Skip to main content

 

ผู้มีหน้าที่สอนเด็ก

ที่เรียกว่า “ครู” มักได้รับการเปรียบเทียบว่าเป็นเสมือนเรือจ้าง คนโดยสารก็คือนักเรียน พานักเรียนจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่ง เสร็จแล้วก็รับเด็กรุ่นต่อไปสู่ฝั่งอีก เด็กจะรู้ถึงคุณค่าของเรือหรือไม่ เรือจ้างมิได้เรียกร้องโอดครวญ ยังพาเด็กสู่เป้าหมาย สู่ความสำเร็จ วันสู่วัน เดือนสู่ปี

\\/--break--\>

 

ยุคต่อมา ครูบางส่วนไม่ยอมรับที่เรียกว่าเรือจ้าง แต่บอกว่าครูยุคสมัยใหม่นี้ต้องเป็น “ เรือรบ” หรือ “ เรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ ” หรือ “ เรือประจัญบาน” จะอย่างไรยังมีคำว่า “เรือ” อยู่เสมอ ครูเป็นบุคคลที่สังคมเชื่อว่ามีจริยธรรมสูง สอนทั้งความรู้ควบคู่คุณธรรม ต้องเป็นแบบอย่างแก่เด็กแก่สังคม ในอดีตเป็นคนสำคัญในหมู่บ้าน ติดขัดอะไรมาถามครู ครูพูดอะไรน่าเชื่อถือ ผู้คนรับฟัง ครูกลายเป็นผู้นำสังคม จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ พ่อพิมพ์ ” หรือ “แม่พิมพ์ ” ในความหมายที่ถูกจริงๆ ควรเรียกว่า “ แม่พิมพ์ ” ทั้งครูชายและครูหญิง เพราะหมายถึง เบ้าหล่อหลอมให้เด็กเป็นเหมือนครู ภาพของครูในยุคก่อนๆ นั้น ต้องแต่งตัวเรียบร้อย สีไม่ฉูดฉาด มักเป็นสีเทาทึบ บางทีสีดำกับขาว มือต้องถือไม้เรียว ดำรงตนอย่างสมถะ บ้างกล่าวแบบหยิกแกมหยอกว่า ครูสร้างคนสร้างชาติ ไม้เรียวของครูสร้างคน ไม้เบสบอลสร้างรัฐมนตรี ไม้ใหญ่เบ้อเริ่มสร้างนายกฯ...นั่นเป็นภาพของครูในอดีต ปัจจุบันก็คงมี มีการพูดให้ได้ยินอีก บางทีก็อ่านพบว่า เป็น “ครูอาชีพ ” หรือ “อาชีพครู”

 

ผมได้ไปสอบบรรจุ

เป็นครูประถมศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับคำสั่งให้ไปสอนที่ โรงเรียนบ้านปง (อินทขิลวิทยาคาร) อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี พ.2513

จำได้แม่นเพราะมีเหตุการณ์สำคัญด้านวงการภาพยนตร์เกิดขึ้น หลังจากผมได้สอนที่โรงเรียนบ้านปงได้ราว 5 เดือน พระเอกหนังดังที่สุดแห่งยุค คุณมิตร ชัยบัญชา เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุตกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ขณะถ่ายทำภาพยนตร์ ในวันที่ 8 ตุลาคม พ.. 2513 ผมตกใจมาก คนไทยทั้งประเทศก็ตกใจ เสียใจ “ มิตร” เป็นพระเอกหนังไทยที่มีคนนิยมรักมากที่สุดคนหนึ่ง

 

วันแรกของการสอน

ในโรงเรียนบ้านปง  ตอนมาถึงเป็นเดือนพฤษภาคม เปิดหนังสือคำสั่งในแฟ้มเก่าจนกระดาษเป็นสีเหลืองระบุว่า 24 พฤษภาคม พ.. 2513 เป็นวันแรกของการสอน ผมตื่นเต้นมากครับ มองดูอาคารเรียน สนาม ต้นไม้รอบๆ เด็กนักเรียนที่กำลังเดินเข้าโรงเรียน เด็กชายเสื้อขาวกางเกงสีกากี เด็กหญิงเสื้อขาวกระโปรงสีน้ำเงิน เห็นเด็กเล็กมีผู้ปกครองจูงมือมาส่ง นี่หรือแหล่งทำงานแห่งแรกที่เราจะยึดเป็นอาชีพ เป็นหน่วยงานที่มั่นคง ต่อไปนี้การจะอยู่หรือออกจากงาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าของโรงเรียนต่อไป จะให้ออกหรือลงโทษ ต้องตั้งกรรมการสอบสวน ตัดสินในรูปคณะบุคคลตามหลักฐาน ผมเดินไปถึงห้องพักครู ยกมือไหว้ครูใหญ่ ครูใหญ่รูปร่างโปร่งๆ จมูกโด่งสีแดงเรื่อๆ ยื่นหนังสือส่งตัวจากจังหวัดให้ครูใหญ่ ครูใหญ่บอกให้นั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะครูใหญ่ ท่านเริ่มปฐมนิเทศแบบไม่เป็นพิธีการ ท่านแนะการทำงาน ให้ทำการสอนตามวิชาที่ถนัด และให้ผมเป็นครูประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยโรงเรียนนี้เปิดสอนถึงประถมศึกษาปีที่ 7 ท่านกล่าวถึงการทำตัวในระยะทดลองงาน 6 เดือนว่า ด้านความประพฤติ ให้ละเว้นปัญหาชู้สาว สุรายาเมา การพนัน การทำงานระยะ 6 เดือนแรก ต้องทำตัวให้เรียบร้อย เป็นระยะสำคัญของข้าราชการทุกคน เมื่อครบ 6 เดือนครูใหญ่จะประเมินผลงานว่า สมควรได้รับการบรรจุหรือเลิกล้มการบรรจุ อย่าวิตก เราทำตัวเรียบร้อยคงไม่มีปัญหาอะไร และได้รับการบรรจุในที่สุด

 

ครูใหญ่แนะนำครูชั้นต่างๆ

ที่นั่งในห้องพักครู การเป็นครูคนใหม่ จึงพยายามไหว้อย่างสุภาพที่สุดในชีวิต นั่งสำรวมไม่ไขว้ขา คำว่า “ครับ” ติดที่ปากตลอดเวลาเลยล่ะ สอนได้สัก 2 สัปดาห์ ทางโรงเรียนและกรรมการโรงเรียน ซึ่งปัจจุบันเรียกว่ากรรมการศึกษา ได้จัดต้อนรับครูใหม่ เลี้ยงส่งครูย้ายในงานเดียวกัน ตอนนั้น “ พ่อถา” เป็นประธานกรรมการโรงเรียน จัดเลี้ยงที่อาคาร ป.4 ซึ่งเป็นอาคารใหญ่ยาว หลังเดียวของโรงเรียน อาหารที่เลี้ยงดีตามสภาพชุมชน ครูใหญ่ได้รับคำสั่งย้ายจากโรงเรียนบ้านปง ซึ่งห่างจากปากทางเขื่อนแม่งัดราว 3 กิโลเมตรเศษ ไปอยู่โรงเรียนบ้านร่ำเปิง ติดถนนเชียงใหม่-ฝาง เป็นโรงเรียนในหมู่บ้านของครูใหญ่ ครูใหญ่กล่าวในงานเลี้ยงส่งว่า

...อยู่โรงเรียนนี้สบายใจ๋ ชาวบ้านก็ดี กรรมการโรงเรียนให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือโรงเรียนเป็นอย่างดี ทำงานร่วมกั๋นแบบ ปี้ฮู้สองน้องฮู้หนึ่ง ผมบ่อยากย้ายเลย...”

พอมาถึงเวลา “พ่อถา” ประธานกรรมการโรงเรียนกล่าวบ้าง

...ครูใหญ่ปากว่า บ่อยากย้ายๆ แต่เป็นใดทำหนังสือขอย้าย...ปากก็ว่าอยู่โฮงเฮียนนี้สบายใจ๋ อู้บ่ตรงกับใจ๋...”


นี่คือคำคมของพ่อถา ประธานกรรมการโรงเรียน ที่เรียนมาแค่ ป. 4 ขวานผ่าซากและพุ่งตรงออกมาจากกลางใจ… ผมสอนผ่านไปได้ 1 เดือน ผมถ่ายบ่อย ไปห้องน้ำวันละหลายๆ ครั้ง กินอะไรเปรี้ยวๆ แม้จะเปรี้ยวเพียงเล็กน้อยก็ปวดท้องเข้าห้องน้ำ เห็นแม่ค้าที่ขายของในโรงเรียน บีบมะนาวฝานลงในจานขนมจีนน้ำเงี้ยว ท้องไส้มันปั่นป่วน จนต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ.

 

 

 

 

บล็อกของ ถนอมรัก เดือนเต็มดวง

ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
วันนี้ เป็นวันแรกของการเป็นครู ผมเตรียมตัวสอนมาเต็มที่ สอนหลายวิชา บอกก่อนว่าเป็นโรงเรียนเอกชนอยู่ใกล้สถานีรถไฟเชียงใหม่ เปิดสอนเด็กเล็กจนถึงมัธยมปีที่สาม ครูที่สอนส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว มีคนแก่คนหนึ่งเป็นฝ่ายการเงิน ครูใหญ่เป็นผู้หญิง เป็นเจ้าของโรงเรียน ไม่สอนแต่อยู่ฝ่ายขายอาหารของโรงเรียน ผมสอน 29 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ว่างเพียง 1 ชั่วโมง ปรกติครูท่านอื่นสอน 24-25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นั่นคือผมสอนมากกว่าท่านอื่น 5 ชั่วโมง ก็ช่วยสอนวิชาเบาๆ ให้พี่ๆ ที่สอนประจำชั้น เช่น พลศึกษาวาดเขียน ร้องเพลง...เป็นมุมหนึ่งในหลายมุมของชีวิตครูเอกชน วันแรก ผมสอน 6 ชั่วโมงเต็ม เป็นหนุ่มร่างกายแข็งแรง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
คืนนี้ ขึ้น 15 ค่ำ ยังหัวค่ำ พระจันทร์เต็มดวงสาดแสงนวลอ่อนโยนกระจ่างทั่วทุ่ง แสงเย็นตายังครอบคลุมวิหารวัดทุ่งลมเย็นบรรยากาศในวัดช่างสงบ สงัด ลมทุ่งพัดกระทบต้นไม้ในวัด ใบของมันสะบัดตัวรับดังซู่ซ่าเป็นพักๆ  ความวุ่นวายสับสนเร่าร้อนทั้งมวลของคนเหมือนหมดสิ้นยามย่างเท้าเข้าวัดสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์  พระสงฆ์องค์เจ้าคงจำวัดกันหมดทั้งสามรูป แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง จิตใจยังเร่าร้อนเคร่งเครียดแม้จะเหนื่อยจากงานสลากภัตของวัด ก็ไม่อาจข่มตาให้หลับได้  ใครๆเรียกเขาว่า "ลุงคำ" แกเฝ้านึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้านี้วัดทุ่งลมเย็นมีพระ 2 รูป เณร 1 รูปเวลาพระรับนิมนต์ไม่มีใครดูแลวัดเกรงขโมยจะมาลักทรัพย์สิน…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
