Skip to main content


ผมนั่งรถประจำทาง จากตัวเมืองเชียงใหม่ มุ่งสู่อำเภอแม่ริม รถวิ่งราว 16 กิโลเมตรก็ถึงอำเภอ ผมลงตรงหน้าสถานีตำรวจภูธรแม่ริม เดินเข้าซอยข้างๆ สถานีตำรวจ มือหิ้วกระเป๋าเดินทาง เพื่อเข้าไปในค่ายดารารัศมี ซึ่งเป็นค่ายของตำรวจตระเวนชายแดน โดยมีจุดมุ่งหมาย จะขอโดยสารไปกับเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจ ที่มีราชการไปอำเภอเวียงแหง โดยเราเพียงบอกว่า เป็นข้าราชการทำงานในอำเภอ ทางเจ้าหน้าที่รับทราบก็จะอนุเคราะห์ทุกครั้ง เป็นการช่วยเหลือในวงราชการด้วยกัน ผมเดินไปครู่เดียวก็ถึง เห็นเฮลิคอปเตอร์ลายเขียวน้ำตาลจอดอยู่ลำหนึ่ง ผมชำเลืองดูรอบบริเวณ เห็นมีผู้คนจะขึ้นไปด้วย 3-4 คน กระเป๋าและสัมภาระวางบนพื้นระเกะระกะ ผมไปติดต่อเจ้าหน้าที่ เขาก็พยักหน้าอนุญาต และให้กรอกชื่อ ตำแหน่ง หน่วยงานของตน ในสมุดที่วางบนโต๊ะ ผมหาที่นั่งคอยเวลาขึ้นเครื่องบิน ความคิดล่องลอยไปถึงวันแรกที่ผมเดินทางไปทำงานที่เวียงแหง

ในวันแรก

ผมจำได้ว่าเป็นปี พ.ศ.2528 ผมนั่งรถโดยสารจากเชียงใหม่ ไปลงที่บริษัทดาวทอง ก่อนถึงโรงพยาบาลเชียงดาวเล็กน้อย ลงรถแล้วต่อรถโดยสารขึ้นเวียงแหง รถวิ่งผ่านโรงพยาบาลเชียงดาว แล้วเลี้ยวเข้าปากทางเมืองงาย รถแล่นไปจนถึงปากทางแม่จา เลี้ยวซ้ายแล้วจอด ตำรวจตระเวนชายแดนเข้ามาตรวจ ต่อจากนั้นรถวิ่งต่อเพื่อสู่กิ่งอำเภอเวียงแหง ถนนเปลี่ยนจากราดยางเป็นดินแดง...ก่อนมาเป็นนักวิชาการ เดิมผมเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการ สอนในโรงเรียนประจำอำเภอ ติดถนนเชียงใหม่-ฝาง ไปมาเชียงใหม่สะดวก กลับบ้านได้อย่างสบาย มีคนหลายคนในวงการครูบอกว่า

"คิดดีแล้วหรือ อยู่โรงเรียนดีๆ ไม่ชอบ ชอบไปอยู่ป่าอยู่ดอย ?"

"คิดทบทวนดีแล้วครับ ผมตัดสินใจแล้ว หลังใคร่ครวญมานานพอสมควรแล้วครับ"


เป็นคำพูดที่ผมตอบ ตัดสินใจแล้ว ไม่เคยคิดเสียใจภายหลัง ยินยอมรับสภาพที่เกิดขึ้น แต่เหตุผลลึกๆ มีอีก ผมอยากได้ประสบการณ์ชีวิตทางวิชาการให้กว้างขึ้น อยากเรียนรู้ในโลกกว้าง โบยบินเหมือนนกสู่ฟ้าอันไพศาล ประการสำคัญคงจะมีผลต่อการสอบเรียนต่อของผม มีผลดีต่ออนาคตของผมอย่างไรนั้น จะขอกล่าวต่อไป นึกถึงข้าราชการที่ทำงานด้วยกัน เวลานี้อาจารย์วิชาญ นักวิชาการหน่วยงานเดียวกับผมคงกำลังเตรียมงานอบรมครู...ความคิดล่องลอย ถูกดึงกลับมาสู่ปัจจุบัน ผู้โดยสารมาเพิ่มอีก 2-3 คน รวมเป็น 7-8 คน นักบินอีก 3 คน ประกอบด้วย นักบิน 1 คน ผู้ช่วยอีก 2 คน เครื่องบินจะขึ้นไหวไหมหนอ นักบินบอกว่า

"ลองยกขึ้นดูก่อน ไหวหรือไม่ไหว?"


หมายถึง ลองบินแล้วยกตัวเครื่องบินขึ้นขณะบรรทุกข้าวสารหนักแปล้ไว้แล้ว 2 กระสอบ ถ้ายกขึ้นไหว ผู้โดยสารก็สามารถขึ้นเครื่องได้ เสียงเครื่องบินดังก้องไปทั่วบริเวณ มันค่อยๆ ยกตัวขึ้น ทรงตัวได้ดี จากนั้นเครื่องบินก็หย่อนตัวจอดนิ่ง เจ้าหน้าที่บอกทุกคนขึ้นเครื่องได้ แม้ไม่มั่นใจเต็มที่นัก ไม่มีทางเลือก ผมคว้ากระเป๋า เดินก้มตัวก้าวขึ้นเครื่องพร้อมกับคนอื่น เครื่องบินยกตัวขึ้นด้วยน้ำหนักที่มากกว่าเดิม มันยกขึ้นได้ช้าๆ ผมลอบถอนหายใจ พอได้ระดับ เอียงตัวบินโค้งรอบสนามหนึ่งรอบ แล้วดิ่งหัวแมงปอยักษ์ของมันสู่ท้องฟ้าทิศเหนือทันที เห็นหลังคาบ้าน ตึก เล็กลงกว่าเดิม หมู่บ้านในอำเภอค่อยๆ เล็กลงๆ ห่างไกลออกไปเบื้องหลังทุกที

แมงปอยักษ์ดิ่งตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ภูมิประเทศเบื้องล่างเริ่มเป็นป่า สักครู่ทิวป่าสนเริ่มปรากฏมองจากที่สูงเป็นต้นเล็กนิดเดียว เจ้าแมงปอเหล็กบินตามร่องน้ำที่เห็นคดเคี้ยว เบื้องล่างบางแห่งเป็นดินแดง ต้นไม้ถูกโค่นราบ ดอยที่เรามองเห็นจากพื้นราบ เห็นเป็นสี้น้ำเงินเข้ม ดูไกลๆ ทึบไปด้วยต้นไม้ พอเรามองจากเฮลิคอปเตอร์ เห็นต้นไม้หรอมแหรม สลับกับหน้าดินรุกเข้ามา เหมือนคนผมบาง เนิ่นนานไปผมยิ่งร่วงหล่นมากขึ้น ไม่ผิดพื้นที่ดินที่ขยายรุกเข้ามาแทนที่ต้นไม้มากขึ้นๆ เฮลิคอปเตอร์เอียงตัวไปตามร่องน้ำเบื้องล่าง ลำตัวมันสูงกว่าขอบดอยเล็กน้อย บางครั้งลดระดับ วิ่งเลาะไปตามหุบดอย ตื่นเต้นดีเหมือนกัน พอพ้นหุบเหวผ่านแนวดอยเหล่านั้น มันก็ตั้งตัวตรงนิ่ง มุ่งสู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เห็นบ้านเรือนผู้คนเบื้องล่าง ผมยกนาฬิกามิโด้ขึ้นดู ใช้เวลาบิน 29 นาที เครื่องบินวูบลงและยกตัวขึ้น ผมเกิดอาการเสียววาบในท้อง แล้วเครื่องบินก็ปรกติอย่างนี้สองสามครั้ง เรียกว่า "ตกหลุมอากาศ" ผมเห็นบางคนจับขอบประตูแน่น หน้าตาไม่ดี คงเตรียมกระโดด กระโดดลงไปก็ตาย ผมตอบในใจ

เข้ามาถึงกิ่งอำเภอเวียงแหงแล้ว เครื่องบินผ่านทุ่งหญ้าข้างล่าง ผู้คนเดินตามถนน ได้ยินเสียงใบพัดเหนือศีรษะพัดตีอากาศดังปับๆ สม่ำเสมอ เครื่องบินดิ่งหัวลงเป้าหมายกากบาทสีขาวที่สนามข้างที่ว่าการกิ่งอำเภอ ฝุ่นเบื้องล่างฟุ้งกระจาย ต้นไม้ใหญ่น้อยถูกลมตีเหมือนเกิดพายุใหญ่ มันค่อยหย่อนตัวลงอย่างนิ่มนวลแล้วจอดนิ่ง เครื่องยังติดอยู่ ผมรีบลง ยกมือไหว้คนขับ กล่าวขอบคุณแทบไม่ได้ยินเสียงตนเอง เสียงใบพัดตีอากาศก้องไปหมด ผมก้มตัวเดินปะปนกับผู้โดยสารคนอื่น สู่อาคารที่ว่าการกิ่งอำเภอ ตามหน้าต่างเห็นบางคนยืนมอง เจ้าหน้าที่บางคนเตรียมตัวขึ้นเครื่องบินกลับลงไป ผมเดินต่อไปยังห้องทำงาน หูยังได้ยินเสียงแมงปอยักษ์ ดังก้องฟ้าจากข้างกิ่งอำเภอ มันขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว เสียงดังไปทางทิศตะวันตก ไกลออกไปทุกที จากนั้นค่อยเบาลงและเงียบหายไปจากโสตประสาท.

 

 

บล็อกของ ถนอมรัก เดือนเต็มดวง

ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
วันนี้ เป็นวันแรกของการเป็นครู ผมเตรียมตัวสอนมาเต็มที่ สอนหลายวิชา บอกก่อนว่าเป็นโรงเรียนเอกชนอยู่ใกล้สถานีรถไฟเชียงใหม่ เปิดสอนเด็กเล็กจนถึงมัธยมปีที่สาม ครูที่สอนส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว มีคนแก่คนหนึ่งเป็นฝ่ายการเงิน ครูใหญ่เป็นผู้หญิง เป็นเจ้าของโรงเรียน ไม่สอนแต่อยู่ฝ่ายขายอาหารของโรงเรียน ผมสอน 29 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ว่างเพียง 1 ชั่วโมง ปรกติครูท่านอื่นสอน 24-25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นั่นคือผมสอนมากกว่าท่านอื่น 5 ชั่วโมง ก็ช่วยสอนวิชาเบาๆ ให้พี่ๆ ที่สอนประจำชั้น เช่น พลศึกษาวาดเขียน ร้องเพลง...เป็นมุมหนึ่งในหลายมุมของชีวิตครูเอกชน วันแรก ผมสอน 6 ชั่วโมงเต็ม เป็นหนุ่มร่างกายแข็งแรง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
คืนนี้ ขึ้น 15 ค่ำ ยังหัวค่ำ พระจันทร์เต็มดวงสาดแสงนวลอ่อนโยนกระจ่างทั่วทุ่ง แสงเย็นตายังครอบคลุมวิหารวัดทุ่งลมเย็นบรรยากาศในวัดช่างสงบ สงัด ลมทุ่งพัดกระทบต้นไม้ในวัด ใบของมันสะบัดตัวรับดังซู่ซ่าเป็นพักๆ  ความวุ่นวายสับสนเร่าร้อนทั้งมวลของคนเหมือนหมดสิ้นยามย่างเท้าเข้าวัดสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์  พระสงฆ์องค์เจ้าคงจำวัดกันหมดทั้งสามรูป แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง จิตใจยังเร่าร้อนเคร่งเครียดแม้จะเหนื่อยจากงานสลากภัตของวัด ก็ไม่อาจข่มตาให้หลับได้  ใครๆเรียกเขาว่า "ลุงคำ" แกเฝ้านึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้านี้วัดทุ่งลมเย็นมีพระ 2 รูป เณร 1 รูปเวลาพระรับนิมนต์ไม่มีใครดูแลวัดเกรงขโมยจะมาลักทรัพย์สิน…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
คนเหนือ หรือชาวเหนือเรียกตนเองว่า “คนเมือง” เรียกคนกรุงเทพฯซึ่งพูดภาษากลางว่า “คนไทย” ในกลุ่ม “คนเมือง” มักมีวจีที่เกี่ยวโยงการเป็นคนท้องถิ่นเดียวกันว่า “หมู่เฮาคนเมือง” ย้อนหลังไปราว50ปี แม้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งยังแสดงความเป็นตัวตนโดยใช้ชื่อว่าหนังสือพิมพ์ “คนเมือง” สอดคล้องกับข้อความในหนังสือ “ฅนเมืองอู้คำเมือง” ในหน้าที่ 1โดยคุณบุญคิดวัชรศาสตร์ได้เขียนเอาไว้ว่า ...ในอดีตอาณาจักรล้านนามีการปกครองตนเองมีภาษาพูด และภาษาหนังสือใช้เป็นของตนเองมาก่อนและนิยมชมชอบเรียกตนเองว่า “คนเมือง” เรียกภาษาพูดว่า “คำเมือง” และเรียกภาษาหนังสือว่า “ตัวหนังสือเมือง” และล้านนาประกอบด้วย…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
แม่เกิดลูก ออกมาหลายตัว ขนสีต่างๆ กัน ส่วนใหญ่ตัวอ้วนขนฟู แม่นอนตะแคงในกรง ลูกตัวอื่นคลานต้วมเตี้ยมเข้าไปกินนมแม่เร็วกว่า เจ้าตัวผอมเล็ก ลำตัวมันยังไม่นิ่งนัก เพราะขายังไหวขณะเดิน ด้วยยังไม่แข็งแรงพอ เจ้าตัวผอมเล็กต้องรอให้บางตัวอิ่ม แล้วคลานออกมา มันจึงคลานเข้าไปกินได้ นมแม่อุ่นหวาน เต้านมนุ่มตึงเต็มปากของมัน มันถูกแม่อุ้มด้วยปากมากินนมบ่อยๆ ลูกตัวใดคลานไปไกล แม่หมาจะใช้ปากคาบเบาๆ ตรงหนังบริเวณคอ นำมาไว้ในกรงเสมอ ทุกวันเมื่อบรรดาลูกๆกินนมอิ่ม มันก็นอนกอดก่ายกันหลับไปมองดูเหมือนเด็กเล็กๆ น่าเอ็นดู เจ้าของกรง และบ้านเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง ตอนเช้า เวลานายผู้ชายเดินลงบันได…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
เด็กชายสันทัด นั่งยองๆ บนกำแพงวัด ตาจ้องเขม็งที่ร่างชายคนหนึ่ง ซึ่งนอนคว่ำ ไม่สวมเสื้อบนพื้นศาลาวัด บนเสื่อผืนหนึ่ง คางวางบนหมอนเก่าคร่ำมือประสานรองรับคาง วันนี้เป็นวันที่ 15 เมษายน เป็นวันพญาวันคนทางเหนือนิยมสักยันต์กันในวันนี้ เพราะเชื่อกันว่า ทำพิธีทางไสยศาสตร์ในวันนี้จะเข้มขลังนัก ภิกษุรูปหนึ่ง นั่งคุกเข่าข้างชายผู้นั้น ยกเหล็กแหลมเล็งไปยังกลางหลัง แล้วก็แทงจึกลงไป เหล็กกระทบเนื้อไปเรื่อยๆ ปากท่านก็ขมุบขมิบว่าคาถาประกอบ ชายที่นอนคว่ำ หน้าตาปรกติ ไม่แสดงอาการเจ็บปวด ชายฉกรรจ์อีก 4-5 คน ถอดเสื้อรอคิวสัก เขาจ้องดูชายคนแรกอย่างสนใจ ทุกคนกระตือรือร้นอยากสัก ไม่มีใครแสดงอาการหวาดหวั่น…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
กรมศิลปากรประกาศผลศิลปิน ผู้ได้รับรางวัล “เพชรในเพลง” ประจำปี 2551 เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พ.ศ. 2551 (29 ก.ค.) รางวัลเชิดชูเกียรติ ผู้ประพันธ์เพลงดีเด่นในอดีต ประเภทเพลงไทยสากล ได้แก่ “เพลงเรือนแพ” ผู้ประพันธ์นายชาลี อินทรวิจิตร เพลง “เรือนแพ” เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “เรือนแพ” สร้างเมื่อ พ.ศ.2504 เข้าฉายที่โรงภาพยนตร์ สุริวงศ์ เชียงใหม่ โรงภาพยนตร์นี้ เดิมอยู่ตรงข้ามกับประตูท่าแพ ปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้ว ผมได้เข้าชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ขณะเรียนชั้นมัธยมต้น เป็นภาพยนตร์ที่แสดงถึง ความรักของเพื่อนสามคน ประกอบด้วย ไชยา สุริยัน แสดงเป็น นักมวย ส.อาสนะจินดา แสดงเป็น ตำรวจ จินฟง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ดวงอาทิตย์ ค่อยโผล่พ้นขอบดอยที่อยู่ไกลลิบช้าๆ หมอกเมฆปรากฏจางๆ ช่วยกรองแสง ทำให้มองเห็นดวงอาทิตย์ เป็นทรงกลมสีแดงอ่อน เป็นเช้าที่สวยงาม บ้านไม้หลังเก่าสีโอ๊ก ปลูกบนเนินดิน ที่สูงกว่าถนนหน้าบ้าน และสูงกว่าทุ่งกว้างที่ด้านหน้าบ้านเล็กน้อย มีเก้าอี้โยกเป็นหวาย ที่ระเบียงด้านข้างบ้าน ซึ่งมีบันไดทอดสู่พื้นด้านหน้า มองเห็นทุ่งกว้าง ปรากฏตอข้าวสีเหลืองกระจายทั่วผืนนา ทุ่งกว้างนี้ ปูลาดไปจนถึงถนนสายเชียงใหม่-ฮอด ข้ามถนนเป็นทุ่งนาอีกเช่นกัน มองไกลออกไปอีกนิด เป็นหย่อมต้นไม้สีน้ำเงินปนดำ สูงขึ้นไปอีก จะเห็นแนวดอยสลับซับซ้อน ลมเย็นจากทุ่งโล่ง ทะยอยพัดมาระเรื่อย สู่บ้านของผม บ้านคนเมือง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
พ่อคงไม่รักผมเพราะพ่อตีผมบ่อยๆ บางครั้งหนักๆ ไม่เคยกอด ไม่เคยเล่นกับผม แวบหนึ่ง...ผมอยากออกบ้านไปให้พ้น...แกเพียงพูดว่า“เมื่อแกมีลูก แกจะรู้เอง” วันนี้ผมมีลูกชายวัย 3 ขวบ 1 คน กำลังซนตอนเย็นวันหนึ่ง แกกินยาป้องกันหนูและแมลง ที่มีรูปแบนเป็นวงกลม แหว่งไปนิดหนึ่ง ผมบอกแกให้อ้าปาก คายออกมาให้หมด แกอ้าปาก ถ่มน้ำลาย ผมยังไม่หมดกังวล บอกให้แม่บ้านเอาเงินมาให้ผมเร็ว จะพาลูกไปโรงพยาบาล ผมคว้าเสื้อมาสวม กลัดกระดุม 2 เม็ด ไม่ตรงรูของมัน ชายเสื้อข้างหนึ่งสั้น ข้างหนึ่งยาว อุ้มลูกวิ่งลงบันได เกือบลื่นล้ม วิ่งออกประตูบ้าน สู่ถนนใหญ่โรงพยาบาลใหญ่ที่สุด เป็นโรงพยาบาลที่ผมมุ่งไปหา โบกรถสี่ล้อรับจ้าง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ระยะนี้ กลางคืนนอนกรนตื่นง่ายตื่นนอนตอนเช้า มีอาการไม่ดี คล้ายหลับไม่อิ่ม เหมือนจะเป็นไข้เล็กน้อย ผมอยากนอนต่ออีกสักงีบ ขอสัก 20-30 นาทีน่าจะดีคิดถึงระยะทางจากบ้านถึงที่ทำงานแล้วท้อใจ จากบ้านอำเภอแม่แตงถึงอำเภอฝาง ที่ทำงานราว 111 กิโลเมตร พาหนะเป็นรถกระบะ พวงมาลัยธรรมดาปวดบ่าเอวไม่น้อยเลย สังขารผ่านวัยหนุ่มมาแล้ว อาการดังกล่าวเป็นบ่อยๆบางครั้งต้องโทรลาปรึกษาภรรยาแล้วไปหาหมอตรวจรักษาดีกว่า ไปคลินิกที่โรงพยาบาลมหาราชเร็วดี ยาดี แม้จะแพงก็ยอมเล่าอาการให้หมอฟังหมอให้ยามากินและนัดดูอาการราวเดือนครึ่ง ได้ไปหาหมอ หมอสอบถามผลการรักษา แล้วให้ยามารับกิน ทำอย่างนี้หลายครั้งแต่ละครั้งให้ไปเจาะเลือด…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ในวัยเด็ก ราวชั้นประถมศึกษา ผมยังจำได้ เมื่อมืดค่ำ ที่บ้านจะจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดทุกหลังคาเรือนก็เช่นกัน แม่บอกให้เอาการบ้านมาทำ ถ้าวิชาเดียวก็เสร็จเร็วหน่อย ถ้าสองวิชาก็ดึกหน่อย ดึกนั้นคงราวสองทุ่มเศษ ผมวางสมุดลงบนโต๊ะเล็กๆ นั่งขัดสมาธิบนเสื่อ แม่นั่งข้างหน้า แม่สอนจริงจัง มีตึงมีผ่อน มีเทคนิคในการสอน ขู่บ้างปลอบบ้าง คำพูดที่พูดประจำก็คือ “คัดไทย ช่องไฟต้องพอดี หัวทอทหารต้องกลมอย่าให้บอด” “ห้าคูณเจ็ดเป็นเท่าไร สามสิบห้าหรือสามสิบหก” ตอนจบแม่ให้ท่องสูตรคูณ ถ้าท่องได้ให้ไปนอน ท่องไม่ได้เอาให้ได้ ตาผมชักลืมไม่ขึ้น แม่ใช้ไม้ตีปับตรงแขน “ท่องไม่ได้ไม่ต้องนอน” แม่สำทับเสียงเข้ม
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
โลกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วเท่าเดิม เข็มนาฬิกากระดิกตัวด้วยความเร็วปกติ ผู้มีความทุกข์ ความผิดหวัง พิเคราะห์เวลาเหมือนเชื่องช้า เนิ่นนาน ผู้มีสุขสมหวัง มีเสียงหัวเราะกลับพูดว่า เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน เวลาเป็นของมีค่า ในเวลาเพียง 1 นาที มีคนเกิดคนตายเท่าไร มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดทุกมุมโลกมากมาย เมื่อเวลามีค่า เราก็สมควรทำอะไร ให้ตัวเอง ให้สังคม ให้ผู้คนรอบข้าง และควรดำเนินชีวิตอย่างไร ให้ชีวิตมีค่าเหมือนเวลา น่าจะเป็นเช่นนั้น ผมอ่านหนังสือหลายเล่ม ฟังผู้รู้หลายท่าน ใช้เวลาใคร่ครวญ เพื่อให้ความคิดตกผลึกว่า คนดีคือคนอย่างไร คนดีที่สุดต้องทำอะไร ได้ข้อสรุปว่า คนดีที่สุด คือคนที่คิด…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ทุกคนคงเคยไปหาหมอ อาจเป็นหมอคลินิกหรือหมอโรงพยาบาล เมื่อยื่นบัตรคนไข้ผ่านฝ่ายคัดกรองแล้ว ท่านก็ต้องไปยังห้องที่รักษาพยาบาลเฉพาะโรค นั่งรอคิวพยาบาลเรียก ถ้าเป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชนจะเร็วมาก แต่ก็ต้องจ่ายเงินมากเช่นกัน ถ้าเป็นโรงพยาบาลของรัฐต้องทำใจ จ่ายเงินน้อยแต่คนมาก คงต้องเสียสละเวลาให้ 1 วัน บางทีอาจครึ่งวัน คนไข้มากมาย ห้องตรวจทุกห้องคนไข้เต็มหมด คนไข้มากมายกว่าห้างสรรพสินค้า