Skip to main content

 

วันที่โรงเรียนปิด

ได้ไปหาหมอทองรัก เป็นคลินิกอยู่ตึกแถวห่างจากย่านไนท์บาร์ซ่าราว 100 เมตร หมอฟังอาการจากคนไข้ แล้วบอกนอนบนเตียงคนไข้ หมอใช้มือกดกลางท้อง แล้วย้ายมาใช้นิ้วเคาะท้องด้านข้างเสียงดังปุๆ หมอลงความเห็นว่า ไม่เป็นโรคร้ายแรง เพียงแต่ลำไส้ย่อยเร็วเกินไป ผมโล่งอกรับยาหมอมากิน

 

เหตุการณ์ระทึกขวัญ

ครั้งแรกในชีวิตครูผู้สอนมาถึง ผมกำลังสอนวิทยาศาสตร์ กำลังวาดรูปดอกชบาบนกระดานดำ หันหลังให้นักเรียน ได้ยินเสียงโครม เสียงร้องแหลมของนักเรียนหญิง ผมหันกลับไปดูอย่างรวดเร็ว เห็นสุทัศน์นักเรียนชายที่ตัวโตที่สุดในห้อง นักเรียนที่ไม่ค่อยพูดมาก ยกโต๊ะเขียนหนังสือขึ้นเหนือศีรษะ หันหน้าไปทางกลุ่มนักเรียนหญิงหลังห้อง ได้ยินเสียงสุทัศน์ครางในคอ โต๊ะตัวหนึ่งตะแคงบนโต๊ะอีกตัวกลางห้อง ตัวนี้เองที่ทำให้เกิดเสียงดังเมื่อครู่ นักเรียนชายที่นั่งข้างหลังเริ่มแตกฮือ สุทัศน์ขยับตัวเข้าไป นักเรียนหญิงส่งเสียงวี้ดว้ายอีก ผมได้สติส่งเสียงเรียก

สุทัศน์ ๆ อย่า !”


ไม่ได้ผล สุทัศน์ไปไกลเกินห้ามเสียแล้ว ผมหันรีหันขวางไม่รู้ทำอย่างไรดี ต้องหาผู้ช่วยเหลือ ครูใหญ่ไปประชุม นึกถึงครูปรีชา ครูรุ่นพี่สอนมาก่อนผมหลายปี และเป็นคนในพื้นที่ ผมวิ่งไปที่ห้องพักครู มองหาครูปรีชา ใจมาเป็นกองเมื่อเห็นครูปรีชา รีบเข้าไปเล่าเรื่องราวน่าตระหนกให้ท่านฟัง ครูปรีชาฟังอย่างตั้งใจหน้าเคร่งเครียด ครูปรีชาตัวเล็กกว่าผมและเล็กกว่านายสุทัศน์มาก ท่านวิ่งจากห้องพักครูมาอาคารเรียนที่เกิดเหตุ นายสุทัศน์เคลื่อนที่มายืนมือเปล่าที่หน้าห้อง ป.5 แล้ว นักเรียนหญิงยังคงส่งเสียงเล็กแหลมตกใจกลัวเป็นพักๆ เมื่อสุทัศน์แสดงท่าคุกคาม ครูปรีชาหยุดยืนหน้าอาคาร ห่างจากสุทัศน์ที่หันข้างให้ราว 8-10 เมตร ครูปรีชาส่งเสียงขึงขังบอก

นายสุทัศน์ หยุดบ่เดี๋ยวนี้ ”

สุทัศน์แสดงท่าทางแข็งขืน หันมาประจันหน้ากับครูปรีชา

คิง(มึง) จะมาสู้กับฮา(กู)กา(หรือ) ?”


เท่านี้แหละ เหมือนราดน้ำมันเบนซินบนกองไฟ เหมือนเด็กเอามือมาลูบหัวผู้ใหญ่เล่น ผมยืนเยื้องค่อนไปข้างหลังครูปรีชา เห็นริมปากครูปรีชาทั้งบนและล่างสั่นระริก ผิวหน้ากระตุกยิกๆ คล้ายคนกินเหล้ามากๆ ใบหน้าคล้ำเครียด นิ้วมือซ้ายงอเข้ามากำแน่น สายตาที่มองนายสุทัศน์ เหมือนเสือโคร่งที่หิวจัด กำลังจะกระโจนเข้าขย้ำเจ้าลูกกวางน้อยพลัดแม่ ครูปรีชาพูดอะไร ผมจำไม่ได้เสียแล้ว ทำนองคล้ายๆ ให้นายสุทัศน์ หยุดทำร้ายใคร แล้วกลับเข้าห้องเรียนตามเดิม สุทัศน์ยังไม่ยอมหยุด หันรีหันขวางแล้ววิ่งผ่านครูปรีชาไป มุ่งไปทางประตูด้านข้างโรงเรียนกลับบ้าน ครูปรีชาบ่นพึมพำ เดินมาห้องพักครู ผมตามท่านมา ท่านเล่าเรื่องของสุทัศน์ให้ผมฟัง ทั้งด้านครอบครัวและความประพฤติ ครูท่านอื่นทราบเรื่องได้มายืนออกันที่ห้องพักครู นักเรียนชั้นอื่นพอทราบเหตุการณ์ ก็ออกห้องตามครูออกมาพูดคุยซักถามกัน

 

ผมกลับมาบอกนักเรียนเข้าห้อง

ทำการสอนแบบมึนๆงงๆ ต่อไป ผมนึกถึงวิชาจิตวิทยาที่ครูทุกคนต้องเรียน เด็กก้าวร้าวคือเด็กที่แสดงออกด้วยการกระทำที่รุนแรง ด้วยวาจาหรือด้วยการกระทำ เด็กจะแสดงออกโดยทำร้ายตนเองหรือทำร้ายผู้อื่น เด็กประเภทนี้ มักมาจากครอบครัวที่มีปัญหา ครอบครัวที่แตกแยก เช่น พ่อแม่หย่าร้างกัน พ่อหรือแม่มีคู่ชีวิตคนใหม่ โดยลูกอาศัยอยู่ด้วยกัน และครอบครัวใหม่มักทะเลาะวิวาทกัน อยู่ด้วยกันอย่างกดขี่ทำร้ายกัน...วันต่อมาผมได้ทราบเรื่องราวของสุทัศน์เพิ่มเติมจากคณะครู จากนักเรียนในหมู่บ้านเดียวกับสุทัศน์ สุทัศน์อยู่กับแม่สองคน ถ้าโมโหมากๆ แกจะวิ่งทำร้ายแม่ไปรอบบ้าน ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่ลงรอยกับใครและไม่ยอมแพ้ใคร ถือว่าตนเองต้องเก่ง แข็งแรงกว่าผู้อื่น สุทัศน์ไม่กลัวใคร และไม่มีใครชอบสุทัศน์เลย

 

ในปี พ..2516

ผมสอบเรียนต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์

จึงได้ย้ายไปสอนที่โรงเรียนสันมหาพนวิทยา ใกล้ๆกับที่ว่าการอำเภอแม่แตง เนื่องจากอายุราชการเพียง 3 ปี จึงลาศึกษาต่อไม่ได้ เพราะทางหน่วยงานเขาจะคัดเลือกผู้มีอายุราชการมากๆไปเรียนก่อน ผมจึงขออนุญาตครูใหญ่ไปลงทะเบียนเรียนช่วงบ่ายสัก 2 วิชา สะสมหน่วยกิตไว้รอลาศึกษาต่อในปีต่อไป ครูใหญ่ใจกว้างให้ไปเรียนได้ เมื่อขึ้นปี พ..2517 ผมก็ลาไปศึกษาต่อได้เต็มที่ เรียนปีครึ่งก็เรียนจบ กลับมาสอนที่โรงเรียนสันมหาพนวิทยาที่เดิม ผมทราบข่าวต่อมาว่า สุทัศน์จบ ป.7 แล้วไม่ได้เรียนต่อ และอีก 2-3 ปีถัดมา ข่าวที่ได้รับ ทำให้ผมตกตะลึง สลดหดหู่และสยดสยอง เด็กวัยรุ่นในหมู่บ้านราว 4-5 คน ได้หลอกให้สุทัศน์เข้าไปในซอยเปลี่ยวยามค่ำคืน ใต้ร่มไม้ครึ้มต้นมะขามและไม้อื่นๆ ซึ่งเป็นเวลาที่ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังหลับสบาย ในความมืด วัยรุ่นคู่อริที่ไม่ชอบหน้าสุทัศน์มาเนิ่นนาน ได้รุมทำร้าย ใช้ทั้งมีด ไม้ ขวาน อาวุธในกาย รุมกระหน่ำบนร่างสุทัศน์ สุทัศน์สู้สุดชีวิตไม่มีกลัว มันจะเหลืออะไรอีก เขาล้มลงกลางดินในซอยมืด ร่างกายยับเยินด้วยรอยฟันแทง ทุบตี แผลเปรอะไปหมด...ในตอนเช้า เลือดตามตัวเริ่มแห้ง ได้มีคนเดินมาพบศพ ไม่มีใครเสียน้ำตา นอกจากแม่ของเขา.

 

 

 

บล็อกของ ถนอมรัก เดือนเต็มดวง

ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
วันนี้ เป็นวันแรกของการเป็นครู ผมเตรียมตัวสอนมาเต็มที่ สอนหลายวิชา บอกก่อนว่าเป็นโรงเรียนเอกชนอยู่ใกล้สถานีรถไฟเชียงใหม่ เปิดสอนเด็กเล็กจนถึงมัธยมปีที่สาม ครูที่สอนส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว มีคนแก่คนหนึ่งเป็นฝ่ายการเงิน ครูใหญ่เป็นผู้หญิง เป็นเจ้าของโรงเรียน ไม่สอนแต่อยู่ฝ่ายขายอาหารของโรงเรียน ผมสอน 29 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ว่างเพียง 1 ชั่วโมง ปรกติครูท่านอื่นสอน 24-25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นั่นคือผมสอนมากกว่าท่านอื่น 5 ชั่วโมง ก็ช่วยสอนวิชาเบาๆ ให้พี่ๆ ที่สอนประจำชั้น เช่น พลศึกษาวาดเขียน ร้องเพลง...เป็นมุมหนึ่งในหลายมุมของชีวิตครูเอกชน วันแรก ผมสอน 6 ชั่วโมงเต็ม เป็นหนุ่มร่างกายแข็งแรง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
คืนนี้ ขึ้น 15 ค่ำ ยังหัวค่ำ พระจันทร์เต็มดวงสาดแสงนวลอ่อนโยนกระจ่างทั่วทุ่ง แสงเย็นตายังครอบคลุมวิหารวัดทุ่งลมเย็นบรรยากาศในวัดช่างสงบ สงัด ลมทุ่งพัดกระทบต้นไม้ในวัด ใบของมันสะบัดตัวรับดังซู่ซ่าเป็นพักๆ  ความวุ่นวายสับสนเร่าร้อนทั้งมวลของคนเหมือนหมดสิ้นยามย่างเท้าเข้าวัดสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์  พระสงฆ์องค์เจ้าคงจำวัดกันหมดทั้งสามรูป แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง จิตใจยังเร่าร้อนเคร่งเครียดแม้จะเหนื่อยจากงานสลากภัตของวัด ก็ไม่อาจข่มตาให้หลับได้  ใครๆเรียกเขาว่า "ลุงคำ" แกเฝ้านึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้านี้วัดทุ่งลมเย็นมีพระ 2 รูป เณร 1 รูปเวลาพระรับนิมนต์ไม่มีใครดูแลวัดเกรงขโมยจะมาลักทรัพย์สิน…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
คนเหนือ หรือชาวเหนือเรียกตนเองว่า “คนเมือง” เรียกคนกรุงเทพฯซึ่งพูดภาษากลางว่า “คนไทย” ในกลุ่ม “คนเมือง” มักมีวจีที่เกี่ยวโยงการเป็นคนท้องถิ่นเดียวกันว่า “หมู่เฮาคนเมือง” ย้อนหลังไปราว50ปี แม้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งยังแสดงความเป็นตัวตนโดยใช้ชื่อว่าหนังสือพิมพ์ “คนเมือง” สอดคล้องกับข้อความในหนังสือ “ฅนเมืองอู้คำเมือง” ในหน้าที่ 1โดยคุณบุญคิดวัชรศาสตร์ได้เขียนเอาไว้ว่า ...ในอดีตอาณาจักรล้านนามีการปกครองตนเองมีภาษาพูด และภาษาหนังสือใช้เป็นของตนเองมาก่อนและนิยมชมชอบเรียกตนเองว่า “คนเมือง” เรียกภาษาพูดว่า “คำเมือง” และเรียกภาษาหนังสือว่า “ตัวหนังสือเมือง” และล้านนาประกอบด้วย…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
แม่เกิดลูก ออกมาหลายตัว ขนสีต่างๆ กัน ส่วนใหญ่ตัวอ้วนขนฟู แม่นอนตะแคงในกรง ลูกตัวอื่นคลานต้วมเตี้ยมเข้าไปกินนมแม่เร็วกว่า เจ้าตัวผอมเล็ก ลำตัวมันยังไม่นิ่งนัก เพราะขายังไหวขณะเดิน ด้วยยังไม่แข็งแรงพอ เจ้าตัวผอมเล็กต้องรอให้บางตัวอิ่ม แล้วคลานออกมา มันจึงคลานเข้าไปกินได้ นมแม่อุ่นหวาน เต้านมนุ่มตึงเต็มปากของมัน มันถูกแม่อุ้มด้วยปากมากินนมบ่อยๆ ลูกตัวใดคลานไปไกล แม่หมาจะใช้ปากคาบเบาๆ ตรงหนังบริเวณคอ นำมาไว้ในกรงเสมอ ทุกวันเมื่อบรรดาลูกๆกินนมอิ่ม มันก็นอนกอดก่ายกันหลับไปมองดูเหมือนเด็กเล็กๆ น่าเอ็นดู เจ้าของกรง และบ้านเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง ตอนเช้า เวลานายผู้ชายเดินลงบันได…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
เด็กชายสันทัด นั่งยองๆ บนกำแพงวัด ตาจ้องเขม็งที่ร่างชายคนหนึ่ง ซึ่งนอนคว่ำ ไม่สวมเสื้อบนพื้นศาลาวัด บนเสื่อผืนหนึ่ง คางวางบนหมอนเก่าคร่ำมือประสานรองรับคาง วันนี้เป็นวันที่ 15 เมษายน เป็นวันพญาวันคนทางเหนือนิยมสักยันต์กันในวันนี้ เพราะเชื่อกันว่า ทำพิธีทางไสยศาสตร์ในวันนี้จะเข้มขลังนัก ภิกษุรูปหนึ่ง นั่งคุกเข่าข้างชายผู้นั้น ยกเหล็กแหลมเล็งไปยังกลางหลัง แล้วก็แทงจึกลงไป เหล็กกระทบเนื้อไปเรื่อยๆ ปากท่านก็ขมุบขมิบว่าคาถาประกอบ ชายที่นอนคว่ำ หน้าตาปรกติ ไม่แสดงอาการเจ็บปวด ชายฉกรรจ์อีก 4-5 คน ถอดเสื้อรอคิวสัก เขาจ้องดูชายคนแรกอย่างสนใจ ทุกคนกระตือรือร้นอยากสัก ไม่มีใครแสดงอาการหวาดหวั่น…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
กรมศิลปากรประกาศผลศิลปิน ผู้ได้รับรางวัล “เพชรในเพลง” ประจำปี 2551 เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พ.ศ. 2551 (29 ก.ค.) รางวัลเชิดชูเกียรติ ผู้ประพันธ์เพลงดีเด่นในอดีต ประเภทเพลงไทยสากล ได้แก่ “เพลงเรือนแพ” ผู้ประพันธ์นายชาลี อินทรวิจิตร เพลง “เรือนแพ” เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “เรือนแพ” สร้างเมื่อ พ.ศ.2504 เข้าฉายที่โรงภาพยนตร์ สุริวงศ์ เชียงใหม่ โรงภาพยนตร์นี้ เดิมอยู่ตรงข้ามกับประตูท่าแพ ปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้ว ผมได้เข้าชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ขณะเรียนชั้นมัธยมต้น เป็นภาพยนตร์ที่แสดงถึง ความรักของเพื่อนสามคน ประกอบด้วย ไชยา สุริยัน แสดงเป็น นักมวย ส.อาสนะจินดา แสดงเป็น ตำรวจ จินฟง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ดวงอาทิตย์ ค่อยโผล่พ้นขอบดอยที่อยู่ไกลลิบช้าๆ หมอกเมฆปรากฏจางๆ ช่วยกรองแสง ทำให้มองเห็นดวงอาทิตย์ เป็นทรงกลมสีแดงอ่อน เป็นเช้าที่สวยงาม บ้านไม้หลังเก่าสีโอ๊ก ปลูกบนเนินดิน ที่สูงกว่าถนนหน้าบ้าน และสูงกว่าทุ่งกว้างที่ด้านหน้าบ้านเล็กน้อย มีเก้าอี้โยกเป็นหวาย ที่ระเบียงด้านข้างบ้าน ซึ่งมีบันไดทอดสู่พื้นด้านหน้า มองเห็นทุ่งกว้าง ปรากฏตอข้าวสีเหลืองกระจายทั่วผืนนา ทุ่งกว้างนี้ ปูลาดไปจนถึงถนนสายเชียงใหม่-ฮอด ข้ามถนนเป็นทุ่งนาอีกเช่นกัน มองไกลออกไปอีกนิด เป็นหย่อมต้นไม้สีน้ำเงินปนดำ สูงขึ้นไปอีก จะเห็นแนวดอยสลับซับซ้อน ลมเย็นจากทุ่งโล่ง ทะยอยพัดมาระเรื่อย สู่บ้านของผม บ้านคนเมือง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
พ่อคงไม่รักผมเพราะพ่อตีผมบ่อยๆ บางครั้งหนักๆ ไม่เคยกอด ไม่เคยเล่นกับผม แวบหนึ่ง...ผมอยากออกบ้านไปให้พ้น...แกเพียงพูดว่า“เมื่อแกมีลูก แกจะรู้เอง” วันนี้ผมมีลูกชายวัย 3 ขวบ 1 คน กำลังซนตอนเย็นวันหนึ่ง แกกินยาป้องกันหนูและแมลง ที่มีรูปแบนเป็นวงกลม แหว่งไปนิดหนึ่ง ผมบอกแกให้อ้าปาก คายออกมาให้หมด แกอ้าปาก ถ่มน้ำลาย ผมยังไม่หมดกังวล บอกให้แม่บ้านเอาเงินมาให้ผมเร็ว จะพาลูกไปโรงพยาบาล ผมคว้าเสื้อมาสวม กลัดกระดุม 2 เม็ด ไม่ตรงรูของมัน ชายเสื้อข้างหนึ่งสั้น ข้างหนึ่งยาว อุ้มลูกวิ่งลงบันได เกือบลื่นล้ม วิ่งออกประตูบ้าน สู่ถนนใหญ่โรงพยาบาลใหญ่ที่สุด เป็นโรงพยาบาลที่ผมมุ่งไปหา โบกรถสี่ล้อรับจ้าง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ระยะนี้ กลางคืนนอนกรนตื่นง่ายตื่นนอนตอนเช้า มีอาการไม่ดี คล้ายหลับไม่อิ่ม เหมือนจะเป็นไข้เล็กน้อย ผมอยากนอนต่ออีกสักงีบ ขอสัก 20-30 นาทีน่าจะดีคิดถึงระยะทางจากบ้านถึงที่ทำงานแล้วท้อใจ จากบ้านอำเภอแม่แตงถึงอำเภอฝาง ที่ทำงานราว 111 กิโลเมตร พาหนะเป็นรถกระบะ พวงมาลัยธรรมดาปวดบ่าเอวไม่น้อยเลย สังขารผ่านวัยหนุ่มมาแล้ว อาการดังกล่าวเป็นบ่อยๆบางครั้งต้องโทรลาปรึกษาภรรยาแล้วไปหาหมอตรวจรักษาดีกว่า ไปคลินิกที่โรงพยาบาลมหาราชเร็วดี ยาดี แม้จะแพงก็ยอมเล่าอาการให้หมอฟังหมอให้ยามากินและนัดดูอาการราวเดือนครึ่ง ได้ไปหาหมอ หมอสอบถามผลการรักษา แล้วให้ยามารับกิน ทำอย่างนี้หลายครั้งแต่ละครั้งให้ไปเจาะเลือด…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ในวัยเด็ก ราวชั้นประถมศึกษา ผมยังจำได้ เมื่อมืดค่ำ ที่บ้านจะจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดทุกหลังคาเรือนก็เช่นกัน แม่บอกให้เอาการบ้านมาทำ ถ้าวิชาเดียวก็เสร็จเร็วหน่อย ถ้าสองวิชาก็ดึกหน่อย ดึกนั้นคงราวสองทุ่มเศษ ผมวางสมุดลงบนโต๊ะเล็กๆ นั่งขัดสมาธิบนเสื่อ แม่นั่งข้างหน้า แม่สอนจริงจัง มีตึงมีผ่อน มีเทคนิคในการสอน ขู่บ้างปลอบบ้าง คำพูดที่พูดประจำก็คือ “คัดไทย ช่องไฟต้องพอดี หัวทอทหารต้องกลมอย่าให้บอด” “ห้าคูณเจ็ดเป็นเท่าไร สามสิบห้าหรือสามสิบหก” ตอนจบแม่ให้ท่องสูตรคูณ ถ้าท่องได้ให้ไปนอน ท่องไม่ได้เอาให้ได้ ตาผมชักลืมไม่ขึ้น แม่ใช้ไม้ตีปับตรงแขน “ท่องไม่ได้ไม่ต้องนอน” แม่สำทับเสียงเข้ม
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
โลกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วเท่าเดิม เข็มนาฬิกากระดิกตัวด้วยความเร็วปกติ ผู้มีความทุกข์ ความผิดหวัง พิเคราะห์เวลาเหมือนเชื่องช้า เนิ่นนาน ผู้มีสุขสมหวัง มีเสียงหัวเราะกลับพูดว่า เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน เวลาเป็นของมีค่า ในเวลาเพียง 1 นาที มีคนเกิดคนตายเท่าไร มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดทุกมุมโลกมากมาย เมื่อเวลามีค่า เราก็สมควรทำอะไร ให้ตัวเอง ให้สังคม ให้ผู้คนรอบข้าง และควรดำเนินชีวิตอย่างไร ให้ชีวิตมีค่าเหมือนเวลา น่าจะเป็นเช่นนั้น ผมอ่านหนังสือหลายเล่ม ฟังผู้รู้หลายท่าน ใช้เวลาใคร่ครวญ เพื่อให้ความคิดตกผลึกว่า คนดีคือคนอย่างไร คนดีที่สุดต้องทำอะไร ได้ข้อสรุปว่า คนดีที่สุด คือคนที่คิด…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ทุกคนคงเคยไปหาหมอ อาจเป็นหมอคลินิกหรือหมอโรงพยาบาล เมื่อยื่นบัตรคนไข้ผ่านฝ่ายคัดกรองแล้ว ท่านก็ต้องไปยังห้องที่รักษาพยาบาลเฉพาะโรค นั่งรอคิวพยาบาลเรียก ถ้าเป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชนจะเร็วมาก แต่ก็ต้องจ่ายเงินมากเช่นกัน ถ้าเป็นโรงพยาบาลของรัฐต้องทำใจ จ่ายเงินน้อยแต่คนมาก คงต้องเสียสละเวลาให้ 1 วัน บางทีอาจครึ่งวัน คนไข้มากมาย ห้องตรวจทุกห้องคนไข้เต็มหมด คนไข้มากมายกว่าห้างสรรพสินค้า