Skip to main content

 

 

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

 

   


 เมื่อผมได้อ่าน

จดหมายเปิดผนึกของอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เรื่อง สถาบันกษัตริย์ไทย กับมาตรฐานสากล และปัญหา กม. หมิ่นฯ ม. 112” ที่เขียนถึงสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ผ่าน นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ ที่ตีพิมพ์ในคอลัมน์ คนค้นคิด หน้า 16 ของหนังสือพิมพ์ เลี้ยวซ้าย ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 มิถุนายน 2555 ที่นำมาจาก www.voicetv.co.th

ผมพลันรู้สึกว่า

นี่คือ ข้อเขียนที่แสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์สังคม ที่พูดถึงภาพรวมความขัดแย้งทางการเมืองอีกชิ้นหนึ่งที่มีคุณค่าน่าเชื่อถือ ปราศจากอคติ ต้องตัดเก็บเอาไว้ และควรนำมาเผยแพร่ที่นี่อีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ผู้ที่สนใจทางการเมืองได้อ่านและเพิ่มพูนความเข้าใจความขัดแย้งและการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบ ราชาธิปไตย มาเป็น ระบอบ ประชาธิปไตย เมื่อ 100 ปี ก่อน มาจนถึงปัจจุบัน เพื่อที่จะกำหนดจุดยืน ท่าที บทบาท และทัศนะทางสังคมที่ถูกต้องในฐานะประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่ง

เช่นเดียวกับบทความของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่ผมนำมาเสนอในคราวที่แล้ว และขออนุญาตอาจารย์ชาญวิทย์เปลี่ยนชื่อจดหมายเปิดผนึกของอาจารย์ จากชื่อเดิม มาเป็น - ผมอยากจะเชื่อว่า ณ บัดนี้ สังคมสยามประเทศไทยเรา มี ตัวจริง -ของจริง ตามวาทกรรมที่ให้ความหวังแก่นักประชาธิปไตยในตอนท้ายของจดหมาย เพราะแลฟังดูนุ่มนวลชวนอ่าน ไม่แข็งทื่อน่ากลัวเหมือนชื่อเดิม ที่เห็นแล้ว ผมอยากจะเปิดผ่าน และวิ่งหนี ถ้าหากไม่มีเครดิตชื่อของอาจารย์ชาญวิทย์ จ้างผมก็ไม่เสี่ยงไปอ่านให้เสียเวลา

ดังนี้

เนื่องในโอกาสที่ท่านจะพ้นโทษจองจำ

ของ กระบวนการตุลาการณ์โลกาภิวัตน์ ผมขอแสดงความยินดี และขออวยพรให้ท่านจงประสบแด่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ที่สามารถจะดำเนินงาน เพื่อชาติ และราษฎรไทย ของเราสืบไป และผมขอถือโอกาสนี้ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ สถาบันกษัตริย์ไทย กับมาตรฐานสากล และปัญหา กม. หมิ่นฯ ม. 112” ที่เป็นประเด็นสำคัญสำหรับอนาคตของประเทศชาติ และประชาชนของเราดังต่อไปนี้

จากการศึกษาและการสอน วิชาประวัติศาสตร์การเมืองสยาม / ไทย มาเป็นเวลานานปี ผมได้พบว่า ขณะนี้สังคมและประชาชนไทยของเราเผชิญต่อปัญหาที่ท้าทายอย่างยิ่ง คล้ายๆกับที่ได้เผชิญมาแล้วเมื่อ พ.ศ.2475 (1932) คือเมื่อ 80 ปีที่แล้วในเรื่องของ รัฐธรรมนูญ ที่ถ้ามองจากเหรียญด้านหัวของ คณะเจ้า ก็กล่าวกันว่า คณะราษฎร ใจร้อน ชิงสุกก่อนห่าม

แต่ถ้ามองจากเหรียญด้านก้อยของ คณะราษฎร ก็เชื่อกันว่า คณะเจ้า นั่นแหละ ล่าช้า อืดอาด ไม่ทันโลก ผ่านจาก การปฎิรูป พ.ศ.2435 (1893) รัชกาลที่ 5 (ตรงกับสมัยจักรพรรดิเมจิ) ก็แล้ว จนถึงรัชกาลที่ 6 (ทดลองดุสิตธานีก็แล้ว) รัชกาลที่ 7 (ทรงให้ที่ปรึกษาต่างชาติ ร่างรัฐธรรมนูญก็แล้ว)

ก็ยังไม่พระราชทานรัฐธรรมนูญเสียที!

