เมื่อคนเราเกิดมามีชีวิต
นับตั้งแต่เป็นทารกลืมตาขึ้นมาดูโลก ต้องมีคนคอยประคบประหงมเลี้ยงดู...ราวกับไข่ในหิน จนเป็นเด็กโตที่พอช่วยตัวเองได้ กระทั่งผ่านการเลี้ยงดูและให้การศึกษาอีกนานนับสิบกว่าปี จนโตเป็นผู้ใหญ่ ที่สามารถเลี้ยงดูและพึ่งพาตัวเองได้ โดยมีพลังแห่งความกลัวตาย ซึ่งเป็นรากเหง้าของความกลัวสารพัดความกลัว คอยผลักดันให้คนเรากระทำสิ่งต่างๆ เพื่อรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย จากโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย และอันตรายรอบด้าน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น
เชื่อกันว่า พลังแห่งความกลัวตายนี้เป็นธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน ต่างชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อ ขนบประเพณี ฯลฯ กันอย่างไร คนเราทุกคนล้วนแล้วแต่ “รักสุขเกลียดทุกข์ รักตัวกลัวตาย” เหมือนกันหมดทุกคน
ด้วยเหตุนี้เอง นอกเหนือจากการดิ้นรนเพื่อให้ชีวิตทางกายที่เป็น เลือดเนื้อ ได้อยู่รอดปลอดภัยแล้ว คนเรายังต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจาก ความกลัวตาย และความกลัวอีกสารพัดอย่างที่งอกงามมาจากความกลัวตาย ซึ่งเป็นเรื่องทาง จิตใจ อยู่ตลอดชีวิต ว่ากันว่า การแสวงหาของมนุษย์ในเรื่องนี้แหละ ที่เป็นบ่อเกิดของศาสนา ปรัชญา ความเชื่อ และศาสตร์ต่างๆอีกมากมายในโลก ที่เป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่มนุษย์ได้หลุดพ้นจากความกลัวทั้งปวง
ผมเป็นคนที่เติบโต มาจากสังคมพื้นบ้านล้านนา ที่มากมายด้วยผีสารพัดผี...ในโลกทางจิตวิญญาณแห่งล้านนา ซึ่งมีทั้งผีดีและผีร้าย มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และเราต่างก็นับถือผีที่ถือกันว่าเป็นผีดี ตามบรรพบุรุษของเรามาหลายชั่วอายุคน เช่น ผีเรือน ผีเจ้าที่ ผีปู่ย่า ผีเสื้อบ้าน ผีเสื้อวัด ผีเจ้านาย ฯลฯ ที่เชื่อกันว่า จะดูแลปกป้องเราให้อยู่รอดปลอดภัยจากความกลัวสิ่งต่างๆในโลกที่ชีวิตต้องเผชิญ ควบคู่กับพุทธศาสนาพื้นบ้านที่มีแต่เรื่องพิธีกรรม และคำสวดมนต์ภาวนาที่ผมฟังไม่เข้าใจ มากกว่าหลักธรรมคำสอน แต่ก็รู้สึกอบอุ่นดี ที่ได้เชื่อตามผู้ใหญ่ในวัยเด็ก
ซึ่งการนับถือผีนี้ค่อยๆลดละลงในคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของผม ในช่วงที่สังคมกำลังเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมกึ่งเลี้ยงดูตัวเองและเพื่อขาย มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อขายเพียงประการเดียว ซึ่งทำให้เงินตรามีความสำคัญมากกว่าความรักและความเชื่อดั้งเดิม นั่นคือ ยังคงนับถือเท่าที่จำเป็น เช่น ผีเจ้าที่ ที่เราสร้างหอไว้ในบ้านให้ท่านสิงสู่ ก็เพื่อให้ท่านช่วยดูแลปกป้องมิให้คนร้ายและผีร้ายๆเข้ามาในบ้านในยามค่ำคืน หรือ ผีปู่ย่า ที่ครอบครัวของเราต้องส่งตัวแทนไปเซ่นไหว้ที่หอผีของบรรพบุรุษร่วมกับญาติพี่น้องที่มาจากผี เดียวกันทุกปี ก็เพื่อจะได้รับการดูแลปกป้องเช่นกัน ฯลฯ
ต่อมา เมื่อผมซึ่งเป็นคนที่พอจะมีการศึกษาอ่านออกเขียนได้ ได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ผมจึงค่อยๆหันเหความสนใจไปนับถือความเชื่อที่เป็นเหตุเป็นผล โดยเฉพาะคำสอนทางพุทธศาสนาจาก ท่านพุทธทาส และค่อยๆถอยห่างออกมาจากการนับถือผีและพุทธแบบพิธีกรรม เข้าไปหาคำสอนทางพุทธจากท่านที่ถือกันว่า เป็นพุทธที่บริสุทธิ์ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ไม่มีลัทธิความเชื่อใดๆมาแปดเปื้อนเจือปน รวมทั้งคำสอนจากพระและฆราวาสที่ได้ชื่อว่า ศึกษาดีแล้ว ปฏิบัติดีแล้ว ตามแนวทางนี้ อีกหลายท่าน
แต่เนื่องจาก พุทธศาสนาที่ผุดผ่องนี้ ช่างเป็นศาสนาที่ว้าเหว่เหลือเกินครับท่านผู้ชม นั่นคือ เป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระผู้ไถ่ ไม่มีผู้ใดทั้งสิ้นมาคอยให้ความช่วยเหลือ มีแต่ ตนเป็นที่พึ่งของตน ที่ต้องปฏิบัติตามหลักของศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น จึงจักบรรลุผลต่างๆตามกฎแห่งกรรม
ผมซึ่งเป็นคนอ่อนแอในทางสังคม นั่นคือ ไม่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่น่ายำเกรง ไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่มีเกียรติ ไม่มีองค์กรและสถาบันอ้างอิง ไม่มีพรรคพวกที่มีอำนาจวาสนา ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยเคารพนบนอบ จึงทำให้ผมเป็นคนอ่อนแอทางสังคม และขาดอำนาจต่อรองสิ่งต่างๆ จนไม่มีใครเขาอยากมาคบค้าสมาคมด้วย และยากแสนยาก...ที่จะปฏิบัติตัวให้อยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีงามได้
บ่อยครั้ง ผมจึงต้องแอบไปพึ่งพาศาสนาที่เขามีพระเจ้า และพระผู้ไถ่ โดยจินตนาการถึงพระเจ้า และอ้อนวอนขอให้พระองค์ช่วยเหลือ เวลามีความทุกข์เหลือที่จะทน หรือไม่ก็จินตนาการถึงพระผู้ไถ่แล้วสารภาพบาป เวลาผมจำเป็นต้องลงมือทำความผิดบาป...เพื่อการอยู่รอดของชีวิต แล้วรู้สึกผิดและกลัวจนผวา...หลังจากลงมือทำความผิดบาปแล้ว เพื่อขอให้ท่านช่วยไถ่บาป ให้ผมได้มีทางออก (ทั้งๆที่ผมไม่ได้เข้ารีตตามขนบของเขาสักหน่อย ฮา)
เพราะ กฎแห่งกรรม ในพุทธศาสนาเป็นกฎที่เคร่งครัดตายตัว ไม่มีคำว่า ยืดหยุ่น ไม่มีคำว่า ให้อภัย และข้อยกเว้น ให้แก่ใครหน้าไหนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นราชาหรือกระยาจก ใครประกอบกรรมใด ไม่ว่า กรรมดี หรือ กรรมชั่ว ถ้ามีเหตุปัจจัยเพียงพอ เขาจะต้องได้รับผลจากกรรมนั้น ไม่ช้าก็เร็ว ผมจึงต้องแอบไปพึ่งพาศาสนาที่เขาเข้าใจ ความอ่อนแอ ความยากไร้ และความจำเป็นของมนุษย์ที่ต้องทำความผิดบาปอย่างผม ด้วยการยืดหยุ่นให้มีทางออกดังกล่าว และคงต้องแอบไปพึ่งพาศาสนาโรแมนติกนี้ อีกหลายครั้ง (ฮา)
นอกจากนี้แล้ว ผมยังรับเอาคำสอนจากเซ็น เต๋า และกฤษณมูรติ (ที่ผมชอบเป็นพิเศษ) ที่มีคำสอนแนวเดียวกันกับทางพุทธจากท่านพุทธทาส ที่ผมถือเป็นหลัก เข้ามาร่วมอยู่ด้วย
ทุกวันนี้ ถึงแม้ผมจะถอยห่างออกมาจากผีและพุทธแบบพิธีกรรม ซึ่งประการหลังนี่...นอกจากความจำเป็นที่ต้องเข้าร่วมพิธีกรรมตามจารีตประเพณี นานๆครั้งแล้ว ก็แทบไม่มีอะไรที่มีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจของผมอีก แต่ ผียังคงมีอิทธิพลครอบงำจิตใจของผมอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ผมจะออกมาอยู่ห่างไกลจากผีมานานแล้ว แต่ความ กลัวผีก็ยังมีอยู่ในจิตใจของผมอย่างแนบแน่น...
นั่นเป็นเพราะว่า ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก ผมถูกปลูกฝังความเชื่ออย่างซ้ำๆซากๆจากครอบครัวและสังคมว่า ผี เป็นสิ่งที่น่ากลัวพร้อมกับภาพพจน์ต่างๆที่น่ากลัวของผี แม้แต่ผีที่เป็น ผีผ่ายดี ที่เชื่อกันว่า จะช่วยดูแลปกป้องความกลัวจากภัยอันตรายต่างๆ ผมก็ถูกปลูกฝังให้กลัวและระมัดระวัง ไม่ให้ไปทำอะไรที่เป็นการ ผิดผี(ล่วงเกิน) เช่น ไปฉี่รดหอผี หรือพูดจาในเชิงก้าวร้าวลบหลู่ เพราะจะถูกท่านทำอันตรายให้เจ็บไข้ได้ป่วย หรือกระทำให้ฟั่นเฟือนเป็นบ้าเป็นหลัง
เฮ้อ ช่างเป็นเรื่องเศร้าที่น่าเบื่อเสียจริงๆ ในขณะที่ผมถูกปลูกฝังให้นับถือ ผีดี ผีที่เขาว่าจะดูแลปกป้องผมจากความกลัวภัยอันตรายต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ถูกปลูกฝังให้กลัวอันตรายจาก ผีดี ที่ว่าจะดูแลปกป้องผมด้วย ผมจึงกลายเป็นคนที่ต้องกลัวผี ทั้งผีดีและผีร้ายมาตลอดชีวิต และเชื่อว่าความกลัวนี้ คงยากที่ถ่ายถอนได้ ไม่ว่าผีจะมีจริงหรือไม่มีเพราะมันฝังรากลึกอยู่ภายใต้จิตสำนึกจนสุดหยั่ง...เสียแล้ว เซ็งจริงๆ
ก็พอสรุปได้ว่า หลังจากผมถอยห่างออกมาผีและพุทธแบบพิธีกรรม นอกจากศาสนาที่มีพระเจ้าและพระผู้ไถ่ ที่ผมมักจะแอบไปพึ่งพาในทางจินตนาการ ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว ผมพบว่าจิตใจของผม มักพร้อมที่จะเปิดกว้างยอมรับความเชื่ออื่นๆ ที่มีหลักคำสอนคล้ายคลึงหรือตรงกับหลักธรรมคำสอนทางพุทธจากท่านพุทธทาส ที่ผมถือเป็นหลัก มากกว่าอย่างอื่น
เมื่อกลางปี 2552ผมบังเอิญได้ดูรายการสารคดีท่องโลกจากทีวีไทย TBS ที่บอกเล่าถึงวิถีชีวิตของผู้หญิงชนเผ่าหนึ่งบนเทือกเขาหิมาลัย โดยเขาถ่ายทำให้เห็นภาพกิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวันของผู้หญิงค่อนข้างสูงอายุคนหนึ่งในแต่ละวัน จนกระทั่งถึงวันที่เธอจากโลกนี้ไป...
แม้จะได้ดูตอนปลายๆ แต่ก็พอจับความได้ว่า เขาต้องการเสนอปรัชญาชีวิตของชนเผ่านี้ โดยผ่านผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อยามมีชีวิตอยู่ ก็ไม่เป็นทุกข์เพราะความยากลำบากในการมีชีวิตจนเกินเหตุ ครั้นเมื่อถึงวาระสุดท้าย...ก็มิได้ทุรนทุรายอาลัยอาวรณ์สิ่งใดในโลกนี้ให้ขุ่นข้องหมองใจ เพราะชนเผ่าของนางมีปรัชญาความเชื่อ ที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษมานานแล้วว่า
เราเกิดมาเพื่อตาย
เราพบผู้คนต่างๆเพื่อลาจาก
เราสะสมสิ่งของต่างๆ
เพื่อที่จะสูญเสียมันไปในวันหนึ่ง
โอผมฟังแล้วถึงกับขนลุก เพราะมันแทงทะลุเข้าไปถึงใจ และยังอยู่ในใจผมมาจนทุกวันนี้ เนื่องจากถ้อยคำเพียงไม่กี่คำนี้ เนื้อหามันตรงกับหลักปฏิบัติธรรมคำสอนขั้นสูงสุดในพุทธศาสนา ที่ท่านพุทธทาสพร่ำบอกแก่เราอย่างซ้ำๆซากๆ มาตลอดอายุขัยของท่าน แต่มันมาติดอยู่แค่สมอง...ไม่เคยทะลุไปถึงใจว่า “สรรพสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” เพราะต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงที่เราหวาดกลัว คือ “การยึดมั่นถือมั่น”สารพัดอย่างในชีวิตเรา นั่นเอง
จริงๆน ะ หากเรายอมรับความจริงของชีวิต “ที่ต้องเป็นเช่นนี้” ได้ ดังที่พวกเขายอมรับมันอย่างองอาจ ตรงไปตรงมา ชีวิตเราคงจะง่ายขึ้นและเป็นทุกข์กันน้อยลง ใช่หรือมิใช่
เราเกิดมาเพื่อตาย
เราพบผู้คนต่างๆเพื่อลาจาก
เราสะสมสิ่งของต่างๆ
เพื่อที่จะสูญเสียมันไปในวันหนึ่ง
แค่นี้เองแหละว่ะชีวิตจะไปworry อะไรกับมันนักหนา.
18 กรกฎาคม 2554 - 11 มิถุนายน 2555
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
บุญญฤทธิ์ ตุลาพันธ์พงศ์นามนี้เป็นที่รู้จักกันมานาน และยังเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการสื่อมวลชนภาคเหนือตอนบน ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอาวุโสของจังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้จักเขามานาน ก่อนที่เขาจะเป็นนักหนังสือพิมพ์เสียอีกนั่นคือ รู้จักเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่มเอวบางร่างน้อย จากดินแดนแห่งขุนเขาและม่านหมอกอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ที่เดินทางจากบ้านเกิดหน้าที่ว่าการอำเภอ ไปบวชเรียนเป็นเณรอยู่ที่วัดธรรมมงคล ถนนสุขุมวิท ต.บางจาก อ.พระโขนง กรุงเทพฯ ภายใต้ร่มเงาพุทธธรรมของท่านอาจารย์วิริยังค์ ซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติชื่อเสียงโด่งดัง สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อคนสองคนหรือผู้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ที่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้เกิดความขัดแย้งกัน ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ๆ ก็แล้วแต่ แล้วต่อมา ความขัดแย้งนี้ได้ลุกลามถึงขั้น โกรธ เกลียด และแตกแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย แล้วต่างฝ่ายต่างก็ตั้งหน้าตั้งตา ดุด่า ใส่ร้ายป้ายสี ทะเลาะวิวาทกัน เพื่อเอาชนะคะคานกัน เพื่อทำลายกันให้พินาศไปข้างหนึ่งเมื่อปรากฏการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้เกิดขึ้น แทนการยุยงส่งเสริม หรือเข้าไปร่วมถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างที่พวกเรามักจะเป็นกันเพราะมีอคติ รักหรือว่าชอบ-คนนั้นพวกนั้น ผิด ถูก ชั่ว ดี อย่างไร ก็ขอเข้าข้างกันเอาไว้ก่อนแต่เรื่องนี้…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ภาพจาก http://gotoknow.org/file/i_am_mana/DSC04644.1.jpg คุณที่รักผมลงมือเขียนต้นฉบับนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 ซึ่งนับจากวันนี้ไปอีก 3-4 วันก็จะถึงวันเลือกตั้ง แต่จนป่านนี้ ผมซึ่งเป็นประชาชนคนหนึ่งของประเทศที่มีสิทธิไปลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส.ในเขต 2 อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ยังนึกไม่ออกเลยว่าควรจะใช้สิทธิอันชอบธรรมนี้ไปเลือกใครหรือพรรคใด หรือว่า...ควรจะโนโหวต คือไม่เลือกใครเลยเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากเป็นเพราะว่า ผมเป็นคนที่หน่อมแน้มในเรื่องการเมืองจริง ๆ จึงไม่สามารถวิเคราะห์และตัดสินด้วยตัวเองได้อย่างเชื่อมั่น ว่าใครหรือพรรคการเมืองใดเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเป็นคนที่วิตกกังวลกับทุกสิ่งทุกอย่าง ผมวิตกว่าตัวผมผอมไป วิตกว่าผมจะร่วงจนหมดศีรษะ กลัวไปว่าแต่งงานแล้วจะหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ไม่พอ กลัวว่าจะเป็นพ่อที่ดีของลูก ๆ ไม่ได้ และเพราะเหตุที่ตัวผมเองมีชีวิตไม่ค่อยเป็นสุขนัก ผมจึงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาพพจน์ของตัวเองที่ปรากฏต่อคนอื่นเพราะความวิตกกังวล ทำให้ผมเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ผมทำงานไม่ไหวอีกต่อไปต้องหยุดงานอยู่กับบ้าน ผมวิตกกังวลมากเกินไปจนเลยขีดขั้นจำกัด คล้ายกับหม้อน้ำเดือดที่ปราศจากวาล์วปิดกั้น จนทำให้ผมต้องเป็นโรคประสาทอย่างหนัก ผมไม่สามารถพูดกับใครได้เลย แม้แต่กับคนในครอบครัวของผมเอง ผมควบคุมความคิดของตัวเองไม่อยู่ และรู้สึกหวาดกลัวไปหมด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
โอ้ นางฟ้าของคนยากจากไปแล้วดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่นผาจากไปไกลลิบลับไม่กลับมาจากไปแล้วหนา...วนิดา คนดีคนดีของคนยากของแผ่นดินยุคทมิฬ รัฐ บรรษัท ทำบัดสีถืออำนาจอยุติธรรมคอยย่ำยีขยำขยี้คนจนปล้นทรัพยากรสารพัดในนามของความผิดที่เขาคิดมากล่าวหามาถอดถอนเพื่อขับไล่ไสส่งจากดงดอนจากสิงขร จากน้ำฟ้า ป่าบรรพชนด้วยกฎหมายที่เขาตราขึ้นมาเองใช้เป็นเหตุยำเยงทุกแห่งหนที่มาดหมายครอบครองเป็นของตนขับไล่คนเหมือนหมูหมาเหมือนกาไก่เธอจึงเกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้อยุติธรรมแด่ผู้ที่ยากไร้ทั้งชีวิตอุทิศทั้งกายใจควรกราบไหว้ควรเชิดชู ควรบูชาโอ้ นางฟ้าของคนยากจากไปแล้วดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่นผาจากไปแล้วคุณคนดี วนิดาต่อแต่นี้น้ำตา...…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
- สวัสดีครับ- สวัสดีค่ะ- ต้องการพูดกับใครไม่ทราบครับ- ดิฉันต้องการพูดกับ คุณแดนทิวา คนที่เป็นนักเขียนบทกวีค่ะ- ผมกำลังพูดกับคุณอยู่พอดีครับ- โอ๋ ดีจังเลย- เอ...ผมรู้สึกว่า ผมไม่เคยได้ยินน้ำเสียงนี้ทางโทรศัพท์มาก่อนเลยนะ - ถูกต้องค่ะ- ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณกับผมเคยเป็นคนรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่านะ- คุณไม่รู้จักดิฉันหรอกคะ แต่ดิฉันบังเอิญรู้จักคุณจากหนังสือรวมบทกวีเล่มหนึ่งของคุณ ที่ดิฉันได้มาจากร้านขายหนังสือเก่าแห่งหนึ่ง พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของคุณค่ะ- (หัวเราะ) แค่นี้เองหรือครับที่คุณรู้จักผม- ค่ะ แค่นี้เองค่ะ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คนที่ผ่านโลกและชีวิตมาอย่างโชกโชนถึงขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นคนที่เข้าใจมนุษย์ พวกเขามักจะมีคำตอบที่เกี่ยวกับชีวิตอย่างง่าย ๆ สั้น ๆ แต่ลึกซึ้ง ชนิดที่เราฟังแล้ว...บางทีถึงกับสะอึก และต้องจดจำไปจนชั่วชีวิต เพราะมันเป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยพลังทะลุทะลวงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจวันหนึ่งนานมาแล้วผมขับมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านเข้าเมือง ไปส่งคุณแพรจารุ พูดคุยเรื่องงานกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งมีบ้านอยู่ในซอยที่ร่มรื่นด้วยแมกไม้หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขณะคุณแพรและอาจารย์เลี่ยงไปคุยกันอีกมุมหนึ่งในห้องรับแขก ผมก็นั่งดูหนังจาก ยูบีซี ที่ท่านอาจารย์เปิดค้างไว้ รู้สึกว่าจะเป็นหนังจากยุโรป เรื่องอะไร…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากที่ จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาได้จากไป เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2544 ตราบจนกระทั่งถึงวันนี้เป็นเวลา 6 ปีเต็ม ๆ ผมคิดว่านอกจากบทเพลงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวามากมายหลายชุด ที่เขาทิ้งไว้เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่า ที่ทำให้เราคิดถึงถึงเขา ยามได้ยินบทเพลงของเขา ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งแล้ว ยังมีสถานที่และผู้คนที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกับชีวิตของเขา บางสถานที่บางบุคคล ที่ทำให้เราคิดถึงเขา ยามได้ไปเยือนสถานที่แห่งนั้น และได้พบใครบางคนดังกล่าว เช่นร้านอาหาร สายหมอกกับดอกไม้ที่ตั้งอยู่ริมถนนเชียงใหม่ 700 ปี หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ มีใครต่อใครมากมายหลายคนบอกผมเป็นเสียงเดียวกันว่า…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ทำไมนะคนเราจึงมักมองเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่นและชอบกล่าวคำประณามตัดสินลงโทษเขาราวกับว่าตัวเองไม่เคยทำความผิดบาปใด ๆครั้งหนึ่งเมื่อองค์พระคริสต์ทรงเสด็จประทับสอนฝูงชนอยู่ ณ มหาวิหารของกษัตริย์ซาโลมอนราชโอรสของกษัตริย์ดาวิด ผู้ที่มีความชอบเฉพาะพระเจ้าพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริซายซึ่งต่อต้านคำสอนของพระองค์ด้วยความเชื่อที่ต่างกันว่า-พระเจ้าของเขาคือการแก้เเค้นตามคำสอนดั้งเดิมของโมเสสณ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมมีความเชื่อว่าคนที่เป็นนักปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาบ้านเรา ถ้าหากไม่หลงไปปฏิบัติผิดที่ผิดทาง ท่านคงจะรู้กันดีทุกคนนะครับ ว่าเป้าหมายสูงสุดในการปฏิบัติธรรม คือการปฏิบัติเพื่อลดละและปล่อยวาง ความยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นตัวของเรา – เป็นของของเรา ซึ่งทางพุทธบ้านเราถือว่าเป็นต้นตอรากเหง้าของความทุกข์ทางใจทั้งหลายทั้งปวงส่วนจะเป็นทุกข์มากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับใจของเรา ที่เข้าไปยึดเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตัวกำหนด พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเข้าไปยึดถือมากก็ย่อมเป็นทุกข์มาก ถ้าเข้าไปยึดถือน้อยก็เป็นทุกข์น้อยนั่นเองครับนี่เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมที่เข้าใจได้ยาก…