Skip to main content

20080318 ภาพประกอบด้วยความรักและความปรารถนาดี

น้องชาย
น้องชายที่รักของข้า
จงฟังคำของข้าและจำใส่ใจเอาไว้ให้ดี
อาวุธที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ คือ ภาษาของมนุษย์
ไม่ว่าเจ้าจะเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีภาษาที่ดีหรือว่าเลว
จงจำใส่ใจเอาไว้ให้ดีภาษาที่เจ้ามีอยู่และกำลังใช้สื่อสาร
มันสามารถที่จะเป็นได้ทั้งข้าทาสผู้รับใช้และเป็นนายของตัวเจ้า

 

น้องชาย
น้องชายที่รักของข้า
จงฟังคำของข้าและจำใส่ใจเอาไว้ให้ดี
ในขณะที่ถ้อยคำของเจ้ายังสงบนิ่งอยู่ที่ปลายลิ้นและปลายปากกาของเจ้า
มันคือทาสผู้รับใช้ผู้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเจ้า
ยิ่งกว่าสุนัขที่รักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของของมัน
ไม่ว่าเจ้าจะกระดกลิ้นหรือจรดปลายปากกา สั่ง ให้มันพูดและขียนอะไร
มันก็จะพูดและเขียนตามคำสั่งของเจ้าทุกถ้อยคำ
ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนโง่เขลาหรือฉลาดเลิศล้ำจนไม่มีที่ติ
แต่ในทันทีทันใด
ที่มันหลุดจากปลายลิ้นและปลายปากกาของเจ้า
ออกไปสู่การรับรู้ของโลก
มันจะกลับกลายเป็นนายของเจ้าและควบคุมเจ้าเอาไว้เป็นข้าทาสของมัน
ในทันทีทันใด

น้องชาย
น้องชายที่รักของข้า
ขอให้เจ้าจงระมัดระวังตัวเอาไว้ให้ดี
ก่อนที่เจ้าจะสื่อสารความหมายใดๆออกไปสู่โลก
ขอให้เจ้าจงหยุดคิดถามตัวเองและตอบตัวเองให้แน่ชัด
ว่าหลังจากการพูดและเขียนออกไปแล้ว
เจ้าจะได้เป็นข้าทาสของนายแบบไหน
ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับความหมายของถ้อยคำที่เจ้าสื่อสาร           
ระหว่างความผิดกับความถูกต้อง ความดีงามกับความชั่วช้า
ความงามกับความอัปลักษณ์ จริยธรรมกับความหยาบดิบ
ศีลธรรมกับความป่าเถื่อน ธรรมะกับอธรรม
สัจธรรมกับมายา  ความจริงกับความโกหกมดเท็จ ฯลฯ
ก่อนที่ถ้อยคำของเจ้าจะหลุดออกจากปลายลิ้นและปลายปากกาของเจ้า
แต่ถ้าเจ้ายังตอบตัวเองไม่ได้ หรือถ้าตัวเจ้ามีความปรารถนาที่จะเป็นอิสระจากมัน
เจ้าก็ควรจะหุบปากเงียบและวางปากกาเอาไว้
แล้วปล่อยให้ความเงียบเป็นผู้สื่อสารจะเป็นการดีกว่า

น้องชาย
น้องชายที่รักของข้า
ขอให้เจ้าจงตระหนักทุกลมหายใจเข้าออกทุกขณะเอาไว้ว่า
นี่คือเรื่องที่น่ากลัวและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตของมนุษย์ เช่นเดียวกับความตาย
นั่นคือ ไม่ว่าคำพูดหรือถ้อยคำใดๆที่หลุดออกจากปากหรือปลายปากกาของเจ้าไปแล้ว
คำสวดมนตร์ภาวนาและอำนาจสูงสุดใดๆในโลกนี้ ก็ไม่อาจทำให้มันคืนกลับมาได้
เช่นเดียวกับความตาย ไม่เคยคืนชีวิตที่มันปลิดชีพไปแล้ว กลับคืนมาให้ใคร
และชีวิตของเจ้าย่อมจะต้องดำเนินไป
ตามวิถีแห่งถ้อยคำของเจ้าที่กลับกลายมาเป็นนายของเจ้า
และกำหนดชี้ชะตากรรมของเจ้าตามความหมายและเจตนาที่เจ้าสื่อสาร
ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ

น้องชาย
น้องชายที่รักของข้า
ถ้าหากเจ้ายังไม่เชื่อ
ว่าภาษาคืออาวุธที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์
และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าไม่ควรไปล้อเล่นกับมัน เช่นเดียวกับความตาย
เจ้าจะลองพิสูจน์ดูความศักดิ์สิทธิ์ของมันดูเดี๋ยวนี้ก็ได้
ไหน-เจ้าลองลุกขึ้นพูดดังๆให้โลกได้ยิน-อีกสักคนหนึ่งซิว่า
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนโน้น
ไม่มีโศกนาฏกรรมสังหารหมู่ใดๆ เกิดขึ้นบนท้องถนนราชดำเนิน
ในธรรมศาสตร์และท้องพระเมรุสนามหลวง นอกจากมดตัวหนึ่งที่เดินสะดุดขาตัวเองตาย”  

แล้วเจ้าก็จะได้รับคำตอบพร้อมกับเจ้านายของเจ้าที่ชื่อว่า “ประวัติศาสตร์สังคม ”
มันจักปรากฏตัวขึ้นมานำข้อเท็จจริงมาหักล้างคำโกหกมดเท็จของเจ้า
มันจักขุดคุ้ยเจ้า มันจักตีแผ่เจ้า มันจักจองจำเจ้า มันจักประณามเจ้า
มันจักเฆี่ยนตีเจ้า และจารึกวจีกรรมมดเท็จของเจ้าพร้อมกับนามของเจ้า
เอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของปวงประชาที่ใครๆก็ไม่อาจลบล้างได้
ตามสัจธรรมของโลกที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ
และทรงตรัสเป็นอกาลิโกตราบชั่วนิจนิรันดร์เอาไว้ว่า
“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” นั่นแลเฮย.

ด้วยความรักและความปรารถนาดีจากข้า
กวีนิรนาม-จากม่านหมอกและเทือกเขาผีปันน้ำ.

ปล.ข้าขอคารวะและขอบคุณพี่ใหญ่ ที่ส่งสารแห่งความรักและความปรารถนาดีจากถ้ำออกมาเตือนสติ  ข้าน้อยผู้โง่เขลาและต่ำต้อยของแผ่นดิน / ถนอม ไชยวงษ์แก้ว กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
 


   

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตเอย เหตุใดเล่า เจ้าจึงเศร้าโศกเสียใจร้องไห้คร่ำครวญ ให้กับบางสิ่งที่เจ้าได้สูญเสียมันไป เหมือนนมที่หกออกจากแก้วไปแล้ว...ตกลงบนพื้นดิน วันแล้ววันเล่า ไม่รู้จักจบสิ้น  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
12 เมษายน 2545 วันครบรอบวันเกิด...ที่แสนจะเจ็บปวด ขณะนั่งรถจักรยานยนต์ออกตรวจพื้นที่กับคู่หู ขับรถผ่านไปทางบ้านพ่อแม่ผู้พัน นายเก่าที่มาหยิบยืมเงินเราแล้วไม่ยอมใช้คืน เมื่อสองสามปีที่แล้ว พอเจอหน้า จอดรถจะเข้าไปถาม นายกลับรีบเดินหนี อนิจจา ! นายเอ๋ยนาย...ดอกไม่ต้องขอเพียงแค่ต้นคืนได้ไหม...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  7   ครับ รายละเอียดเรื่องราวของเขา ที่ผมอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน เริ่มปรากฏอยู่ในบันทึกหน้านี้นี่เอง และเมื่อหยิบหน้าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ที่เขาถ่ายสำเนาจากหนังสือนิตยสาร “ชีวิตรัก” มาให้ผม ซึ่งเป็นหน้า คอลัมน์ - ในช่วงที่เขาได้แบกเป้ออกไปตะลอนทัวร์ ช่วยคุณวนัสนันท์ ตามที่เขาตั้งปณิธานเอาไว้ออกมาอ่าน เพื่อทำความรู้จักทั้งคอลัมน์และตัวตนของคุณวนัสนันท์ ที่นำมือแห่งความเมตตาของคุณวรรณและคุณแขคนไทยในต่างประเทศ มาฉุดเขาขึ้นมาตจากขุมนรกอันลึกล้ำดำมืดแห่งหนี้สิน และมือแห่งความเมตตาอีกมากมายที่หลั่งไหลติดตามมา... ผมพบว่าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ของคุณวนัสนันท์…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
6 หลังจากงานศพของพ่อแล้ว เขาก็เริ่มตกเข้าไปอยู่ในวังวน - ของการหมกมุ่นครุ่นคิด...เป็นทุกข์อยู่กับหนี้สินอีก และพยายามต่อสู้กับตัวเองอย่างถึงที่สุด ระหว่างการคิดทำลายตัวเองตามพ่อไป เพื่อหนีความทุกข์ปัญหาอันหนักหนาสาหัส และการพยายามคิดหาเหตุผลต่างๆนานาที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
30 ตุลาคม 2539 วันนี้ นายเรียกข้าราชการตำรวจทั้งโรงพักมาประชุม เพื่อร่ำลาไปรับตำแหน่งใหม่ เห็นพวงมาลัย...ที่นายดาบหัวหน้าสายแต่ละสาย เตรียมมาให้นายแล้ว ได้แต่นึกเสียดาย... ท่านมากอบโกย...แล้วก็ไป
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  3. เขากลับกรุงเทพฯไปได้หนึ่งอาทิตย์กว่าๆ ผมก็ได้รับกล่องพัสดุขนาดใหญ่ หนักเกือบสองกิโลกรัมจากเขา เมื่อแกะกล่องออกมา ผมก็พบแฟ้มเก็บต้นฉบับที่เขาถ่ายสำเนามาจากหน้าคอลัมน์ “สะพานบุญ” ที่เขาเคยเขียนในนิตยสาร “ย้อนรอยกรรม”และ จากหน้าคอลัมน์ “ศาลาแรงบุญ” ในนิตยสาร “แรงบุญแรงกรรม” ที่เขาเขียนอยู่ในปัจจุบัน นับรวมกันได้ 60 กว่าเรื่อง หนาประมาณ 200 กว่าหน้ากระดาษ A4 รวมทั้งสำเนาต้นฉบับที่เขาถ่ายจากหน้าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ของคุณวนัสนันท์ จากหนังสือ “ ชีวิตรัก” 15 แผ่น และจากกรอบหน้าคอลัมน์หนังสือพิมพ์รายวันที่เขียนยกย่องชื่นชมเขา 3 - 4 แผ่น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 1.  จินตวีร์ เกียงมี หรือที่มีชื่อเต็มยศว่า จ.ส.ต.จินตวีร์ เกียงมี ซึ่งปัจจุบันรับราชการตำรวจ ตำแหน่ง งานธุรการอำนวยการกองวิจัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ที่ใครต่อใครต่างรู้จักกันทั่วไปทั้งประเทศ และเลื่องลือไปถึงเมืองนอกเมืองนาในวันนี้ ในฐานะ จ่าตำรวจใจบุญ ที่แบกเป้เที่ยวตะลอนๆ ไปช่วยเหลือคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก แทบทุกหนทุกแห่งในประเทศ ที่ส่งเสียงร้องทุกข์โอดโอยมาให้เขาได้ยิน ซึ่งเราได้รับรู้เรื่องราวของเขาจากสื่อต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นสื่อทางวิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร อินเตอร์เน็ต ฯลฯ และที.วี.แทบทุกช่องที่นำเรื่องราวของเขา มาบอกเล่าแก่สาธารณะชน  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 สมัยที่ผมยังทำงานเป็นนักดนตรีประจำร้าน สายหมอกกับดอกไม้ ของคุณอันยา โพธิวัฒน์ คู่ชีวิตของคุณจรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนา ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก่อนจะออกมาทำงานเขียนและงานเกี่ยวกับหนังสืออย่างเต็มตัวในทุกวันนี้ ผมจำได้อย่างแม่นยำว่า ภายในร้านสายหมอกกับดอกไม้ นอกจากเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับตกแต่งภายใน ที่ประกอบด้วย โต๊ะ เก้าอี้ ที่เป็นเครื่องไม้ ภาพเขียน รูปปั้น และ ข้าวของเครื่องใช้ ผลงานเพลงของคุณจรัลในตู้โชว์ ตลอดจนรูปภาพของคุณจรัลตามฝาผนังห้องในอิริยาบถต่างๆแล้ว ยังมีกระจกเงาเก่าแก่บานหนึ่ง กว้างประมาณ สองฟุต สูงท่วมหัว ประดับอยู่ตรงมุมห้องโถงด้านขวามือใกล้ๆกับเวทีเล่นดนตรี…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  3 กันยายน 2552 ปีนี้ นอกจากจะเป็นวันรำลึกครบรอบการจากไปของ จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาแล้ว วันนี้ยังมาตรงกับวันจัดงาน " แอ่วสันป่าตอง " ซึ่งเป็นงานของโครงการย้อนยุคอำเภอสันป่าตอง ที่มีเป้าหมายที่จะแนะนำอำเภอสันป่าตองเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยมีสภาวัฒนธรรมอำเภอเป็นตัวหลักในการจัดงาน ร่วมกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนอีกมากมายหลายองค์กร ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ก่อนอาทิตย์ตกในไร่ข้าวโพดสีส้มโชติโชนอยู่อีกครู่ใหญ่แผ่ร่มเงาความเวิ้งว้างกว้างออกไปอีกหนึ่งวันกลืนวันวัยในวันนี้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ฉันเอยฉันทลักษณ์ ยากยิ่งนักจะประดิษฐ์มาคิดเขียน เป็นบทกวีงามวิจิตรสนิทเนียน มิผิดเพี้ยนตามกำหนดแห่งกฎเกณฑ์
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
มิ่งมิตร เธอมีสิทธิ์ที่จะล่องแม่น้ำรื่น ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม