แค่นี้เองแหละว่ะชีวิต จะไป Worry อะไรกับมันนักหนา

 

เมื่อคนเราเกิดมามีชีวิต
 
             นับตั้งแต่เป็นทารกลืมตาขึ้นมาดูโลก ต้องมีคนคอยประคบประหงมเลี้ยงดู...ราวกับไข่ในหิน จนเป็นเด็กโตที่พอช่วยตัวเองได้ กระทั่งผ่านการเลี้ยงดูและให้การศึกษาอีกนานนับสิบกว่าปี จนโตเป็นผู้ใหญ่ ที่สามารถเลี้ยงดูและพึ่งพาตัวเองได้ โดยมีพลังแห่งความกลัวตาย ซึ่งเป็นรากเหง้าของความกลัวสารพัดความกลัว คอยผลักดันให้คนเรากระทำสิ่งต่างๆ เพื่อรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย จากโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย และอันตรายรอบด้าน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น   
 
            เชื่อกันว่า พลังแห่งความกลัวตายนี้เป็นธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน ต่างชาติ  ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อ ขนบประเพณี ฯลฯ กันอย่างไร คนเราทุกคนล้วนแล้วแต่ “รักสุขเกลียดทุกข์ รักตัวกลัวตาย” เหมือนกันหมดทุกคน
 
        ด้วยเหตุนี้เอง นอกเหนือจากการดิ้นรนเพื่อให้ชีวิตทางกายที่เป็น เลือดเนื้อ ได้อยู่รอดปลอดภัยแล้ว คนเรายังต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจาก ความกลัวตาย และความกลัวอีกสารพัดอย่างที่งอกงามมาจากความกลัวตาย ซึ่งเป็นเรื่องทาง จิตใจ อยู่ตลอดชีวิต ว่ากันว่า การแสวงหาของมนุษย์ในเรื่องนี้แหละ ที่เป็นบ่อเกิดของศาสนา ปรัชญา ความเชื่อ และศาสตร์ต่างๆอีกมากมายในโลก ที่เป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่มนุษย์ได้หลุดพ้นจากความกลัวทั้งปวง
 
        ผมเป็นคนที่เติบโต มาจากสังคมพื้นบ้านล้านนา ที่มากมายด้วยผีสารพัดผี...ในโลกทางจิตวิญญาณแห่งล้านนา ซึ่งมีทั้งผีดีและผีร้าย มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และเราต่างก็นับถือผีที่ถือกันว่าเป็นผีดี ตามบรรพบุรุษของเรามาหลายชั่วอายุคน เช่น ผีเรือน  ผีเจ้าที่ ผีปู่ย่า ผีเสื้อบ้าน ผีเสื้อวัด ผีเจ้านาย ฯลฯ ที่เชื่อกันว่า จะดูแลปกป้องเราให้อยู่รอดปลอดภัยจากความกลัวสิ่งต่างๆในโลกที่ชีวิตต้องเผชิญ ควบคู่กับพุทธศาสนาพื้นบ้านที่มีแต่เรื่องพิธีกรรม และคำสวดมนต์ภาวนาที่ผมฟังไม่เข้าใจ มากกว่าหลักธรรมคำสอน แต่ก็รู้สึกอบอุ่นดี ที่ได้เชื่อตามผู้ใหญ่ในวัยเด็ก
 
        ซึ่งการนับถือผีนี้ค่อยๆลดละลงในคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของผม ในช่วงที่สังคมกำลังเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมกึ่งเลี้ยงดูตัวเองและเพื่อขาย มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อขายเพียงประการเดียว ซึ่งทำให้เงินตรามีความสำคัญมากกว่าความรักและความเชื่อดั้งเดิม นั่นคือ ยังคงนับถือเท่าที่จำเป็น เช่น ผีเจ้าที่ ที่เราสร้างหอไว้ในบ้านให้ท่านสิงสู่  ก็เพื่อให้ท่านช่วยดูแลปกป้องมิให้คนร้ายและผีร้ายๆเข้ามาในบ้านในยามค่ำคืน หรือ ผีปู่ย่า ที่ครอบครัวของเราต้องส่งตัวแทนไปเซ่นไหว้ที่หอผีของบรรพบุรุษร่วมกับญาติพี่น้องที่มาจากผี เดียวกันทุกปี ก็เพื่อจะได้รับการดูแลปกป้องเช่นกัน ฯลฯ
 
        ต่อมา เมื่อผมซึ่งเป็นคนที่พอจะมีการศึกษาอ่านออกเขียนได้ ได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ผมจึงค่อยๆหันเหความสนใจไปนับถือความเชื่อที่เป็นเหตุเป็นผล โดยเฉพาะคำสอนทางพุทธศาสนาจาก ท่านพุทธทาส และค่อยๆถอยห่างออกมาจากการนับถือผีและพุทธแบบพิธีกรรม เข้าไปหาคำสอนทางพุทธจากท่านที่ถือกันว่า เป็นพุทธที่บริสุทธิ์ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ไม่มีลัทธิความเชื่อใดๆมาแปดเปื้อนเจือปน รวมทั้งคำสอนจากพระและฆราวาสที่ได้ชื่อว่า  ศึกษาดีแล้ว ปฏิบัติดีแล้ว ตามแนวทางนี้ อีกหลายท่าน
 
         แต่เนื่องจาก พุทธศาสนาที่ผุดผ่องนี้ ช่างเป็นศาสนาที่ว้าเหว่เหลือเกินครับท่านผู้ชม นั่นคือ เป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระผู้ไถ่ ไม่มีผู้ใดทั้งสิ้นมาคอยให้ความช่วยเหลือ  มีแต่ ตนเป็นที่พึ่งของตน  ที่ต้องปฏิบัติตามหลักของศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น จึงจักบรรลุผลต่างๆตามกฎแห่งกรรม  
 
             ผมซึ่งเป็นคนอ่อนแอในทางสังคม นั่นคือ ไม่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่น่ายำเกรง ไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่มีเกียรติ ไม่มีองค์กรและสถาบันอ้างอิง ไม่มีพรรคพวกที่มีอำนาจวาสนา ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยเคารพนบนอบ จึงทำให้ผมเป็นคนอ่อนแอทางสังคม และขาดอำนาจต่อรองสิ่งต่างๆ จนไม่มีใครเขาอยากมาคบค้าสมาคมด้วย และยากแสนยาก...ที่จะปฏิบัติตัวให้อยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีงามได้
 
            บ่อยครั้ง ผมจึงต้องแอบไปพึ่งพาศาสนาที่เขามีพระเจ้า และพระผู้ไถ่ โดยจินตนาการถึงพระเจ้า และอ้อนวอนขอให้พระองค์ช่วยเหลือ เวลามีความทุกข์เหลือที่จะทน หรือไม่ก็จินตนาการถึงพระผู้ไถ่แล้วสารภาพบาป เวลาผมจำเป็นต้องลงมือทำความผิดบาป...เพื่อการอยู่รอดของชีวิต แล้วรู้สึกผิดและกลัวจนผวา...หลังจากลงมือทำความผิดบาปแล้ว เพื่อขอให้ท่านช่วยไถ่บาป ให้ผมได้มีทางออก (ทั้งๆที่ผมไม่ได้เข้ารีตตามขนบของเขาสักหน่อย ฮา)         
 
          เพราะ กฎแห่งกรรม ในพุทธศาสนาเป็นกฎที่เคร่งครัดตายตัว ไม่มีคำว่า  ยืดหยุ่น  ไม่มีคำว่า ให้อภัย และข้อยกเว้น ให้แก่ใครหน้าไหนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นราชาหรือกระยาจก ใครประกอบกรรมใด ไม่ว่า กรรมดี หรือ กรรมชั่ว ถ้ามีเหตุปัจจัยเพียงพอ เขาจะต้องได้รับผลจากกรรมนั้น ไม่ช้าก็เร็ว ผมจึงต้องแอบไปพึ่งพาศาสนาที่เขาเข้าใจ ความอ่อนแอ ความยากไร้ และความจำเป็นของมนุษย์ที่ต้องทำความผิดบาปอย่างผม ด้วยการยืดหยุ่นให้มีทางออกดังกล่าว และคงต้องแอบไปพึ่งพาศาสนาโรแมนติกนี้ อีกหลายครั้ง (ฮา)
 
           นอกจากนี้แล้ว ผมยังรับเอาคำสอนจากเซ็น เต๋า และกฤษณมูรติ (ที่ผมชอบเป็นพิเศษ) ที่มีคำสอนแนวเดียวกันกับทางพุทธจากท่านพุทธทาส ที่ผมถือเป็นหลัก เข้ามาร่วมอยู่ด้วย
 
           ทุกวันนี้ ถึงแม้ผมจะถอยห่างออกมาจากผีและพุทธแบบพิธีกรรม ซึ่งประการหลังนี่...นอกจากความจำเป็นที่ต้องเข้าร่วมพิธีกรรมตามจารีตประเพณี นานๆครั้งแล้ว ก็แทบไม่มีอะไรที่มีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจของผมอีก แต่ ผียังคงมีอิทธิพลครอบงำจิตใจของผมอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ผมจะออกมาอยู่ห่างไกลจากผีมานานแล้ว  แต่ความ กลัวผีก็ยังมีอยู่ในจิตใจของผมอย่างแนบแน่น...
 
          นั่นเป็นเพราะว่า ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก ผมถูกปลูกฝังความเชื่ออย่างซ้ำๆซากๆจากครอบครัวและสังคมว่า ผี เป็นสิ่งที่น่ากลัวพร้อมกับภาพพจน์ต่างๆที่น่ากลัวของผี แม้แต่ผีที่เป็น ผีผ่ายดี ที่เชื่อกันว่า จะช่วยดูแลปกป้องความกลัวจากภัยอันตรายต่างๆ ผมก็ถูกปลูกฝังให้กลัวและระมัดระวัง ไม่ให้ไปทำอะไรที่เป็นการ ผิดผี(ล่วงเกิน) เช่น ไปฉี่รดหอผี หรือพูดจาในเชิงก้าวร้าวลบหลู่ เพราะจะถูกท่านทำอันตรายให้เจ็บไข้ได้ป่วย หรือกระทำให้ฟั่นเฟือนเป็นบ้าเป็นหลัง
 
          เฮ้อ ช่างเป็นเรื่องเศร้าที่น่าเบื่อเสียจริงๆ ในขณะที่ผมถูกปลูกฝังให้นับถือ ผีดี ผีที่เขาว่าจะดูแลปกป้องผมจากความกลัวภัยอันตรายต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ถูกปลูกฝังให้กลัวอันตรายจาก ผีดี ที่ว่าจะดูแลปกป้องผมด้วย ผมจึงกลายเป็นคนที่ต้องกลัวผี ทั้งผีดีและผีร้ายมาตลอดชีวิต และเชื่อว่าความกลัวนี้ คงยากที่ถ่ายถอนได้  ไม่ว่าผีจะมีจริงหรือไม่มีเพราะมันฝังรากลึกอยู่ภายใต้จิตสำนึกจนสุดหยั่ง...เสียแล้ว เซ็งจริงๆ
           
           ก็พอสรุปได้ว่า หลังจากผมถอยห่างออกมาผีและพุทธแบบพิธีกรรม นอกจากศาสนาที่มีพระเจ้าและพระผู้ไถ่ ที่ผมมักจะแอบไปพึ่งพาในทางจินตนาการ ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว ผมพบว่าจิตใจของผม มักพร้อมที่จะเปิดกว้างยอมรับความเชื่ออื่นๆ ที่มีหลักคำสอนคล้ายคลึงหรือตรงกับหลักธรรมคำสอนทางพุทธจากท่านพุทธทาส ที่ผมถือเป็นหลัก มากกว่าอย่างอื่น
 
             เมื่อกลางปี 2552ผมบังเอิญได้ดูรายการสารคดีท่องโลกจากทีวีไทย TBS ที่บอกเล่าถึงวิถีชีวิตของผู้หญิงชนเผ่าหนึ่งบนเทือกเขาหิมาลัย โดยเขาถ่ายทำให้เห็นภาพกิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวันของผู้หญิงค่อนข้างสูงอายุคนหนึ่งในแต่ละวัน จนกระทั่งถึงวันที่เธอจากโลกนี้ไป...
 
       แม้จะได้ดูตอนปลายๆ แต่ก็พอจับความได้ว่า เขาต้องการเสนอปรัชญาชีวิตของชนเผ่านี้ โดยผ่านผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อยามมีชีวิตอยู่ ก็ไม่เป็นทุกข์เพราะความยากลำบากในการมีชีวิตจนเกินเหตุ ครั้นเมื่อถึงวาระสุดท้าย...ก็มิได้ทุรนทุรายอาลัยอาวรณ์สิ่งใดในโลกนี้ให้ขุ่นข้องหมองใจ เพราะชนเผ่าของนางมีปรัชญาความเชื่อ ที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษมานานแล้วว่า
 
                            เราเกิดมาเพื่อตาย
                            เราพบผู้คนต่างๆเพื่อลาจาก
                            เราสะสมสิ่งของต่างๆ
                            เพื่อที่จะสูญเสียมันไปในวันหนึ่ง
 
           โอผมฟังแล้วถึงกับขนลุก เพราะมันแทงทะลุเข้าไปถึงใจ และยังอยู่ในใจผมมาจนทุกวันนี้ เนื่องจากถ้อยคำเพียงไม่กี่คำนี้ เนื้อหามันตรงกับหลักปฏิบัติธรรมคำสอนขั้นสูงสุดในพุทธศาสนา ที่ท่านพุทธทาสพร่ำบอกแก่เราอย่างซ้ำๆซากๆ มาตลอดอายุขัยของท่าน แต่มันมาติดอยู่แค่สมอง...ไม่เคยทะลุไปถึงใจว่า “สรรพสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” เพราะต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงที่เราหวาดกลัว คือ “การยึดมั่นถือมั่น”สารพัดอย่างในชีวิตเรา นั่นเอง
 
        จริงๆน ะ หากเรายอมรับความจริงของชีวิต “ที่ต้องเป็นเช่นนี้” ได้ ดังที่พวกเขายอมรับมันอย่างองอาจ ตรงไปตรงมา ชีวิตเราคงจะง่ายขึ้นและเป็นทุกข์กันน้อยลง ใช่หรือมิใช่
                         
                            เราเกิดมาเพื่อตาย
                            เราพบผู้คนต่างๆเพื่อลาจาก
                            เราสะสมสิ่งของต่างๆ
                            เพื่อที่จะสูญเสียมันไปในวันหนึ่ง
                       
         แค่นี้เองแหละว่ะชีวิตจะไปworry อะไรกับมันนักหนา.
 
                                                                
18 กรกฎาคม 2554  - 11 มิถุนายน 2555
                                          
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
 

 

ความเห็น

Submitted by Thotspol on

ขอบคุณครับพี่ ที่เขียนบทความดีๆ ชิ้นนี้ ผมกำลังอ่าน "ประตูสู่สภาวะใหม่ : คำสอนธิเบตเพื่อเตรียมตัวตาย และช่วยเหลือผู้ใกล้ตาย" ของท่านโซเกียล รินโปเช แปลโดย พระไพศาล วิสาโล อยู่พอดี

เจ้าเกิดมามีอะไรมาด้วยเล่า
เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
เจ้าเกิดมาตัวเปล่าแล้วเจ้าจะเอาอะไร
เจ้าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา

House

Submitted by น้ำลัด on

จริงๆนะ...ผมอ่านบทความของคุณถนอมแล้วสบายใจกว่าเยอะ
มีความรู้สึกถึงการสื่อสารจากปุถุชนสู่ปุถุชน
มีความเป็นปุถุชน โดยปุถุชน เพื่อปุถุชน
แต่เอ..."ปุถุชน" นี่มันแปลว่าอะไรหว่า...มันใช่ภาษาไทยไหมเนี่ยะ

เวลาที่อ่านเรื่องของศาสนาโน้นศาสนานี้เพียวๆแล้ว
ผมมีความรู้สึกเหมือนกำลังติดคุกแห่งความคิด ยังไงยังงั้น
หากถลำตัวเข้าไปลึกในแต่ละศาสนา เหมือนจะเจอเผด็จการทางความคิดเข้าให้แล้ว
ก็ไม่ถึงกับว่าศาสนาไม่ดีนะครับ ศาสนาเขาก็ดี
แต่ผมจะรู้สึกไปเองว่ากำลังถูกคุมขังด้วยความดี
เมื่อเข้าคุกศาสนาไปแล้ว จะไม่กล้าออกมาเผชิญชะตากรรมชีวิตภายนอก
จะรู้สึกว่าภายนอกนั้นเต็มไปด้วยสิ่งบาป เต็มไปด้วยภยันตรายสารพัด

ผมเคยดูภาพยนตร์เกี่ยวกับสายลับเด็กเรื่องหนึ่ง
มีนักประดิษฐ์คนหนึ่งไปติดเกาะกลางมหาสมุทร
เขาพยายามสร้างสัตว์จิ๋วย่อส่วนเพื่อทำเป็นสวนสัตว์เล็กๆในบ้าน
แต่การทดลองผิดพลาด เกิดสัตว์ประหลาดตัวใหญ่มากมาย
แล้วเขาก็ขังตัวเองอยู่บนเกาะนั้น ไม่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับสัตว์ที่ตนเองสร้างขึ้น

และเขาก็พูดว่า ตัวเขาเองคงเหมือนพระเจ้าที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา
มนุษย์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมานี้ช่างดุร้ายป่าเถื่อนและอำมหิต
จนพระเจ้าเกรงกลัวต่อมนุษย์ วันๆพระเจ้าเอาแต่ขังตนเองบนสวรรค์
ไม่กล้าลงจากสวรรค์มาเผชิญหน้ากับมนุษย์ที่ตนได้สร้างขึ้นมา...!!!

Submitted by รักเสื้อเหลือง on

คุณถนอม เป็นผู้มีสติปัญญาสูง ไม่ลองศึกษาพุทธวจนะดูหรือครับ

ถ้าคุณถนอมศึกษาของท่านพุทธทาสแล้ว ผมว่า ปรับอีกนิดหน่อย ไม่น่าจะยาก

ท่านพุทธทาสคัดคำสอนเอาแต่พุทธวจนมาสอนก็จริง แต่ข้อเสียคือ ท่านมักจะตีความคำสอนนั้นๆไปด้วย

เราอย่าไปฟังการตีความของท่าน เราอ่านแต่คำของพระพุทธเจ้า แล้วเรียบเรียงเอาเอง

ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ตายแล้ว ก็ต้องเกิดอีกนะครับ และ ยากมากที่จะได้เกิดเป็นคนอีก และยิ่งยากถ้าจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา ดังนั้น โดยทั่วๆไป แล้ว คนเราตายแล้วมักจะไปอบาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ดังนั้น ในแต่ละวัน เราจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะหนีสังสารวัฏนี้ให้ได้ โดยปฏิบัติ สติปัฏฐานสี่ หรือ อานาปา หรือมรรคแปด อะไรก็ได้เพราะมันก็เหมือนกันในท้ายที่สุด แต่เริ่มต้น จากทาน ศีล แล้วก็ภาวนา ก็ดี ชาวพุทธทั่วๆไปก็ทำแบบนี้ ทำแค่นี้ ผมโชคดี มีเงินเดือนกิน จึงไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรที่ผิดศีล

พอดีผมมีธุระ ขออนุญาต ลาตรงนี้ก่อนนะครับ

Submitted by น้ำลัด on

เรื่องความเชื่อเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด
ผมคิดว่ามันก็ยังคงเป็นเรื่องถกเถียงกันไปได้เรื่อยๆ
ก็อาจจะยังยากที่จะหาข้อพิสูจน์กันให้เห็นได้อย่างชัดเจน
และก็ไม่รู้ว่าขอบเขตของการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเฉพาะมนุษย์
หรือรวมทั้งสัตว์ทั้งพืช หรือ ทั้งสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอื่นๆด้วย

มีหลายปรากฎการณ์ที่ชวนให้เชื่อว่ามีการกลับชาติมาเกิด
ทั้งในเมืองไทยและในต่างประเทศ มีแม้กระทั่งในประเทศที่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อเรื่องนี้
แต่ก็ยังนับว่ามีจำนวนน้อยราย เมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่ซึ่งจะไม่สามารถระลึกชาติได้
มันจึงยังคงเป็นความคลุมเครือว่ามันจะบังเอิญหรือไม่ หรือมันมีจินตนาการมาเจือปน
...หรือมันเป็นอย่างไรกันแน่

ไม่นานมานี้ก็มีผมก็ได้รับการบอกเล่าเรื่องทำนองนี้จากคนพม่าที่มาจากเมืองเมียวดี
เขารับอุปการะเด็กคนหนึ่งซึ่งมีนิ้วพิการ และมีร่องรอยเหมือนถูกเชือกรัดที่ข้อเท้าและข้อมือ
เขาเล่าว่าตอนที่เด็กคนนี้เริ่มพูดได้ เด็กก็เล่าว่าแกถูกคนจับมัดมือมัดเท้าแล้วโยนลงแม่น้ำ
มันก็เป็นเรื่องแปลกดีนะครับ ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาเด็กคนนี้ก็ได้เข้ามาเมืองไทย
และที่แขนและขาของเด็กก็ยังคงมีร่องรอยคล้ายเคยถูกเชือกรัดให้เห็นอยู่นะครับ

ไม่รู้ว่าคุณถนอมพอจะอธิบายความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี้ของทางศาสนาคริสต์ได้ไหมครับ
แล้วอีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่าศาสนาคริสต์ในเมืองไทยได้มีการปรับตัวกลายพันธุ์ไปอย่างไรบ้างหรือไม่

ผมคิดว่าศาสนาคริสต์ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องในเมืองไทย
วัยรุ่นสมัยนี้ชื่นชอบวัฒนธรรมเกาหลีเอามากๆ แล้วภาพยนตร์เกาหลีก็มักจะมีฉากการแต่งงานแบบคริสต์
ซึ่งผมว่ามันน่าจะมีผลกระทบทำให้คนรุ่นใหม่นับถือศาสนาคริสต์มากขึ้น
อาจจะด้วยเหตุผลเพียงแค่จะได้แต่งงานเทห์ๆแบบในหนังเกาหลีนะครับ
คนรุ่นใหม่มักจะตัดสินใจกันเร็ว และมีปัจจัยในการตัดสินใจน้อยลงด้วย

Submitted by เอ๋ on

เห็นด้วยแต๊ๆเจ๊าอ้ายหนอม ตอนนี้ก็ศึกษาคําสอนของท่านพุทธทาสอยู่เหมือนกัน ชอบเรื่องผัสสะที่ท่านสอน เข้าใจง่ายแต่ทํายากแต๊ ทุกสิ่งเป็นการปรุงแต่งตามธรรมชาติและเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัยเรื่อยๆ คิดได้่ย่างนี้บางครั้งก็ปลงได้ ตอนนี้ก็พยายา
ควบคุมให้อยู่ ไม่ให้หลงสุดเหวี่ยง เดี๋ยวจะทําให้คนอื่นเดือดร้อนนะเจ๊า
กึ๊ดเติงหาเชียงใหม่นะอ้าย คิดถึงร้านสายหมอกเมื่อ10ปีที่แล้ว

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

thotspol ขอบคุณครับ งานเซอเกียมน่าสนใจ แต่ฟังเนื้อหาเรื่องที่คุณกำลังอ่านแล้วใจฝ่อพิกล (ฮา) พอรู้แต่ว่าธิเบตเขาเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ บางที...คงต้องหามาอ่าน

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

น้ำลัด เรื่องการตกเป็นเหยื่อความเชื่อของตนเองที่คุณเล่ามา ผมว่ามีเยอะ...คลับคล้ายเหมือนคนนั่งแพที่มีไวืสำหรับข้ามฟาก แต่ไปถึงฝั่งแล้ว มีคนมากมายหลายคน (อาจจะเป็นผมอีกคนหนึ่ง) ที่ไม่ยอมทิ้งแพ (คำสอนเพื่อปฏิบัติ) ขึ้นไปบนฝั่ง เพราะคิดไปคิดมาอยู่บนแพสนุกกว่า ถ้าผมเปรียบเทียบผิดประเด็นต้องขออภ้ยด้วย เ

เรื่องเวียนว่ายตายเกิดนั้น ผมก็ตันพอๆกับคุณนั่นแหละครับ เคยมีคนถามขงจื๊อ (ถ้าอ้างไม่ผิด) ทำนองนี้ว่า โลกหน้าจะเป็นอย่างไร ขงจื๊อคนเจ้าปัญญาตอบว่า โลกนี้ที่เราอยู่กันทุกวันเรายังไม่รู้จักเลย จะมัวเสียเวลาไปคิดถึงโลกหน้าทำไม แกตอบดีนะครับ ส่วนทางพุทธบ้านเราเรียกกันว่า มันเป็นเรื่อง อาจินไตย คือเป็นเรื่องที่ไม่ควรเก็บมาคิด แต่ให้มุ่งหน้าทำสิ่งที่เป็นบุญกุศล ถ้าชาติหน้ามีจริง ย่อมจักได้ไปเกิดในภพที่ดี ผมคงร่ายให้คุณฟังได้เพียงแค่นี้

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

คุณรักเสื้อเหลือง จริงของคุณที่ผมมัวไปติดธรรมะมือสอง จนลืมนึกถึงพระวัจนะที่เป็นออริจินัลของพระพุทธเจ้า ที่ตัวเราเองก็มีสิทธิที่จะนำมาใคร่ครวญไตร่ตรองด้วยตนเอง ขอบคุณมากครับ...ที่มาช่วยสะกิด ทุกวันนี้ในเชิงปฏิบัติผมหันหน้าเข้ามาดูอารมณ์ เหตุผล ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ทั้งในด้านบวกและด้านลบ เพื่อทำความรู้จักและเข้าใจมัน

เพราะผมเห็นด้วยกับกฤษณมูรติที่กล่าวว่า ความไม่รู้ที่มืดบอดที่สุดของมนุษย์ คือความไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ อารมณ์ เหตุผล ความรู้สึกคิดของตนเอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้สติดูตนเองอยู่ตลอดเวลา เหมือนอย่างที่หลวงพ่อเทียนบอกว่า "เหมือนแมวคอยตะครุบจับหนู" (ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมชอบและสนุกกับมัน แต่ผมก็หลุดบ่อยๆ) โดยเฉพาะในเวลาที่มีความสัมพันธ์กับผู้คน และขัดแย้งกัน กว่าจะรู้ตัวว่า เรากำลังโกรธเขา เรากำลังถกเถียงเขาเพื่อเอาชนะ ซึ่งก็คือการทำร้ายกันทางวาจานั่นเอง เพราะเรายอมแพ้ไม่ได้ ก็ได้ทำไปเสียแล้วด้วยอารมณ์ล้วนๆ ที่สติไล่ตามไม่ทัน

ส่วนเรื่องอื่นๆผมปล่อยไว้ก่อน เพราะเชื่อว่าถ้าได้เรื่องสติเป็นหลักที่มั่น อย่างอื่นๆน่าจะติดตามมาโดยปริยาย

ขอบคุณมากๆครับ ที่ช่วยชี้ทางธรรมที่ชัดเจนอีกทางหนึ่งให้ผม

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

เอ๋ อ้ายเข้าใจว่าเ๋อ๋ คงจะอยู่ที่อเมริกานะ หวังว่าชีวิตคงแฮปปี้ดีเนาะ ร้านสายหมอกยังอยู่ แต่อ้ายออกมาอยู่บ้านหลายปีแล้ว ช่วงหลังๆพี่หมูเขาให้ลูกชายและสูกสะใภ้เป็นผู้ดูแล แต่บรรยากาศยังคงอนุรัหษ์ไว้เหมือนเดิม ขอบคุณครับที่เข้ามาอ่านและทักทาย

Submitted by namping on

ความตายของคนเชื่อพระเจ้าคือละสังขารคืนแก่ธรรมชาติ
เราอยู่อย่างคนมีความหมาย ตายแล้วก็ตายด้วยความหวัง

เพราะเราเชื่อมั่นว่าพระเยซูจัดเตรียมที่สำหรับเราบนสวรรค์
ความตายของคนเชื่อพระเจ้า คือ การได้ไปสวรรค์สถานคะ

Submitted by น้ำลัด on

พอจะเข้าใจครับว่าผู้ที่เชื่อในพระเจ้า
เมื่อตายจากโลกนี้ ก็จะได้สู่สวรรค์ดินแดนของพระเจ้า

ในขณะที่อิทธิพลความเชื่อจากอินเดียนั้น
คนเราจะต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด
เทพเจ้านั้นเหมือนคนชั้นสูง มีอำนาจมีฤทธิ์เดช
เทพเจ้ามีความใจดี มีโกรธ มีโมโห เหมือนปุปถุชน
อาจจะให้คุณ อาจจะให้โทษ ขึ้นอยู่กับใครจะปฏิบัติอย่างไรต่อเทพเจ้า

ศาสนาพุทธก็น่าจะได้รับอิทธพลความเชื่อนี้แฝงอยู่ไม่น้อย
แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์จึงสามารถนิพพานได้
หรือว่านั่นเป็นการปฏิเสธความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือเปล่า
เมื่อใครมีความเชื่อเรื่องนี้เช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้า
ก็ย่อมถือว่าเป็นการบรรลุแล้ว ก็ย่อมหมายถึงการจะไม่ไปเกิดใหม่อีกแล้ว

ในขณะที่มันมีปรากฏการณ์อยู่จำนวนมาก
ที่เหมือนจะชี้บ่งถึงการกลับชาติมาเกิดของคนเรา
ผมก็เลยนึกไปว่าถ้า "วิญญาณ" มีจริง
เราจะอธิบายเรื่องวิญญาณในทางฟิสิกส์ได้อย่างไร

วิญญาณอาจเป็นกลุ่มพลังงาน หรือกลุ่มอนุภาคมูลฐานชนิดหนึ่งในโลกในจักรวาล
กลุ่มพลังงานชนิดนี้ สามารถก่อตัวได้จาก "แรงปรารถนา" ของสิ่งมีชีวิตใดๆ
กลุ่มพลังงานที่ก่อตัวขึ้นจากแรงปรารถนานี้จะเข้มข้นแตกต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับแรงปราถนาที่สร้างขึ้นจากสิ่งมีชีวิตนั้นๆ

กลุ่มพลังงานอาจจะถูกสร้างขึ้นโดยแรงปรารถนาแบบอาฆาตมาดร้าย
หรืออาจจะเป็นแรงปรารถนาแห่งรักและผูกพัน
หรือเป็นแรงปราถนาที่จะไปอยู่กับพระเจ้า
หรือแรงปรารภนาใฝ่หาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
หรือจะเป็นแรงปราถนาอะไรก็แล้วแต่ หากมีความแรงกล้ามากพอ
ก็ล้วนจะก่อให้เกิดกลุ่มพลังงานขึ้นมาได้ ในระดับต่างๆกันไปในแต่ละคน
และก็ไม่อยากจะจำกัดมันไว้เฉพาะคนเราเท่านันที่มีความสามารถนี้
มันอาจรวมไปถึงสัตว์อื่นๆ หรือแม้กระทั่งพืชด้วย หากมันมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาได้

กลุ่มพลังงานที่เกิดขึ้นมานี้ อาจจะไม่ได้มีอยู่อย่างคงทนถาวร
แต่อาจจะแผ่วเบาลงไปเรื่อยๆ มีครึ่งชีวิต (half life) เช่นเดียวกับสารกัมมันตภาพรังสี
เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ วิญญาณนั้นๆก็จะค่อยๆสลายตัว แผ่วเบามากขึ้นทุกเวลา
วิญญาณของคนที่ตายไปนานมากๆจึงไม่ค่อยได้มาเพ่นพ่านให้เห็น
ในขณะที่วิญญาณใหม่ไม่นานเกินไป อาจรวบรวมตัวเองไปอยู่ในสมองของใครบางคน
จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ระลึกชาติได้ขึ้นมา แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเกินไป
ความสามารนี้ก็จะลดลงไปตามลำดับ

แล้วกลุ่มพลังงานชนิดนี้ยังอาจสามารถแตกตัว แบ่งก้อนพลังงานได้ด้วย
ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนความเชื่อของชาวธิเบตได้ด้วย
เพราะชาวธิเบตเชื่อว่าวิญญาณของคนเรานั้นอาจจะไม่ได้ไปเกิดใหม่แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
แต่วิญญาณของคนๆหนึ่งอาจไปเกิดใหม่เป็นคนหลายคนได้ด้วย...แปลกแฮะ

พอแค่นี้ก่อน...ออกความเห็นมากไปแล้ว และผมกำลังจะกลายเป็นคนบ้าวิญญาณ

Submitted by on

ดี

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

numping ขอบคุณ คุณน้ำปิงครับ ที่สรุปภาพรวมของคริสตศาสนาให้เข้าใจได้อย่างสั้ๆและชัดเจน

Submitted by ถนอม ไชยวงษ์แก้ว on

น้ำลัด ขอบคุณเช่นกันสำหรับความเห็นในเชิงคาดคะเนอันกว้างขวางและย่อยยิบจากคุณน้ำลัด ท่านผู้ใดอยากแสดงความคิดเห็น เชิญออกมาร่ายกันตามอัธยาศัย เพราะความหลากและความขัดแย้งทางความคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร จะช่วยให้เราประมวลอะไรได้กระชับยิ่งขึ้น ขอบคุณครับ

Submitted by สุขนิรันดร์ on

พวกที่ตายก็ตายไป พวกที่ยังอยู่ก็ยังต้องฆ่ากันไปตรบจนวาระสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ นี่คือพรจากพระเจ้าที่ทรงประทานเรา