Skip to main content

picture

ชีวิตของผม
เป็นชีวิตที่ประสบกับภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเส้นกราฟมานับครั้งไม่ถ้วน หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนและเข้าใจกันได้ง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นชีวิตที่ประสบกับความรุ่งเรืองและตกต่ำตามวิถีทางและอัตภาพของตัวเองสลับกันไปมา...นับครั้งไม่ถ้วน นั่นเอง

แต่ก็แปลก...จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับและรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ต้องมีขึ้นมีลง นั่นคือเวลาที่ชีวิตผมขึ้นหรือรุ่งเรือง ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองฟูฟ่องพองโต และมองดูโลกนี้สวยงามสดชื่นรื่นรมย์ น่าอยู่น่าอาศัย...ราวกับสวรรค์บนพื้นพิภพ

แต่พอถึงเวลาที่ชีวิตเริ่มลงหรือตกต่ำ ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มห่อเหี่ยวฟุบแฟบ เหมือนลูกโป่งสวรรค์ที่หมดลม ค่อย ๆ ร่วงลงสู่พื้นดิน และเริ่มมองดูโลกนี้ช่างเต็มไปด้วยความทุกข์ที่น่าเกลียด น่าชัง น่าเบื่อหน่าย... ไม่น่าอยู่น่าอาศัยอีกต่อไป เหมือนอย่างที่ โอมาร์ คัยยัม กวีเปอร์เชีย แสดงธรรมะกวีเอาไว้ในหนังสือ รุไบยาต อันยิ่งใหญ่และงดงามของเขาเอาไว้ว่า

ยามชื่นชมสมสมัครรักชีวิต
ยามสิ้นคิดสิ้นหวังละชังแสน…
นั่นเอง

บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า
ผมยังไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาคิดอย่างจริงจัง และยังไม่อาจสรุปอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ผมจึงไม่อาจทำใจได้ว่ามันเป็นเรื่องราวธรรมดาของชีวิต แถมยังไม่รู้ด้วยว่า ควรจะเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับมันอย่างไร เมื่อถึงเวลาที่ชีวิตต้องตกต่ำหรือรุ่งเรือง พูดง่าย ๆ ว่า ผมยังปล่อยให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของมันอยู่นั่นเอง

จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้อ่านเรื่อง “ความล้มเหลวของจางฉู่เม่ย” ในหนังสือที่ชื่อว่า “เจียระไนชีวิต” ที่เขียนโดย “อู๋เหม่ยซิน” ที่ผมหยิบยืมมาจากกัลยาณมิตรรุ่นน้องคนหนึ่ง

ผมจึงได้รับคำตอบในเรื่องนี้มากเกินกว่าที่ผมคาดคิด ผมจึงขอนำเรื่องนี้มาถ่ายทอดแบ่งปันให้คนที่ยังหวั่นไหวกับประสบการณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของชีวิตเหมือนอย่างตัวผม เผื่อว่าเรื่องนี้จะได้ช่วยเตือนสติให้ใครสักคนหนึ่ง ที่ชีวิตอาจจะกำลังรุ่งเรืองเจิดจ้าหรือว่ากำลังตกต่ำอับเฉาอย่างสุดขีด จะได้เก็บไปเป็นข้อคิดและปฏิบัติกับตัวเองในสภาวะที่กำลังเผชิญอยู่ในทางที่ถูกที่ควร

เพราะผมมีความเชื่อว่า สิ่งที่ดีงามที่สุดที่มนุษย์พึงกระทำต่อกัน มีอยู่ประการเดียวเท่านั้น นั่นคือการมอบความปรารถนาดีและให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดังต่อไปนี้

ความล้มเหลวของจางฉู่เม่ย
โชคชะฟ้าลิขิตยากจะคาดเดา เมื่ออยู่ในสภาพที่ราบรื่นไร้อุปสรรค์ การจะมีมารยาทต่อผู้อื่นเป็นคนรู้จักกาลเทศะนั้น ใคร ๆ  ก็ทำได้ เมื่อใดที่ความทุกข์ยากมาเยือนอย่างกะทันหันพบกับอุปสรรคมากมาย  สภาพอันยากลำบากทำให้หมดกำลังใจ บางคนท้อแท้ ทำตัวเองให้ตกต่ำ ในสภาพการณ์เช่นนี้มีแต่ผู้ที่เข้มแข็งแท้จริงที่จะยืนหยัดตระหง่านอยู่ได้โดยไม่ล้ม อุปสรรคความยุ่งยากกังวลใจในอีกแง่หนึ่งเป็นยาชูกำลัง เป็นสิ่งจำเป็นอันจะขาดไม่ได้ในชีวิตมนุษย์

คนที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ความเจ็บปวดของการพ่ายแพ้ล้มเหลว ก็ยากจะเข้าใจรสชาติความทุกข์ โศกนั่นได้  ภาระอยู่บ่นไหล่ใครคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ คนที่คิดว่าจะผลักภาระไปให้คนอื่น ผลสุดท้ายจะต้องเสียใจว่า ไม่น่าเลย จะแก้ไขก็ไม่มีหนทางเสียแล้ว

จางฉู่เม่ย เป็นคนสวย มีเสน่ห์ อายุยี่สิบปี ก็แต่งงานได้สามีที่ดีมีชีวิตครอบครัวมั่นคงต่างรักใคร่ปรองดองกันดี เพื่อน ๆ เห็นว่าเธอกับสามี เป็นเหมือนกิ่งทองใบหยกทีเดียว แต่แล้ววันหนึ่งเมฆหมอกสีดำก็เข้ามาเยือน สามีของเธอประสบอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกทับตาย ฉู่เม่ยเสียใจจนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา มีอะไรเข้ามากระทบนิดหน่อยก็โมโห กลายเป็นคนขี้เหล้าเมายา ถึงเพื่อน ๆ จะคอยปลอบใจ พยายามตักเตือนเธอให้ปรับปรุงตัวเสียใหม่ แล้วยังช่วยหางานเลขานุการในบริษัทให้ทำ แต่ฉู่เม่ยก็ยังคงหมกมุ่นกับความทุกข์ เอาแต่เล่นการพนันจนติดหนี้สินไปหมด ทำตัวตกต่ำ หน้าตาก็หมองคล้ำจนดูไม่ได้

ทุกครั้งที่เพื่อนมาชี้ข้อบกพร่องให้ เธอกลับตอบว่า “เธอคิดว่าฉันอยากเป็นอย่างนี้หรือ ถ้าสวรรค์ไม่แกล้งละก็ สามีของฉันคงไม่จากไปเร็วอย่างนี้และฉันคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้หรอก”

ก็ถูกของเธอ แต่ฟ้าจะช่วยเหลือแต่คนที่รู้จักช่วยตัวเองเท่านั้น การเอาแต่นั่งรอคอยซังกะตายเป็นลักษณะของคนอ่อนแอ อย่ามัวแต่นั่งกอดเข่าเจ่าจุก คนฉลาดจะรู้จักช่วยเหลือตัวเองต่อสู้กับชีวิต และขอบคุณในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่

ความสะดวกสบายราบรื่นมิได้เป็นสิ่งที่คงทนถาวร การเจอกับอุปสรรค ความยากลำบากอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ใช่จะตามรังควานเราตลอดชาติได้ ขอเพียงมีความอดทนไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตาก็จะสามารถฝ่าข้ามพายุชีวิตไปได้อย่างปลอดภัย

ในคัมภีร์ ไช่เกินถาน “รากเหง้าแห่งสติปัญญา” ได้กล่าวเตือนไว้ว่า ขณะกำลังเดินทางสู่ความตกต่ำ ก็ให้เตรียมใจที่จะพบความรุ่งเรืองไว้ เพราะช่วงตกต่ำนั้นมักนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ ๆ  ในขณะที่ราบรื่นรุ่งเรืองก็ให้ระวังและเตรียมใจรับการเปลี่ยนแปลง บอกกับตัวเองว่า เมื่อพบกับความยากลำบากให้อดทนและอย่ายอมแพ้.

หมายเหตุ : เจียระไนชีวิต อู๋เหม่ยซิน เขียน  ลีฮวง โค้วเจริญ แปลและเรียบเรียง
สำนักพิมพ์ดอกหญ้าพิมพ์ ครั้งที่ 4 มิถุนายน 2538

6 ตุลาคม 2550
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชีวิตเอย เหตุใดเล่า เจ้าจึงเศร้าโศกเสียใจร้องไห้คร่ำครวญ ให้กับบางสิ่งที่เจ้าได้สูญเสียมันไป เหมือนนมที่หกออกจากแก้วไปแล้ว...ตกลงบนพื้นดิน วันแล้ววันเล่า ไม่รู้จักจบสิ้น  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
12 เมษายน 2545 วันครบรอบวันเกิด...ที่แสนจะเจ็บปวด ขณะนั่งรถจักรยานยนต์ออกตรวจพื้นที่กับคู่หู ขับรถผ่านไปทางบ้านพ่อแม่ผู้พัน นายเก่าที่มาหยิบยืมเงินเราแล้วไม่ยอมใช้คืน เมื่อสองสามปีที่แล้ว พอเจอหน้า จอดรถจะเข้าไปถาม นายกลับรีบเดินหนี อนิจจา ! นายเอ๋ยนาย...ดอกไม่ต้องขอเพียงแค่ต้นคืนได้ไหม...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  7   ครับ รายละเอียดเรื่องราวของเขา ที่ผมอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน เริ่มปรากฏอยู่ในบันทึกหน้านี้นี่เอง และเมื่อหยิบหน้าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ที่เขาถ่ายสำเนาจากหนังสือนิตยสาร “ชีวิตรัก” มาให้ผม ซึ่งเป็นหน้า คอลัมน์ - ในช่วงที่เขาได้แบกเป้ออกไปตะลอนทัวร์ ช่วยคุณวนัสนันท์ ตามที่เขาตั้งปณิธานเอาไว้ออกมาอ่าน เพื่อทำความรู้จักทั้งคอลัมน์และตัวตนของคุณวนัสนันท์ ที่นำมือแห่งความเมตตาของคุณวรรณและคุณแขคนไทยในต่างประเทศ มาฉุดเขาขึ้นมาตจากขุมนรกอันลึกล้ำดำมืดแห่งหนี้สิน และมือแห่งความเมตตาอีกมากมายที่หลั่งไหลติดตามมา... ผมพบว่าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ของคุณวนัสนันท์…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
6 หลังจากงานศพของพ่อแล้ว เขาก็เริ่มตกเข้าไปอยู่ในวังวน - ของการหมกมุ่นครุ่นคิด...เป็นทุกข์อยู่กับหนี้สินอีก และพยายามต่อสู้กับตัวเองอย่างถึงที่สุด ระหว่างการคิดทำลายตัวเองตามพ่อไป เพื่อหนีความทุกข์ปัญหาอันหนักหนาสาหัส และการพยายามคิดหาเหตุผลต่างๆนานาที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
30 ตุลาคม 2539 วันนี้ นายเรียกข้าราชการตำรวจทั้งโรงพักมาประชุม เพื่อร่ำลาไปรับตำแหน่งใหม่ เห็นพวงมาลัย...ที่นายดาบหัวหน้าสายแต่ละสาย เตรียมมาให้นายแล้ว ได้แต่นึกเสียดาย... ท่านมากอบโกย...แล้วก็ไป
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  3. เขากลับกรุงเทพฯไปได้หนึ่งอาทิตย์กว่าๆ ผมก็ได้รับกล่องพัสดุขนาดใหญ่ หนักเกือบสองกิโลกรัมจากเขา เมื่อแกะกล่องออกมา ผมก็พบแฟ้มเก็บต้นฉบับที่เขาถ่ายสำเนามาจากหน้าคอลัมน์ “สะพานบุญ” ที่เขาเคยเขียนในนิตยสาร “ย้อนรอยกรรม”และ จากหน้าคอลัมน์ “ศาลาแรงบุญ” ในนิตยสาร “แรงบุญแรงกรรม” ที่เขาเขียนอยู่ในปัจจุบัน นับรวมกันได้ 60 กว่าเรื่อง หนาประมาณ 200 กว่าหน้ากระดาษ A4 รวมทั้งสำเนาต้นฉบับที่เขาถ่ายจากหน้าคอลัมน์ “ศาลาคลายร้อน” ของคุณวนัสนันท์ จากหนังสือ “ ชีวิตรัก” 15 แผ่น และจากกรอบหน้าคอลัมน์หนังสือพิมพ์รายวันที่เขียนยกย่องชื่นชมเขา 3 - 4 แผ่น
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 1.  จินตวีร์ เกียงมี หรือที่มีชื่อเต็มยศว่า จ.ส.ต.จินตวีร์ เกียงมี ซึ่งปัจจุบันรับราชการตำรวจ ตำแหน่ง งานธุรการอำนวยการกองวิจัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ที่ใครต่อใครต่างรู้จักกันทั่วไปทั้งประเทศ และเลื่องลือไปถึงเมืองนอกเมืองนาในวันนี้ ในฐานะ จ่าตำรวจใจบุญ ที่แบกเป้เที่ยวตะลอนๆ ไปช่วยเหลือคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก แทบทุกหนทุกแห่งในประเทศ ที่ส่งเสียงร้องทุกข์โอดโอยมาให้เขาได้ยิน ซึ่งเราได้รับรู้เรื่องราวของเขาจากสื่อต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นสื่อทางวิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร อินเตอร์เน็ต ฯลฯ และที.วี.แทบทุกช่องที่นำเรื่องราวของเขา มาบอกเล่าแก่สาธารณะชน  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
 สมัยที่ผมยังทำงานเป็นนักดนตรีประจำร้าน สายหมอกกับดอกไม้ ของคุณอันยา โพธิวัฒน์ คู่ชีวิตของคุณจรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนา ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก่อนจะออกมาทำงานเขียนและงานเกี่ยวกับหนังสืออย่างเต็มตัวในทุกวันนี้ ผมจำได้อย่างแม่นยำว่า ภายในร้านสายหมอกกับดอกไม้ นอกจากเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับตกแต่งภายใน ที่ประกอบด้วย โต๊ะ เก้าอี้ ที่เป็นเครื่องไม้ ภาพเขียน รูปปั้น และ ข้าวของเครื่องใช้ ผลงานเพลงของคุณจรัลในตู้โชว์ ตลอดจนรูปภาพของคุณจรัลตามฝาผนังห้องในอิริยาบถต่างๆแล้ว ยังมีกระจกเงาเก่าแก่บานหนึ่ง กว้างประมาณ สองฟุต สูงท่วมหัว ประดับอยู่ตรงมุมห้องโถงด้านขวามือใกล้ๆกับเวทีเล่นดนตรี…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  3 กันยายน 2552 ปีนี้ นอกจากจะเป็นวันรำลึกครบรอบการจากไปของ จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาแล้ว วันนี้ยังมาตรงกับวันจัดงาน " แอ่วสันป่าตอง " ซึ่งเป็นงานของโครงการย้อนยุคอำเภอสันป่าตอง ที่มีเป้าหมายที่จะแนะนำอำเภอสันป่าตองเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยมีสภาวัฒนธรรมอำเภอเป็นตัวหลักในการจัดงาน ร่วมกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนอีกมากมายหลายองค์กร ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ก่อนอาทิตย์ตกในไร่ข้าวโพดสีส้มโชติโชนอยู่อีกครู่ใหญ่แผ่ร่มเงาความเวิ้งว้างกว้างออกไปอีกหนึ่งวันกลืนวันวัยในวันนี้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  ฉันเอยฉันทลักษณ์ ยากยิ่งนักจะประดิษฐ์มาคิดเขียน เป็นบทกวีงามวิจิตรสนิทเนียน มิผิดเพี้ยนตามกำหนดแห่งกฎเกณฑ์
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
มิ่งมิตร เธอมีสิทธิ์ที่จะล่องแม่น้ำรื่น ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม