ผมฟังเธอไปด้วย
จดบันทึกส่วนที่สำคัญๆไปด้วย เนื้อหาบางอย่างใช้สมองจำไว้ เธอซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องราวชื่อ นางอุไร บุญหมั้น อายุ 45 ปี ไม่น่าเชื่อ ดูหน้าตาเหมือนอายุประมาณ 30 กว่าปีเศษเล็กน้อย ผิวขาวปนเหลือง รวบผมยาวไว้ข้างหลัง บรรยากาศเริ่มเป็นกันเอง คงเพราะเราเป็นคนเหนือหรือคนเมืองด้วยกัน เธอเล่าต่อว่า ในเวลานี้หมู่บ้านมี 159 หลัง มีอาชีพทำเครื่องปั้นดินเผา 50 หลัง ผู้สร้างผลงานเครื่องปั้นดินเผานี้อยู่ในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ ดินที่ใช้ปั้นเป็นดินในหมู่บ้านส่วนหนึ่ง อีกส่วนจะมีรถบรรทุกมาส่งให้ เมื่อผมเห็นว่าได้ข้อมูลมากพอตามต้องการแล้ว ผมก็กล่าวขอบคุณและกล่าวลา ไม่ลืมซื้อน้ำต้นราคาใบละ 35 บาท 1 ใบมาด้วย ไม่ได้ซื้อเพื่อเอาใจเจ้าของร้าน ผมอยากได้จริงๆ จะนำมาตั้งบนโต๊ะ แต่ไม่ใส่น้ำ เพียงตั้งไว้โชว์ ไว้มองดูเพื่อระลึกถึงความเป็นมาของวิถี “คนเมือง” ในอดีต
\\/--break--\>
เธอยังแนะนำให้ขับรถไปตามถนนที่ทอดเข้าหมู่บ้าน ซึ่งมีระยะทาง 300 เมตร ผมทำตามเธอ รีบขับรถเข้าไปในหมู่บ้านช้าๆ ตามคำแนะนำของเธอ บ้านบางหลังบนกำแพงจะวางหม้อน้ำ แจกัน หม้อแกงเรียงรายให้เห็น ผมจอดรถชิดข้างถนน เดินชมบ้านโน้นบ้านนี้ พร้อมกับถ่ายรูปไว้ด้วย เจ้าของบ้านเป็นคนเมือง ต้อนรับด้วยรอยยิ้มและอัธยาศัยที่ดียิ่ง เป็นวัฒนธรรมของคนเหนือที่มาจากใจ ไม่ได้เสแสร้ง ยิ้มมาจากข้างในเป็นอย่างนั้น บางบ้านปั้นตุ๊กตา เห็นผู้หญิงท้วมคนหนึ่งกำลังนั่งปั้นตุ๊กตาช้างชูงวง อ้าปากตายิ้ม เธออุ้มช้างปั้นมาผึ่งแดดให้แห้งก่อน แล้วจึงนำไปเผา ในบ้านจะมีเตาเผา 1 เตา มองเห็นกองฟืนกองใหญ่อยู่ใกล้เตาเผา บางบ้านผู้หญิงนั่งปั้นน้ำต้น เมื่อปั้นเสร็จก็นำไปผึ่งแดด ทาอะไรไม่ทราบเคลือบไว้เป็นสีน้ำตาลเข้ม หน้าบ้านยังมี “ฮ้านน้ำ” หรือ “ห้างน้ำ” สำหรับวางหม้อน้ำดื่มบริการผู้ไปเที่ยวชม
เมื่อเที่ยวชม
หมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาบ้านเหมืองกุง ที่ปั้นกับมือให้เห็นและจำหน่ายด้วยจนสมควรแก่เวลา ผมก็ขับรถออกหมู่บ้านช้าๆ ในรถมีน้ำต้น แจกัน รูปปั้นช้าง ฯลฯ จะนำไปประดับบ้าน บ้านเป็นไม้สักสีโอ๊กคงกลมกลืนกันดี หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านโอท็อป เพื่อการท่องเที่ยว มีการตั้งกลุ่มหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผา มีสมาชิกทั้งหมด 22 กลุ่ม รายได้ส่วนใหญ่ของหมู่บ้านมาจากงานปั้น ผมขับรถผ่านซุ้มประตูหมู่บ้านช้าๆ ไม่ลืมจอดรถมองดู “น้ำต้น” ใบมหึมา ที่ใหญ่และแพงจริงๆ ยกกล้องดิจิตอลขึ้น กดนิ้วลงไปอีกสามสี่กริ๊ก