จึงมี ความจำเป็นทางประวัติศาสตร์ ที่จะต้องมี การปฎิวัติประชาธิปไตย 24 มิถุนายน 2475” เพื่อเปลี่ยน ระบอบราชาธิปไตย ให้เป็น ระบอบประชาธิปไตย

ปัญหาที่สังคมและประชาชนไทย เผชิญอยู่ในสมัยรัชกาลปัจจุบัน ก็คือ เราจะสามารถปฏิรูป และแก้ไข กฎหมายหมิ่นฯ มาตรา 112” ได้ช้า หรือได้เร็ว และทันท่วงทีกับสถานการณ์ของการเมืองภายในของเราเอง กับสถานการณ์ของการเมืองระหว่างประเทศหรือไม่ นี่คือปัญหาของเหรียญสองด้าน ที่ต้องชั่งน้ำหนัก ระหว่าง ด้านหัวกับด้านก้อย ระหว่าง กลุ่มอำนาจเดิม - พลังเดิม กับ กลุ่มอำนาจใหม่ - พลังใหม่

จากการศึกษาของผม พบว่ามีข้อมูลใหม่ๆเกี่ยวกับปัญหา ก.ม. 112 ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มใหม่ที่ ฯพณฯอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานรวบรวมและจัดพิมพ์ ในวโรกาศ 84 พรรษา ชื่อ King Bhumibol Adulyadaj: A Life’s Work หน้า 383 ราคา 1,235 บาท หรือ 40 US$ มีนักเขียนมีชื่อด้านวิชาการ เช่น คริสเบเกอร์ - พอพันธ์ อุยยานนท์ เดวิส สเตร็กฟุส ร่วมด้วย

ในหนังสือเล่มนี้บทที่ว่าด้วย กฎหมายหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย...หน้า 303 – 313 (The Low of Lese Majeste) เป็นข้อความถอดภาษาไทยได้ดังนี้

จากปี พ.ศ. 2536 (1993) ถึงปี พ.ศ. 2547 (2004) เป็นเวลาถึง 11 ปี โดยเฉลี่ยแล้ว จำนวนคดีหมิ่นฯใหม่ๆลดลงครึ่งหนึ่ง และก็ไม่มีคดีหมิ่นฯเลย ในปี 2545 (2009)...

อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมาเร็วๆนี้

จำนวนคดีหมิ่นฯที่ผ่านเข้ามาในระบบศาลของไทยนั้น เพิ่มขึ้นอย่างน่าสังเกต ในปี พ.ศ. 2552 (2009) มีคดีเกี่ยวข้องที่ส่งไปยังศาลชั้นต้น สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 165 คดี...

ข้อความดังกล่าวยังขยายความต่ออีกว่า

ขณะนี้ประเทศไทยมีกฎหมายหมิ่นฯ ที่มีโทษรุนแรงที่สุดในรอบหนึ่งร้อยปี เทียบได้ก็แต่ระบบกฎหมายของญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลก (ครั้งที่ 2) เท่านั้น โทษขั้นต่ำสุด (ของไทย) เท่ากับโทษสูงสุดของจอร์แดน และเป็นสามเท่าของโทษในระบอบกษัตริย์โดยรัฐธรรมนูญในยุโรป...

นี่นับได้ว่า

สูงสุดในมาตรฐานสากลของอารยประเทศ ซึ่งก็ทำให้ ราชอาณาจักรไทย ในสมัยรัชกาลนี้ มีคดีหมิ่นฯขึ้นโรงศาลมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของโลกเช่นกัน

ผมคิดว่าข้อมูลเชิงประจักษ์จากหนังสือสำคัญเล่มนี้ ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เราๆท่านๆทั้งหลาย จักต้องนำมาพิจารณา เพื่อปฏิรูปปรับปรุงแก้ไข ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงคดีที่ค้างคากันอยู่จำนวนมากรวมทั้งกรณีของ อากง (ที่เสียชีวิตไปแล้วในคุก) และ/หรือ จีรนุช สมยศ ดา ตอร์ปิโด ก้านธูป

ฯลฯ


ข้อเสนอของ
ครก.112” คณะนิติราษฎร์และ กลุ่มสันติประชาธรรม ตลอดจนคนหนุ่มสาว นักคิดนักเขียน กวีรุ่นใหม่ และประชาชนคนธรรมดาโดยทั่วไป ให้ปฏิรูปแก้ไข ก.ม.หมิ่น 112 นั้น เป็นข้อเสนอที่ผมได้ไตร่ตรองทางวิชาการ ทั้งทางรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และนิติศาสตร์แล้ว และเห็นพ้องด้วยควรสนับสนุน จึงได้ลงนามร่วมไปกับทั้งบรรดาอาจารย์ และบุคคลทั้งหลาย จำนวนมากมายต่อหลายหมื่นชื่อ

ข้อเสนอของ ครก.112” คณะนิติราษฎร์ และ กลุ่มสันติประชาธรรม ตลอดจนคนหนุ่มสาว นักคิด นักเขียน กวีรุ่นใหม่ และประชาชนธรรมดาๆโดยทั่วไป สามารถผลักดันให้ดำเนินการให้ผ่านสภาฯได้ มีสส. สว. ที่มีทัศนะกว้างไกล มีความกล้าหาญทางจริยธรรมทางการเมือง รับลูกที่จะดำเนินต่อ  ในกรอบของกฎหมาย ในกรอบของรัฐธรรมนูญ ก็จะช่วยให้สังคมไทยเรามีสันติสุข และจะทำให้สถาบันกษัตริย์ของเรา มั่นคง สถาพร และที่สำคัญคือได้มาตรฐานสากลดังเช่นนานาอารยประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหราชอาณาจักร และยุโรปตะวันตก ไม่ทำให้สถาบันกษัตริย์อ่อนแอ เกิดปัญหาภายใน และล่มสลายไปอย่างในยุโรปตะวันออก ในยุโรปกลาง ในเอเชียตะวันออก และ/หรือเอเชียใต้

จากการศึกษาทางวิชาการของผม พบว่าสหราชอาณาจักรยุโรปตะวันตก (อาจรวมหรือไม่รวมญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกรณีพิเศษที่แพ้สงคราม และถูกสหรัฐยึดครอง และเขียนรัฐธรรมนูญบังคับ) ต่างก็มีสถาบันกษัตริย์ที่มั่นคงสถาพร เพราะได้ปฏิรูป แก้ไขให้สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่ใช้ พระคุณ ที่กรอปด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ยังให้เกิดความรัก ความเชื่อ ความศรัทธามากกว่าการใช้ พระเดช ที่ทำให้เกิดความกลัว ความเกลียดชัง และข่มขู่ด้วยคุก ด้วยตะราง หรือแม้แต่การใช้ความรุนแรง เข้าประหัตประหารทำลายชีวิตกัน


เราได้เห็นมาแล้ว

กับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น กับ ฯพณฯปรีดี พนมยงค์ ของเรา (และเหยื่อในกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8) กับ ดร.ป๋วย อึ๊งอาภรณ์ หรือเหยื่อในเหตุการณ์ 6 ตุลาวันมหาวิปโยค 2519” หรืออีกหลายๆเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นกับผู้คนในชนบท หรือผู้คนชายแดนชายขอบที่ห่างไกล และหลุดไปจากหน้าประวัติศาสตร์ กับความทรงจำของเราๆท่านๆในเมืองหลวง ฯลฯ

แน่นอน ผมทราบดีว่าบรรดาอารยประเทศในยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ก็มี กม. หมิ่นฯ เช่นกัน แต่การลงโทษ กับการบังคับใช้ ก็หาได้รุนแรง สาหัสสากรรจ์ พร่ำเพื่อ และที่สำคัญคือ ปล่อยให้ ม. 112 กลายเป็นเครื่องมือ ทางการเมือง ของนักการเมืองทั้งในหรือนอกเครื่องแบบ หรือสวมสูทผูกเน็คไทใช้เป็น เครื่องมือ ในการทำลายฝ่ายตรงกันข้าม

ผมอยากจะขยายความต่ออีกว่า ถ้าเราจะรักษาสถาบันประชาธิปไตย ควบคู่กันไป กับการรักษาสถาบันกษัตริย์ เราต้องปฏิรูป กม.หมิ่น 112 เราต้องดูตัวอย่างประเทศที่มี สถาบันประชาธิปไตยอยู่ร่วมกันได้กับ สถาบันกษัตริย์ เราต้องดูประเทศที่ศิวิไลซ์ ที่เป็นอารยะ ไม่ดูประเทศที่ล้าหลัง เราต้องดูที่ที่เป็นมาตรฐานของโลก ซึ่งในเรื่องนี้ เราหนีไม่พ้นที่จะต้องดูแบบขออังกฤษ (ที่เราเรียนรู้และลอกเลียนแบบมา นับตั้งแต่ คำขวัญ - สีธงชาติ - เพลงสรรเสริญพระบารมี - เครื่องแบบราชการ - เรื่องราชฯ - สายสะพาย การถวายคำนับ -  การถอยสายบัว นานานานับประการ)

หรือแบบของประเทศในยุโรปตะวันตก (ที่ตามแบบของอังกฤษ)  ที่รักษา สถาบันกษัตริย์ กับ สถาบันประชาธิปไตย/ประชาชน อยู่คู่กัน ไม่ใช่ทำให้สถาบันกษัตริย์ขัดแย้งกับ สถาบันประชาธิปไตย

สังคมไทย ถึงจุดที่กำลังถูกท้าทายอย่างมาก เราต้องไม่ฝืนกระแสโลก ยิ่งทุกวันนี้ การสื่อสารเร็วขึ้น มีโซเชียลเน็ตเวิร์ค มีเฟซบุ๊ค มียูทูบ ถ้าไม่ดูปัจจัยภายนอกเลย เรามีสิทธ์พังไดัง่ายๆ

การมีนักวิชาการ และผู้คนจำนวนไม่น้อย บอกว่าสังคมไทยของเรานั้น ไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับสังคมประเทศอื่นเลยนั้น สังคมไทย แม้จะมีลักษณะพิเศษก็จริง แต่เราก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ แต่ถ้าเราดูในโลกนี้ องค์การสหประชาชาติ มีประเทศสมาชิก 193 ประเทศ ผมถามว่าประเทศส่วนใหญ่ เป็นระบบสถาบันกษัตริย์ หรือระบบประธานาธิบดี

คำตอบคือ

ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ หรือ 30 ประเทศเท่านั้น เป็นระบอบกษัตริย์

ในขณะที่ระบอบสาธารณะรัฐ หรือ ประธานาธิบดี มีถึง 85 เปอร์เซ็นต์


เราต้องดูโลกใบใหญ่นี้

ให้เห็นว่าโลกนี้เป็นอย่างไร เราผืนกระแสโลกไม่ได้ ถ้าเราทำให้ สถาบันกษัตริย์ กับ สถาบันประชาธิปไตยขัดแย้งกัน สังคมไทยจะมีปัญหาแน่ๆ แต่ถ้าเราสามารถทำให้สองสถาบันนั้นอยู่ร่วมกัน ควบคู่กันไปได้ สังคมนี้ก็จะมีความหวัง ไม่เกิดความขัดแย้งรุนแรง เหมือนที่เคยเกิดการรบราฆ่าฟันกันมาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น วันมหาปิติ 14 ตุลา 2516 (ปิติ - เพราะเชื่อว่าชัยชนะเป็นของนักศึกษาประชาชน ที่ขับไล่เผด็จการ ถนอม ณรงค์ ประภาส ได้สำเร็จในห้วงเวลานั้น -  ถนอม ไชยวงษ์แก้ว ขยายความ) / วันมหาวิปโยค 6 ตุลา 2519” (วิปโยค - เพราะรัฐบาลแต่งตั้ง ธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้เพิ่มบทลงโทษผู้กระทำผิดใน กม. หมิ่นฯ ม. 112 และพลิกกลับมาใช้อำนาจกฎหมายนี้มาตั้งข้อหากับ นิสิตนักศึกษา ประชาชน และผู้นำชาวนา เป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ที่คิดจะทำลาย สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก่อนจะลงมืดกวาดล้างอย่างเหี้ยมโหด ฯลฯ โดยเฉพาะการสังหารผู้นำชาวนาทั่วประเทศ และกฎหมายที่น่าเกลียดน่ากลัวนี้ ก็ยังคงดำรงอยู่เป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่ามาจนถึงปัจจุบัน โดยมิได้รับการแก้ไข ทำให้ใครต่อใครหลายคนตกเป็นเหยื่อในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ตัวแทนของอำนาจเก่า อย่างที่รู้ๆกัน เพราะอำนาจเก่าหวงแหนเอาไว้เป็นดาบอาญาสิทธิ์ ที่ใครจะแตะไม่ได้ - ถนอม ไชยวงษ์แก้ว ขยายความ) /  วันพฤษภาเลือด 2535 /  รวมถึงเหตุการณ์ เมษา - พฤษภาอำมหิต 2553” ด้วย

 

ท้ายที่สุด

ผมค่อนข้างเป็นห่วงว่าการปฏิรูปแก้ไข กม. หมิ่นฯม. 112 คงจะยากเย็นเข็ญใจยิ่ง เพราะมีแรงต้านทานจาก พลังเดิม - อำนาจเดิม ที่เต็มไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ และ อวิชชา สูง

ส่วน พลังใหม่ - อำนาจใหม่ ก็มีทั้งเฉื่อยชา เมินเฉย ได้ดีแล้ว ก็ทำตัวเป็นวัวลืมตีน บางคน เกี้ยเซี๊ยะ บางคน มือไม่พายแล้ว แถมยังเอาเท้าไปราน้ำ

 

คนจำนวนไม่น้อย ที่อยู่ในสังคมชั้นสูง ที่ผมจำเป็นต้องพบปะเป็นครั้งคราว คุยกันทีไร ก็มักบอกกับผมว่า

เห็นด้วยๆๆ

แต่ก็มีน้อยคนที่ในที่แจ้ง ในที่สาธารระ จะกล้ออกมาพูด มาแสดงความคิดเห็น

ขีดเขียนเพื่อสังคม !

ผมจึงเป็นห่วงว่า

ถ้าเป็นกันแบบนี้ โอกาสที่สังคมนี้จะแตกหักไปไกลจนถึงนองเลือดเหมือนๆ พฤษภาเลือด 2535” หรือ เมษา - พฤษภา 2553” และเกิด กลียุค ดังที่ปรากฏใน เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา และบนหน้าบันลังก์ทับหลัง ปราสาทเขาพนมรุ้งกับ ปราสาทเขาพระวิหาร (ปางทำลายล้างโลก ของ ศิวนาฏราช กับปางสร้างโลกใหม่ ของ นารายณ์บรรทมสินธุ์)

ถ้ามองตามกาลานุกรมประวัติศาสตร์ ที่ผมได้เล่าเรียนมา สังคมไทยของเรา ก็ยังพอมีโอกาสที่จะ ปลดล๊อคปลดเงื่อนไขการนองเลือด หรือ กลียุค ได้ แต่ก็นั่นแหละ สังคมก็ต้องการผู้ที่มี ความกล้าหาญทางจริยธรรมสูง มาก ในการทำภารกิจนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเสียสละของผู้ที่อยู่ในปีก พลังเดิม กับ อำนาจเดิม

การเปลี่ยนแปลง

ทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญๆของไทยและของสากลโลก ก็จำนวนผู้คนไม่มาก บางทีก็เพียงแค่สิบ บางทีก็เพียงแค่ร้อย ที่จะก้าวขึ้นมาเป็น ผู้ก่อการในการเปลี่ยนแปลง แน่นอน ผู้ก่อการ จำนวนไม่มากนักนั้นต้องได้รับแรงสนับสนุนจากสังคมจากผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็น ตัวจริง - ของจริง จึงจะทำการได้สำเร็จ

ผมอยากจะเชื่อว่า ณ บัดนี้ สังคมสยามประเทศไทยของเรา มีตัวจริง - ของจริง มีประชาชนที่หลากหลายจำนวนมหาศาล ทั้งในกรุงในนบทอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่พร้อมแล้วสำหรับการเปลี่ยนแปลง แก้ไขและปฏิรูป กม.หมิ่นฯ ม. 112

 

ที่จะทำให้ทั้ง สถาบันประชาธิปไตย - ประชาชน

และ สถาบันกษัตริย์ อยู่ร่วมกันได้โดยสันติ

ในกรอบของ เสรีภาพ เสมอภาค และ ภราดรภาพ

ต้องตามเจตนารมณ์ และจิตวิญญาณ

ของ กบฏราชาธิปไตย ร.ศ. 130” เมื่อ 100 ปี ที่แล้ว

กับ ปฏิวัติประชาธิปไตย 24 มิถุนายน 2475” เมื่อ 80 ปีที่แล้ว

และ ปฏิวัติประชาชน 14 ตุลาคม 2516” เมื่อ 39 ปีที่แล้ว

คบเพลิงของการต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตย เพื่อศักดิ์ศรีขอมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ได้ถูกส่งต่อมายังคนรุ่นเราๆท่านๆ ณ วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่า เช่น รุ่นตุลา 2519” หรือรุ่นกลางเก่ากลางใหม่ รุ่นพฤษภา 2535” หรือรุ่นล่าสุด

เมษา / พฤษภา 2553”

 

ขอแสดงความนับถือ

นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ

อดีตอธิการบดี มหิทยาลัยธรรมศาสตร์

ข้าราชการบำนาญ

29 พฤษภาคม 2555

 

ครับ ผมหวังว่า จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ของอาจารย์ คงจะช่วยให้หลายๆท่านเข้าใจความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันวันนี้ได้อย่างรู้เท่าทัน โดยเฉพาะการทำงานของ คอป. (คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ) ที่แต่งตั้งขึ้นมาโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ด้วยเงินงบประมาณ 68 ล้านบาท ที่เน้นให้ความสำคัญกับชายชุดดำ ที่พิสูจน์ไม่ได้ว่ามีจริงหรือไม่มี มากกว่าคนตาย (จริงๆ) เกือบ 100 กว่าศพ และ บาดเจ็บ (จริงๆ) อีก 2,000 กว่าราย ในกรณี เมษา / พฤษภา 2553

 เรื่องนี้ คงจะเป็นความจริงอย่างที่คนพูดเขากันอย่างขำๆขื่นๆกันทั้งเมืองว่า ใครว่ะ จะมาโง่และบ้าให้เงินงบประมาณจำนวนมหาศาล ให้คนมาตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบความผิดของตนเอง จึงมิใช่เรื่องที่แปลกที่ คอป. จะทำงานเหมือนคนตาบอดต่อเลือด เนื้อ ชีวิต และความตายของประชาชน เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร

ออกมาให้คนด่าทั้งเมือง !

                             


26 กันยายน 2555 กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตเอย เหตุใดเล่า เจ้าจึงเศร้าโศกเสียใจร้องไห้คร่ำครวญ ให้กับบางสิ่งที่เจ้าได้สูญเสียมันไป เหมือนนมที่หกออกจากแก้วไปแล้ว...ตกลงบนพื้นดิน วันแล้ววันเล่า ไม่รู้จักจบสิ้น  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
12 เมษายน 2545 วันครบรอบวันเกิด...ที่แสนจะเจ็บปวด ขณะนั่งรถจักรยานยนต์ออกตรวจพื้นที่กับคู่หู ขับรถผ่านไปทางบ้านพ่อแม่ผู้พัน นายเก่าที่มาหยิบยืมเงินเราแล้วไม่ยอมใช้คืน เมื่อสองสามปีที่แล้ว พอเจอหน้า จอดรถจะเข้าไปถาม นายกลับรีบเดินหนี อนิจจา ! นายเอ๋ยนาย...ดอกไม่ต้องขอเพียงแค่ต้นคืนได้ไหม...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  7   ครับ รายละเอียดเรื่องราวของเขา ที่ผมอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน เริ่มปรากฏอยู่ในบันทึกหน้านี้นี่เอง และเมื่อหยิบหน้าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ที่เขาถ่ายสำเนาจากหนังสือนิตยสาร “ชีวิตรัก” มาให้ผม ซึ่งเป็นหน้า คอลัมน์ - ในช่วงที่เขาได้แบกเป้ออกไปตะลอนทัวร์ ช่วยคุณวนัสนันท์ ตามที่เขาตั้งปณิธานเอาไว้ออกมาอ่าน เพื่อทำความรู้จักทั้งคอลัมน์และตัวตนของคุณวนัสนันท์ ที่นำมือแห่งความเมตตาของคุณวรรณและคุณแขคนไทยในต่างประเทศ มาฉุดเขาขึ้นมาตจากขุมนรกอันลึกล้ำดำมืดแห่งหนี้สิน และมือแห่งความเมตตาอีกมากมายที่หลั่งไหลติดตามมา... ผมพบว่าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ของคุณวนัสนันท์…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
6 หลังจากงานศพของพ่อแล้ว เขาก็เริ่มตกเข้าไปอยู่ในวังวน - ของการหมกมุ่นครุ่นคิด...เป็นทุกข์อยู่กับหนี้สินอีก และพยายามต่อสู้กับตัวเองอย่างถึงที่สุด ระหว่างการคิดทำลายตัวเองตามพ่อไป เพื่อหนีความทุกข์ปัญหาอันหนักหนาสาหัส และการพยายามคิดหาเหตุผลต่างๆนานาที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
30 ตุลาคม 2539 วันนี้ นายเรียกข้าราชการตำรวจทั้งโรงพักมาประชุม เพื่อร่ำลาไปรับตำแหน่งใหม่ เห็นพวงมาลัย...ที่นายดาบหัวหน้าสายแต่ละสาย เตรียมมาให้นายแล้ว ได้แต่นึกเสียดาย... ท่านมากอบโกย...แล้วก็ไป
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  3. เขากลับกรุงเทพฯไปได้หนึ่งอาทิตย์กว่าๆ ผมก็ได้รับกล่องพัสดุขนาดใหญ่ หนักเกือบสองกิโลกรัมจากเขา เมื่อแกะกล่องออกมา ผมก็พบแฟ้มเก็บต้นฉบับที่เขาถ่ายสำเนามาจากหน้าคอลัมน์ “สะพานบุญ” ที่เขาเคยเขียนในนิตยสาร “ย้อนรอยกรรม”และ จากหน้าคอลัมน์ “ศาลาแรงบุญ” ในนิตยสาร “แรงบุญแรงกรรม” ที่เขาเขียนอยู่ในปัจจุบัน นับรวมกันได้ 60 กว่าเรื่อง หนาประมาณ 200 กว่าหน้ากระดาษ A4 รวมทั้งสำเนาต้นฉบับที่เขาถ่ายจากหน้าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ของคุณวนัสนันท์ จากหนังสือ “ ชีวิตรัก” 15 แผ่น และจากกรอบหน้าคอลัมน์หนังสือพิมพ์รายวันที่เขียนยกย่องชื่นชมเขา 3 - 4 แผ่น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 1.  จินตวีร์ เกียงมี หรือที่มีชื่อเต็มยศว่า จ.ส.ต.จินตวีร์ เกียงมี ซึ่งปัจจุบันรับราชการตำรวจ ตำแหน่ง งานธุรการอำนวยการกองวิจัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ที่ใครต่อใครต่างรู้จักกันทั่วไปทั้งประเทศ และเลื่องลือไปถึงเมืองนอกเมืองนาในวันนี้ ในฐานะ จ่าตำรวจใจบุญ ที่แบกเป้เที่ยวตะลอนๆ ไปช่วยเหลือคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก แทบทุกหนทุกแห่งในประเทศ ที่ส่งเสียงร้องทุกข์โอดโอยมาให้เขาได้ยิน ซึ่งเราได้รับรู้เรื่องราวของเขาจากสื่อต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นสื่อทางวิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร อินเตอร์เน็ต ฯลฯ และที.วี.แทบทุกช่องที่นำเรื่องราวของเขา มาบอกเล่าแก่สาธารณะชน  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 สมัยที่ผมยังทำงานเป็นนักดนตรีประจำร้าน สายหมอกกับดอกไม้ ของคุณอันยา โพธิวัฒน์ คู่ชีวิตของคุณจรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนา ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก่อนจะออกมาทำงานเขียนและงานเกี่ยวกับหนังสืออย่างเต็มตัวในทุกวันนี้ ผมจำได้อย่างแม่นยำว่า ภายในร้านสายหมอกกับดอกไม้ นอกจากเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับตกแต่งภายใน ที่ประกอบด้วย โต๊ะ เก้าอี้ ที่เป็นเครื่องไม้ ภาพเขียน รูปปั้น และ ข้าวของเครื่องใช้ ผลงานเพลงของคุณจรัลในตู้โชว์ ตลอดจนรูปภาพของคุณจรัลตามฝาผนังห้องในอิริยาบถต่างๆแล้ว ยังมีกระจกเงาเก่าแก่บานหนึ่ง กว้างประมาณ สองฟุต สูงท่วมหัว ประดับอยู่ตรงมุมห้องโถงด้านขวามือใกล้ๆกับเวทีเล่นดนตรี…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  3 กันยายน 2552 ปีนี้ นอกจากจะเป็นวันรำลึกครบรอบการจากไปของ จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาแล้ว วันนี้ยังมาตรงกับวันจัดงาน " แอ่วสันป่าตอง " ซึ่งเป็นงานของโครงการย้อนยุคอำเภอสันป่าตอง ที่มีเป้าหมายที่จะแนะนำอำเภอสันป่าตองเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยมีสภาวัฒนธรรมอำเภอเป็นตัวหลักในการจัดงาน ร่วมกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนอีกมากมายหลายองค์กร ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ก่อนอาทิตย์ตกในไร่ข้าวโพดสีส้มโชติโชนอยู่อีกครู่ใหญ่แผ่ร่มเงาความเวิ้งว้างกว้างออกไปอีกหนึ่งวันกลืนวันวัยในวันนี้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ฉันเอยฉันทลักษณ์ ยากยิ่งนักจะประดิษฐ์มาคิดเขียน เป็นบทกวีงามวิจิตรสนิทเนียน มิผิดเพี้ยนตามกำหนดแห่งกฎเกณฑ์
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
มิ่งมิตร เธอมีสิทธิ์ที่จะล่องแม่น้ำรื่น ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม