Skip to main content

ทำตามอุ๊ยบอก

เดินลงบันได สวมรองเท้าแตะที่เย็นเล็กน้อยมานั่งก้อม (ม้านั่งเตี้ย) ข้างกองไฟ เจ้านากคงนอนต่อไป ปีกจมูกสีดำชื้นๆขยับขึ้นลง แสงแดดอ่อน ค่อยสาดส่องลอดใบไม้กิ่งไม้สู่ลานบ้าน ความหนาวเยือกถูกเทพแห่งความร้อนรุกไล่ เสียงอุ๊ยตะโกนจากบนบ้าน ให้ผมปัดกวาดสาดแหย่ง (เสื่อที่ทอจากผิวคล้า คือกกชนิดหนึ่ง) ที่ปูบนตั่ง (ที่สำหรับนั่ง ไม่มีพนัก อาจมีขาหรือไม่มีขาก็ได้) ให้สะอาด ตั่งนี้อยู่ข้างรั้ว ห่างจากกองไฟเล็กน้อย สักครู่อุ้ยถือถ้วยมายืนที่ตีนบันได เรียกผมให้ไปรับ ผมสาวเท้าไปหา อุ๊ยบอกว่า “แกงผักขี้หูด” ใส่ปลาแห้งมันร้อน ให้ถือย่างระมัดระวัง อีกถ้วยใส่แคบหมูกรอบๆขนาดชิ้นละคำน่ากิน ผมเดินกลับมาช้าๆ ตามองแกงในถ้วย ระวังเต็มที่ไม่ให้น้ำแกงกระเพื่อมหก ยื่นไปวางบนกลางสาด ถอดรองเท้าฟองน้ำ นั่งขัดสมาธิเฝ้าอาหารเช้า ไอร้อนจากแกงลอยเป็นทางขึ้นรับแดดอ่อน เสียงพ่อแม่สลับกันตะโกนบอกจากบ้านอีกหลังว่า ให้รอสักพัก กำลังทอดปลาบ้วงหน้อย (ปลาช่อนหมักเกลือตากแดด ตัวเล็กเท่าฝ่ามือ) เกือบเสร็จแล้ว อุ๊ยหิ้วก่องข้าวเหนียวและช้อนสังกะสี 3-4 ใบมาด้วย

 

 

พอดีพ่อกับแม่ลงมาสมทบ

แม่มีปลาบ้วงหน้อยทอดกรอบสีน้ำตาลเข้มน่ากิน จำนวน 4 ตัว พ่อวางน้ำพริกแดงตำเองสีแดงปนน้ำตาลเนื้อฉ่ำ ใส่ถ้วยเล็กๆสีขาวท้าทายให้ปั้นข้าวเหนียวจ้ำลงไปลองลิ้ม แม่วางแกงแคใส่เนื้อไก่ลงไป พ่อวางก่องข้าวอุ่น ทุกคนนั่งล้อมวงอาหารบนตั่ง พ่อเปิดก่องข้าวเหนียว ไอร้อนของข้าวเหนียวสีขาวนุ่มลอยเป็นทางขึ้นมาทันที พ่อคดใส่จานเพียงกินหมดขณะยังอุ่น ไม่คดใส่มากจนกินไม่หมดจานข้าวเย็นเสียก่อน จานข้าววางไว้ระหว่างพ่อกับแม่ 1 จาน อุ๊ยคดข้าวเหนียวใส่จานสำหรับอุ๊ยกับผมอีก 1 จาน แม่ใช้มือปัดหมวกไหมพรมไปข้างหลังเล็กน้อย หมวกไหมพรมของผมเปิดเฉพาะตากับจมูกปาก ถูกดึงขึ้นไปม้วนเหนือหน้าผาก อากาศยังคงเย็น แดดสาดแสงอบอุ่นมายังวงกินข้าว อาหารเช้ายามหนาว ข้าวอุ่นแกงร้อน แดดอุ่น พ่อแม่อุ๊ยพร้อมหน้ากัน น้ำพริกแดงรสเด็ด อร่อยจริงๆ กินไปคุยกันไป มีอะไรก็พูดกันกลางวงอาหาร อุ๊ยสอนพวกเราทุกคน พ่อแม่สอนผม สอนอุ๊ยไม่ได้ถือว่า เด็กสอนผู้ใหญ่ไม่ได้ ถ้าจำเป็นจริงอาจพูดว่า “สูมาเต้อะ อี่แม่ อย่าว่าเจ้าสอนเลย คือว่า...” ถ้าผู้เฒ่าผู้แก่ใจเย็นพอก็ไม่มีอะไร ถ้าท่านยอมรับไม่ได้ จะพบการสั่งสอนอบรมสวนกลับอย่างหนักทีเดียว ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จึงไม่มีลูกหลานกล้าเสี่ยง ถ้าลูกหลานต่อปากต่อคำ ที่ท่านมักบอกว่า “เถียง” ก็จะย้อนว่า “กูเกิดก่อนมึง อาบน้ำฮ้อนมาก่อน...บ่ะต้องมาสอนมาสั่ง...ตอนกูเกิด มึงยังเป็นลมเป็นฝนอยู่...เฮอะเหอ !”

 


(3)


วงอาหารไม่ว่ามื้อใด

จึงเป็นสถานที่กินข้าวและอบรมลูกหลาน แม่เคยเป็นครูมาก่อน จะไม่ว่ากล่าวพ่อรุนแรงจนเสียอารมณ์ พาลกินอาหารไม่อร่อย และแม่จะระวังไม่สอนผม จนทำให้ผมกลืนข้าวฝืดคอ ผมจำได้ว่า เมื่อผมโตขึ้น เรียนชั้น ป.4 แล้ว เคยถามอุ๊ยและแม่ว่า

ทำไมต้องมาสอนมาด่าหรือต่อว่า เวลากินอาหารทุกครั้งไป สอนหรือด่าตอนอื่น บ่ะได้กา ?”
อุ๊ยและแม่ตอบคล้ายกันว่า

เวลากิ๋นข้าว ทุกคนมาอยู่พร้อมหน้ากั๋น มีอะหยังจะได้อู้กั๋นเสียทีเดียว”

ครูที่โรงเรียนสอนว่า เวลากินข้าว ทุกคนในครอบครัวควรพูดแต่เรื่องดีๆ กินข้าวจะได้อร่อย ครูไม่ให้พูดเรื่องเศร้า เรื่องเคร่งเครียด จะกินข้าวไม่ลง เรื่องตลกก็ห้ามพูด มัวหัวเราะ ข้าวยังเต็มปากอาจสำลักได้”


อุ๊ยกับแม่ได้ฟังผมพูดตามครูสอน ทั้งสองมองหน้ากัน พ่อหัวเราะหึๆ แม่หันขวับมาทำตาเขียวปัดให้พ่อ พ่อรีบปิดปาก ลุกขึ้นหันหลังเดินไปหัวเราะและยิ้มไกลๆแม่ แม่เป็นคนที่มีไหวพริบ ปฏิภาณไว ไม่เคยจนมุมใครในเรื่องฝีปาก สวนวาจาผมอย่างไม่เสียเชิง ทั้งที่ครั้งแรกอึ้งไปนิดหนึ่ง

บ่ะสอนต๋อนกิ๋นข้าว แล้วจะไปสอนต๋อนไหนหือ! ลูกเต้ากินข้าวแล้วก็โดดปึ้ก ไปเล่นไปแอ่วหายแซบ วันค่ำ...อุ๊ย พ่อแม่ว่าแล้วยังมาเถียง"

ปลาบ้วงหน้อย น้ำพริกแดง แกงฮ้อนๆ ตอนหน้าหนาว ข้าวนึ่งอุ่น อาบแดดเจ้า................... ”


กินข้าวเสร็จ
ต่างแยกย้ายขึ้นบนบ้าน แม่กำชับให้ผมแปรงฟังหลังอาหาร ผมช่วยอุ๊ยเก็บจานขึ้นบ้าน อุ๊ยล้างจาน ผมแปรงฟันแล้วลงมาผิงไฟ พ่อกินข้าวเสร็จ ได้เดินไปให้อาหารหมู
2 ตัวหลังบ้านอุ๊ย มันเป็นหมูพันธุ์สีขาว กำลังจะโตเป็นหนุ่มสาว ผมนั่งผิงไฟได้ยินเสียงหมูร้องอู๊ดๆ เมื่อพ่อหิ้วถังใส่อาหารไปให้มัน ได้ยินแม่สาดน้ำล้างจานลงจากห้องครัวหลังบ้าน กระทบพื้นดินดังโครม อุ๊ยเดินลงบันไดมา ส่งเสียงเรียกเจ้านาก ยามรักษาการประจำบ้าน มันลุกขึ้นจากกองขี้เถ้าข้างกองไฟช้าๆ เหยียดเท้าหน้าทั้งคู่ไปจนสุดตัว กดหลังลงครู่หนึ่งเหมือนคนยืดเส้นยืดเอ็น ไปหาจานข้างตีนบันไดบ้าน ผมนั่งผิงไฟครู่หนึ่ง สมองคิดไม่ออกว่า วันนี้จะไปไหนดีหันหน้ามองลอดรั้วบ้าน ข้ามถนนไปยังหน้าบ้านของ “อู๊ด” เพื่อนผม อู๊ดอายุมากกว่าผม 1 ปี จึงเรียนชั้นสูงกว่าผมชั้นหนึ่ง

 

 