คนเหนือ หรือชาวเหนือเรียกตนเองว่า “คนเมือง” เรียกคนกรุงเทพฯซึ่งพูดภาษากลางว่า “คนไทย” ในกลุ่ม “คนเมือง” มักมีวจีที่เกี่ยวโยงการเป็นคนท้องถิ่นเดียวกันว่า “หมู่เฮาคนเมือง” ย้อนหลังไปราว50ปี แม้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งยังแสดงความเป็นตัวตนโดยใช้ชื่อว่าหนังสือพิมพ์ “คนเมือง” สอดคล้องกับข้อความในหนังสือ “ฅนเมืองอู้คำเมือง” ในหน้าที่ 1โดยคุณบุญคิดวัชรศาสตร์ได้เขียนเอาไว้ว่า ...ในอดีตอาณาจักรล้านนามีการปกครองตนเองมีภาษาพูด และภาษาหนังสือใช้เป็นของตนเองมาก่อนและนิยมชมชอบเรียกตนเองว่า “คนเมือง” เรียกภาษาพูดว่า “คำเมือง” และเรียกภาษาหนังสือว่า “ตัวหนังสือเมือง” และล้านนาประกอบด้วย…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
แม่เกิดลูก ออกมาหลายตัว ขนสีต่างๆ กัน ส่วนใหญ่ตัวอ้วนขนฟู แม่นอนตะแคงในกรง ลูกตัวอื่นคลานต้วมเตี้ยมเข้าไปกินนมแม่เร็วกว่า เจ้าตัวผอมเล็ก ลำตัวมันยังไม่นิ่งนัก เพราะขายังไหวขณะเดิน ด้วยยังไม่แข็งแรงพอ เจ้าตัวผอมเล็กต้องรอให้บางตัวอิ่ม แล้วคลานออกมา มันจึงคลานเข้าไปกินได้ นมแม่อุ่นหวาน เต้านมนุ่มตึงเต็มปากของมัน มันถูกแม่อุ้มด้วยปากมากินนมบ่อยๆ ลูกตัวใดคลานไปไกล แม่หมาจะใช้ปากคาบเบาๆ ตรงหนังบริเวณคอ นำมาไว้ในกรงเสมอ ทุกวันเมื่อบรรดาลูกๆกินนมอิ่ม มันก็นอนกอดก่ายกันหลับไปมองดูเหมือนเด็กเล็กๆ น่าเอ็นดู เจ้าของกรง และบ้านเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง ตอนเช้า เวลานายผู้ชายเดินลงบันได…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
เด็กชายสันทัด นั่งยองๆ บนกำแพงวัด ตาจ้องเขม็งที่ร่างชายคนหนึ่ง ซึ่งนอนคว่ำ ไม่สวมเสื้อบนพื้นศาลาวัด บนเสื่อผืนหนึ่ง คางวางบนหมอนเก่าคร่ำมือประสานรองรับคาง วันนี้เป็นวันที่ 15 เมษายน เป็นวันพญาวันคนทางเหนือนิยมสักยันต์กันในวันนี้ เพราะเชื่อกันว่า ทำพิธีทางไสยศาสตร์ในวันนี้จะเข้มขลังนัก ภิกษุรูปหนึ่ง นั่งคุกเข่าข้างชายผู้นั้น ยกเหล็กแหลมเล็งไปยังกลางหลัง แล้วก็แทงจึกลงไป เหล็กกระทบเนื้อไปเรื่อยๆ ปากท่านก็ขมุบขมิบว่าคาถาประกอบ ชายที่นอนคว่ำ หน้าตาปรกติ ไม่แสดงอาการเจ็บปวด ชายฉกรรจ์อีก 4-5 คน ถอดเสื้อรอคิวสัก เขาจ้องดูชายคนแรกอย่างสนใจ ทุกคนกระตือรือร้นอยากสัก ไม่มีใครแสดงอาการหวาดหวั่น…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
กรมศิลปากรประกาศผลศิลปิน ผู้ได้รับรางวัล “เพชรในเพลง” ประจำปี 2551 เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พ.ศ. 2551 (29 ก.ค.) รางวัลเชิดชูเกียรติ ผู้ประพันธ์เพลงดีเด่นในอดีต ประเภทเพลงไทยสากล ได้แก่ “เพลงเรือนแพ” ผู้ประพันธ์นายชาลี อินทรวิจิตร เพลง “เรือนแพ” เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “เรือนแพ” สร้างเมื่อ พ.ศ.2504 เข้าฉายที่โรงภาพยนตร์ สุริวงศ์ เชียงใหม่ โรงภาพยนตร์นี้ เดิมอยู่ตรงข้ามกับประตูท่าแพ ปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้ว ผมได้เข้าชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ขณะเรียนชั้นมัธยมต้น เป็นภาพยนตร์ที่แสดงถึง ความรักของเพื่อนสามคน ประกอบด้วย ไชยา สุริยัน แสดงเป็น นักมวย ส.อาสนะจินดา แสดงเป็น ตำรวจ จินฟง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ดวงอาทิตย์ ค่อยโผล่พ้นขอบดอยที่อยู่ไกลลิบช้าๆ หมอกเมฆปรากฏจางๆ ช่วยกรองแสง ทำให้มองเห็นดวงอาทิตย์ เป็นทรงกลมสีแดงอ่อน เป็นเช้าที่สวยงาม บ้านไม้หลังเก่าสีโอ๊ก ปลูกบนเนินดิน ที่สูงกว่าถนนหน้าบ้าน และสูงกว่าทุ่งกว้างที่ด้านหน้าบ้านเล็กน้อย มีเก้าอี้โยกเป็นหวาย ที่ระเบียงด้านข้างบ้าน ซึ่งมีบันไดทอดสู่พื้นด้านหน้า มองเห็นทุ่งกว้าง ปรากฏตอข้าวสีเหลืองกระจายทั่วผืนนา ทุ่งกว้างนี้ ปูลาดไปจนถึงถนนสายเชียงใหม่-ฮอด ข้ามถนนเป็นทุ่งนาอีกเช่นกัน มองไกลออกไปอีกนิด เป็นหย่อมต้นไม้สีน้ำเงินปนดำ สูงขึ้นไปอีก จะเห็นแนวดอยสลับซับซ้อน ลมเย็นจากทุ่งโล่ง ทะยอยพัดมาระเรื่อย สู่บ้านของผม บ้านคนเมือง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
พ่อคงไม่รักผมเพราะพ่อตีผมบ่อยๆ บางครั้งหนักๆ ไม่เคยกอด ไม่เคยเล่นกับผม แวบหนึ่ง...ผมอยากออกบ้านไปให้พ้น...แกเพียงพูดว่า“เมื่อแกมีลูก แกจะรู้เอง” วันนี้ผมมีลูกชายวัย 3 ขวบ 1 คน กำลังซนตอนเย็นวันหนึ่ง แกกินยาป้องกันหนูและแมลง ที่มีรูปแบนเป็นวงกลม แหว่งไปนิดหนึ่ง ผมบอกแกให้อ้าปาก คายออกมาให้หมด แกอ้าปาก ถ่มน้ำลาย ผมยังไม่หมดกังวล บอกให้แม่บ้านเอาเงินมาให้ผมเร็ว จะพาลูกไปโรงพยาบาล ผมคว้าเสื้อมาสวม กลัดกระดุม 2 เม็ด ไม่ตรงรูของมัน ชายเสื้อข้างหนึ่งสั้น ข้างหนึ่งยาว อุ้มลูกวิ่งลงบันได เกือบลื่นล้ม วิ่งออกประตูบ้าน สู่ถนนใหญ่โรงพยาบาลใหญ่ที่สุด เป็นโรงพยาบาลที่ผมมุ่งไปหา โบกรถสี่ล้อรับจ้าง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ระยะนี้ กลางคืนนอนกรนตื่นง่ายตื่นนอนตอนเช้า มีอาการไม่ดี คล้ายหลับไม่อิ่ม เหมือนจะเป็นไข้เล็กน้อย ผมอยากนอนต่ออีกสักงีบ ขอสัก 20-30 นาทีน่าจะดีคิดถึงระยะทางจากบ้านถึงที่ทำงานแล้วท้อใจ จากบ้านอำเภอแม่แตงถึงอำเภอฝาง ที่ทำงานราว 111 กิโลเมตร พาหนะเป็นรถกระบะ พวงมาลัยธรรมดาปวดบ่าเอวไม่น้อยเลย สังขารผ่านวัยหนุ่มมาแล้ว อาการดังกล่าวเป็นบ่อยๆบางครั้งต้องโทรลาปรึกษาภรรยาแล้วไปหาหมอตรวจรักษาดีกว่า ไปคลินิกที่โรงพยาบาลมหาราชเร็วดี ยาดี แม้จะแพงก็ยอมเล่าอาการให้หมอฟังหมอให้ยามากินและนัดดูอาการราวเดือนครึ่ง ได้ไปหาหมอ หมอสอบถามผลการรักษา แล้วให้ยามารับกิน ทำอย่างนี้หลายครั้งแต่ละครั้งให้ไปเจาะเลือด…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ในวัยเด็ก ราวชั้นประถมศึกษา ผมยังจำได้ เมื่อมืดค่ำ ที่บ้านจะจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดทุกหลังคาเรือนก็เช่นกัน แม่บอกให้เอาการบ้านมาทำ ถ้าวิชาเดียวก็เสร็จเร็วหน่อย ถ้าสองวิชาก็ดึกหน่อย ดึกนั้นคงราวสองทุ่มเศษ ผมวางสมุดลงบนโต๊ะเล็กๆ นั่งขัดสมาธิบนเสื่อ แม่นั่งข้างหน้า แม่สอนจริงจัง มีตึงมีผ่อน มีเทคนิคในการสอน ขู่บ้างปลอบบ้าง คำพูดที่พูดประจำก็คือ “คัดไทย ช่องไฟต้องพอดี หัวทอทหารต้องกลมอย่าให้บอด” “ห้าคูณเจ็ดเป็นเท่าไร สามสิบห้าหรือสามสิบหก” ตอนจบแม่ให้ท่องสูตรคูณ ถ้าท่องได้ให้ไปนอน ท่องไม่ได้เอาให้ได้ ตาผมชักลืมไม่ขึ้น แม่ใช้ไม้ตีปับตรงแขน “ท่องไม่ได้ไม่ต้องนอน” แม่สำทับเสียงเข้ม
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
โลกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วเท่าเดิม เข็มนาฬิกากระดิกตัวด้วยความเร็วปกติ ผู้มีความทุกข์ ความผิดหวัง พิเคราะห์เวลาเหมือนเชื่องช้า เนิ่นนาน ผู้มีสุขสมหวัง มีเสียงหัวเราะกลับพูดว่า เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน เวลาเป็นของมีค่า ในเวลาเพียง 1 นาที มีคนเกิดคนตายเท่าไร มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดทุกมุมโลกมากมาย เมื่อเวลามีค่า เราก็สมควรทำอะไร ให้ตัวเอง ให้สังคม ให้ผู้คนรอบข้าง และควรดำเนินชีวิตอย่างไร ให้ชีวิตมีค่าเหมือนเวลา น่าจะเป็นเช่นนั้น ผมอ่านหนังสือหลายเล่ม ฟังผู้รู้หลายท่าน ใช้เวลาใคร่ครวญ เพื่อให้ความคิดตกผลึกว่า คนดีคือคนอย่างไร คนดีที่สุดต้องทำอะไร ได้ข้อสรุปว่า คนดีที่สุด คือคนที่คิด…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ทุกคนคงเคยไปหาหมอ อาจเป็นหมอคลินิกหรือหมอโรงพยาบาล เมื่อยื่นบัตรคนไข้ผ่านฝ่ายคัดกรองแล้ว ท่านก็ต้องไปยังห้องที่รักษาพยาบาลเฉพาะโรค นั่งรอคิวพยาบาลเรียก ถ้าเป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชนจะเร็วมาก แต่ก็ต้องจ่ายเงินมากเช่นกัน ถ้าเป็นโรงพยาบาลของรัฐต้องทำใจ จ่ายเงินน้อยแต่คนมาก คงต้องเสียสละเวลาให้ 1 วัน บางทีอาจครึ่งวัน คนไข้มากมาย ห้องตรวจทุกห้องคนไข้เต็มหมด คนไข้มากมายกว่าห้างสรรพสินค้า