทย นั้นมีมากมาย นอกจากนั้นยังมีการแต่งตั้งผู้ช่วยรัฐมนตรี ต่อจาก รมช และก็ให้ผู้มีพระคุณ หรือลูกหลานผู้มีพระคุณมานั่งเสมือนต่างตอบแทนผลประโยชน์

บังเอิญว่าระบบการเลือกตั้งในปี 50 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งไปเยอะ จะจัดไกล่เกลี่ยผลประโยชน์คงจะยากหน่อย อย่างดีก็แค่ขยันเปลี่ยน ครม. แล้วเอาผู้มีพระคุณมาสลับๆ กันนั่ง...

หากประชาชนชาวไทยยังคิดว่าตัวเองยังเป็นเบี้ยล่างนักการเมือง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็อย่าได้หวังว่าพรรคการเมืองใดก็ตามในประเทศไทยจะไม่มีมุ้ง และถ้าพรรคการเมืองใดก็ตามยังคงมีมุ้งมากมายในพรรค ก็คงจะยากที่จะอยู่ยงคงกระพันได้ เพราะพรรคการเมืองเหล่านั้นก็คงเป็นได้เพียงพรรคเฉพาะกิจ แต่จะอยู่ที่ว่าจะเป็นพรรคเฉพาะกิจได้นานเท่าใด

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

คนกรุง คุณมองปัญหาคล้ายๆผม นั่นคือ เรายากที่จะหลุดพ้นจากระบบอุปถัมภ์ (คนของมุ้งนั้นมุ้งนี้ ที่เข้าไปเอากำนันผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวคะแนน แล้วคนเขาก็ว่าตามกำนันผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ฯลฯ) ไม่ว่าในกรุงหรือบ้านนอก เอ้าคุณน้ำลัดว่าอย่างไร

Submitted by น้ำลัด on

อันที่จริงผมก็ไม่ได้บอกว่ามุ้งหมดไปซะทีเดียวนะครับ
แต่ผมมองว่าพลังการต่อรองของมุ้งมันลดไปเยอะอย่างเห็นได้ชัด
มันมีความรู้สึกเหมือนมุ้งการเมืองมันเริ่มถูกสลาย
โดยมีกระแสความนิยมของพรรคมันได้มากลบอิทธิพลท้องถิ่นแบบเดิมไปมาก
เช่นกลุ่มของพลตรีสนั่น กลุ่มวังน้ำเย็น กลุ่มปากน้ำ แทบจะถูกสลายไป

แต่มันก็เหมือนมีการเกิดมุ้งใหม่ภายในพรรคขึ้นมาแทน
แต่ผมก็มองว่ามันเป็นมุ้งแบบภาพลวงตา
มันไม่ได้แข็งแกร่งมากมายอย่างที่เคยเป็นในอดีต
อย่างล่าสุดจำนวนสส.ที่พรรคภูมิใจไทยได้มานั้นเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว
จนหัวหน้ามุ้งใหญ่ต้องไปเอาดีทางฟุตบอล ไม่รู้ทำแก้เกี้ยวหรือเปล่า
เพราะขืนเล่นการเมืองแล้วไม่ได้จำนวนสส.ตามเป้า มันก็ต้องขาดทุนควักเนื้อ
แล้วถ้ากินมูมมามมากไปก็อาจสั่นคลอนภาพลักษณ์ของตนเองมากขึ้นไปด้วย

จริงอยู่ระบบอุปถัมภ์มันไม่หมดไปง่ายๆจากสังคมไทยหรอก
มันเป็นโครงสร้างจากบนสุดถึงล่างสุดมาแต่ไหนแต่ไร
หลายภาคส่วนก็ยังต้องการให้มันคงอยู่กันแบบนั้น
และมันก็ย่อมเกิดวิธีการเดียวกันแทรกระหว่างช่องว่างของอำนาจทุกๆระยะ
มันก็คงเป็นแบบนี้ต่อไปอีกนานแสนนาน นานอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้
นานจนกว่าโครงสร้างสังคมแบบนี้มันจะค่อยๆถูกละลายไปด้วยวัฒนธรรมใหม่ๆในอนาคต

คุณคนกรุงนั้นผมเห็นมักจะชื่นชมการปกครองของจีนอยู่เรื่อย
ผมนั้นรู้น้อยมากเกี่ยวกับการเมืองการปกครองของจีนในปัจจุบัน
เขาว่ากันว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นเผด็จการ ก็ไม่รู้นะ
เท่าที่รู้เป็นคอมมิวนิสต์แต่ชื่อ การกระทำไม่ได้เป็น
เผด็จการอาจจะดูว่าใช่ เพราะเขามีพรรคเดียวไม่มีฝ่ายค้าน
เขาคงกลัวจะมีฝ่ายค้านบ้าๆลากเก้าอี้ ขว้างปาเอกสารในสภาละมั้ง

จะยังไงก็ช่างเหอะ ผมมองว่าสิ่งที่จีนผงาดขึ้นมาได้นั้น
ไม่ใช่เป็นเพราะเติ้งเสี่ยวผิงเปลี่ยนมาใช้ทุนนิยมเท่านั้น
แต่ "การปฎิวัติวัฒนธรรม" มีส่วนสำคัญเช่นกัน
ในการที่ทำให้ประเทศจีนพลิกโฉมมาเป็นแบบทุกวันนี้
ไม่อย่างนั้นคนจีนแผ่นดินใหญ่ก็อาจจะยังคงงมงายอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เหมือนที่คนไทยจำนวนมาก และคนจีนในเมืองไทยจำนวนมากเช่นกัน
ยังคงเป็นกันอยู่ ปฏิบัติกันอยู่ อย่างทุกวันนี้ เพราะในอดีตนั้น
ทั้งคนจีนและคนไทยถูกหล่อหลอมมาด้วยสูตรสังคมคล้ายๆกัน

ในเมืองไทยถ้าจะให้เป็นเผด็จการแบบจีนแล้วจะดีไหม?
ผมว่ายังไม่ได้หรอก และก็จะไม่อาจประสพความสำเร็จอย่างจีนได้
จะสำเร็จได้ ก็ควรต้องผ่านกระบวนการ "ปฏิวัติวัฒนธรรม" เสียก่อน
เพื่อละลายระบบอุปถัมภ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่มีอยู่มากมาย
แล้วล้างออกไปให้มากที่สุด ให้เหลือน้อยที่สุด เท่าที่จะทำได้
แล้วเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ เมืองไทยถึงจะมีโอกาสก้าวกระโดดได้
ฟังดูน่ากลัวนะครับ...ผมกำลังจะเป็นกบฎไหมเนี่ยะ?

ปรากฏการณ์ทักษิณ เป็นเพียงปรากฏการณ์หนึ่ง ในสังคมไทย
จากนี้ไปเรื่องราวต่างๆมันก็คงจะอ่อนแรงลงไป เมืองไทยก็ยังเป็นเมืองไทย
คนไทยก็ยังคงเป็นคนไทย คิดอย่างไทย อยู่อย่างไทยกันต่อไป ชั่วลูกชั่วหลาน
ถึงแม้จะมีคนกล่าวด้วยเสียงเบาๆว่า "มึงไทยมาก" ก็ตาม
มันก็ไม่อาจจะสั่นคลอนความเป็นไทยไปได้อย่างแน่นอน
ไม่แน่นะ...ดาราเกาหลีอาจจะสั่นคลอนความเป็นไทยได้มากมายกว่าที่คิด

พูดตรงๆผมมองไม่เห็นอนาคตของพรรคเพื่อไทยเช่นกัน
นอกเสียจากว่ามันจะมีเงื่อนไขอะไรใหม่ๆทำให้พลิกผ้นเปลี่ยนไปได้อีก
มันอาจจะขึ้นอยู่กับแผนมาร์เก็ตติ้งการเมืองที่ใครสักคนซุ่มทำอยู่ก็ได้
อะไรที่มันเป็นความแปลกความใหม่ มันมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงเสมอ
ถึงแม้จะยังมีคนส่วนหนึ่งไม่อยากจะให้อะไรๆมันเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม

พอละ...ไปหาโคนหางตัวเหี้ยมาทำสะเต็กกินดีกว่า...หรือจะเอามันมาทำห่อหมกดี
จะได้เสริมความเหี้ยของผมให้มันมากขึ้น ให้มันทัดเทียมกันกับแวดวงการเมืองไทย

Submitted by น้ำลัด on

แลน

ผมยังไม่เคยกินตัวเหี้ย แต่เคยกินตัวตะกวด(ตัวแลน) คิดว่ารสชาติมันคงเหมือนกันแหละครับ
ม.เกษตรศาสตร์กำแพงแสนก็ทำฟาร์มเลี้ยงตัวเหี้ยขึ้นมาแล้ว เป็นไปได้ว่าต่อไปจะกลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจ
เป็นสัญญาณเตือนว่า "เหี้ย" ในอนาคตจะเป็นคำด่าที่มีความรุนแรงลดลงได้นะครับ
อย่างหมาสมัยก่อนคนไทยถือว่าเป็นสัตว์ที่ไม่เอาไหนถึงขั้นเอามาเป็นคำด่ากัน
แต่หมาสมัยนี้กลายเป็น "น้องหมา" กันไปตั้งเยอะแล้ว

นำร่องศึกษา "เหี้ย" ที่ กำแพงแสน