บล็อกของ ถนอมรัก เดือนเต็มดวง

ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
วันนี้ เป็นวันแรกของการเป็นครู ผมเตรียมตัวสอนมาเต็มที่ สอนหลายวิชา บอกก่อนว่าเป็นโรงเรียนเอกชนอยู่ใกล้สถานีรถไฟเชียงใหม่ เปิดสอนเด็กเล็กจนถึงมัธยมปีที่สาม ครูที่สอนส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว มีคนแก่คนหนึ่งเป็นฝ่ายการเงิน ครูใหญ่เป็นผู้หญิง เป็นเจ้าของโรงเรียน ไม่สอนแต่อยู่ฝ่ายขายอาหารของโรงเรียน ผมสอน 29 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ว่างเพียง 1 ชั่วโมง ปรกติครูท่านอื่นสอน 24-25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นั่นคือผมสอนมากกว่าท่านอื่น 5 ชั่วโมง ก็ช่วยสอนวิชาเบาๆ ให้พี่ๆ ที่สอนประจำชั้น เช่น พลศึกษาวาดเขียน ร้องเพลง...เป็นมุมหนึ่งในหลายมุมของชีวิตครูเอกชน วันแรก ผมสอน 6 ชั่วโมงเต็ม เป็นหนุ่มร่างกายแข็งแรง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
คืนนี้ ขึ้น 15 ค่ำ ยังหัวค่ำ พระจันทร์เต็มดวงสาดแสงนวลอ่อนโยนกระจ่างทั่วทุ่ง แสงเย็นตายังครอบคลุมวิหารวัดทุ่งลมเย็นบรรยากาศในวัดช่างสงบ สงัด ลมทุ่งพัดกระทบต้นไม้ในวัด ใบของมันสะบัดตัวรับดังซู่ซ่าเป็นพักๆ  ความวุ่นวายสับสนเร่าร้อนทั้งมวลของคนเหมือนหมดสิ้นยามย่างเท้าเข้าวัดสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์  พระสงฆ์องค์เจ้าคงจำวัดกันหมดทั้งสามรูป แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง จิตใจยังเร่าร้อนเคร่งเครียดแม้จะเหนื่อยจากงานสลากภัตของวัด ก็ไม่อาจข่มตาให้หลับได้  ใครๆเรียกเขาว่า "ลุงคำ" แกเฝ้านึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้านี้วัดทุ่งลมเย็นมีพระ 2 รูป เณร 1 รูปเวลาพระรับนิมนต์ไม่มีใครดูแลวัดเกรงขโมยจะมาลักทรัพย์สิน…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
คนเหนือ หรือชาวเหนือเรียกตนเองว่า “คนเมือง” เรียกคนกรุงเทพฯซึ่งพูดภาษากลางว่า “คนไทย” ในกลุ่ม “คนเมือง” มักมีวจีที่เกี่ยวโยงการเป็นคนท้องถิ่นเดียวกันว่า “หมู่เฮาคนเมือง” ย้อนหลังไปราว50ปี แม้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งยังแสดงความเป็นตัวตนโดยใช้ชื่อว่าหนังสือพิมพ์ “คนเมือง” สอดคล้องกับข้อความในหนังสือ “ฅนเมืองอู้คำเมือง” ในหน้าที่ 1โดยคุณบุญคิดวัชรศาสตร์ได้เขียนเอาไว้ว่า ...ในอดีตอาณาจักรล้านนามีการปกครองตนเองมีภาษาพูด และภาษาหนังสือใช้เป็นของตนเองมาก่อนและนิยมชมชอบเรียกตนเองว่า “คนเมือง” เรียกภาษาพูดว่า “คำเมือง” และเรียกภาษาหนังสือว่า “ตัวหนังสือเมือง” และล้านนาประกอบด้วย…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
แม่เกิดลูก ออกมาหลายตัว ขนสีต่างๆ กัน ส่วนใหญ่ตัวอ้วนขนฟู แม่นอนตะแคงในกรง ลูกตัวอื่นคลานต้วมเตี้ยมเข้าไปกินนมแม่เร็วกว่า เจ้าตัวผอมเล็ก ลำตัวมันยังไม่นิ่งนัก เพราะขายังไหวขณะเดิน ด้วยยังไม่แข็งแรงพอ เจ้าตัวผอมเล็กต้องรอให้บางตัวอิ่ม แล้วคลานออกมา มันจึงคลานเข้าไปกินได้ นมแม่อุ่นหวาน เต้านมนุ่มตึงเต็มปากของมัน มันถูกแม่อุ้มด้วยปากมากินนมบ่อยๆ ลูกตัวใดคลานไปไกล แม่หมาจะใช้ปากคาบเบาๆ ตรงหนังบริเวณคอ นำมาไว้ในกรงเสมอ ทุกวันเมื่อบรรดาลูกๆกินนมอิ่ม มันก็นอนกอดก่ายกันหลับไปมองดูเหมือนเด็กเล็กๆ น่าเอ็นดู เจ้าของกรง และบ้านเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง ตอนเช้า เวลานายผู้ชายเดินลงบันได…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
เด็กชายสันทัด นั่งยองๆ บนกำแพงวัด ตาจ้องเขม็งที่ร่างชายคนหนึ่ง ซึ่งนอนคว่ำ ไม่สวมเสื้อบนพื้นศาลาวัด บนเสื่อผืนหนึ่ง คางวางบนหมอนเก่าคร่ำมือประสานรองรับคาง วันนี้เป็นวันที่ 15 เมษายน เป็นวันพญาวันคนทางเหนือนิยมสักยันต์กันในวันนี้ เพราะเชื่อกันว่า ทำพิธีทางไสยศาสตร์ในวันนี้จะเข้มขลังนัก ภิกษุรูปหนึ่ง นั่งคุกเข่าข้างชายผู้นั้น ยกเหล็กแหลมเล็งไปยังกลางหลัง แล้วก็แทงจึกลงไป เหล็กกระทบเนื้อไปเรื่อยๆ ปากท่านก็ขมุบขมิบว่าคาถาประกอบ ชายที่นอนคว่ำ หน้าตาปรกติ ไม่แสดงอาการเจ็บปวด ชายฉกรรจ์อีก 4-5 คน ถอดเสื้อรอคิวสัก เขาจ้องดูชายคนแรกอย่างสนใจ ทุกคนกระตือรือร้นอยากสัก ไม่มีใครแสดงอาการหวาดหวั่น…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
กรมศิลปากรประกาศผลศิลปิน ผู้ได้รับรางวัล “เพชรในเพลง” ประจำปี 2551 เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พ.ศ. 2551 (29 ก.ค.) รางวัลเชิดชูเกียรติ ผู้ประพันธ์เพลงดีเด่นในอดีต ประเภทเพลงไทยสากล ได้แก่ “เพลงเรือนแพ” ผู้ประพันธ์นายชาลี อินทรวิจิตร เพลง “เรือนแพ” เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “เรือนแพ” สร้างเมื่อ พ.ศ.2504 เข้าฉายที่โรงภาพยนตร์ สุริวงศ์ เชียงใหม่ โรงภาพยนตร์นี้ เดิมอยู่ตรงข้ามกับประตูท่าแพ ปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้ว ผมได้เข้าชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ขณะเรียนชั้นมัธยมต้น เป็นภาพยนตร์ที่แสดงถึง ความรักของเพื่อนสามคน ประกอบด้วย ไชยา สุริยัน แสดงเป็น นักมวย ส.อาสนะจินดา แสดงเป็น ตำรวจ จินฟง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ดวงอาทิตย์ ค่อยโผล่พ้นขอบดอยที่อยู่ไกลลิบช้าๆ หมอกเมฆปรากฏจางๆ ช่วยกรองแสง ทำให้มองเห็นดวงอาทิตย์ เป็นทรงกลมสีแดงอ่อน เป็นเช้าที่สวยงาม บ้านไม้หลังเก่าสีโอ๊ก ปลูกบนเนินดิน ที่สูงกว่าถนนหน้าบ้าน และสูงกว่าทุ่งกว้างที่ด้านหน้าบ้านเล็กน้อย มีเก้าอี้โยกเป็นหวาย ที่ระเบียงด้านข้างบ้าน ซึ่งมีบันไดทอดสู่พื้นด้านหน้า มองเห็นทุ่งกว้าง ปรากฏตอข้าวสีเหลืองกระจายทั่วผืนนา ทุ่งกว้างนี้ ปูลาดไปจนถึงถนนสายเชียงใหม่-ฮอด ข้ามถนนเป็นทุ่งนาอีกเช่นกัน มองไกลออกไปอีกนิด เป็นหย่อมต้นไม้สีน้ำเงินปนดำ สูงขึ้นไปอีก จะเห็นแนวดอยสลับซับซ้อน ลมเย็นจากทุ่งโล่ง ทะยอยพัดมาระเรื่อย สู่บ้านของผม บ้านคนเมือง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
พ่อคงไม่รักผมเพราะพ่อตีผมบ่อยๆ บางครั้งหนักๆ ไม่เคยกอด ไม่เคยเล่นกับผม แวบหนึ่ง...ผมอยากออกบ้านไปให้พ้น...แกเพียงพูดว่า“เมื่อแกมีลูก แกจะรู้เอง” วันนี้ผมมีลูกชายวัย 3 ขวบ 1 คน กำลังซนตอนเย็นวันหนึ่ง แกกินยาป้องกันหนูและแมลง ที่มีรูปแบนเป็นวงกลม แหว่งไปนิดหนึ่ง ผมบอกแกให้อ้าปาก คายออกมาให้หมด แกอ้าปาก ถ่มน้ำลาย ผมยังไม่หมดกังวล บอกให้แม่บ้านเอาเงินมาให้ผมเร็ว จะพาลูกไปโรงพยาบาล ผมคว้าเสื้อมาสวม กลัดกระดุม 2 เม็ด ไม่ตรงรูของมัน ชายเสื้อข้างหนึ่งสั้น ข้างหนึ่งยาว อุ้มลูกวิ่งลงบันได เกือบลื่นล้ม วิ่งออกประตูบ้าน สู่ถนนใหญ่โรงพยาบาลใหญ่ที่สุด เป็นโรงพยาบาลที่ผมมุ่งไปหา โบกรถสี่ล้อรับจ้าง…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ระยะนี้ กลางคืนนอนกรนตื่นง่ายตื่นนอนตอนเช้า มีอาการไม่ดี คล้ายหลับไม่อิ่ม เหมือนจะเป็นไข้เล็กน้อย ผมอยากนอนต่ออีกสักงีบ ขอสัก 20-30 นาทีน่าจะดีคิดถึงระยะทางจากบ้านถึงที่ทำงานแล้วท้อใจ จากบ้านอำเภอแม่แตงถึงอำเภอฝาง ที่ทำงานราว 111 กิโลเมตร พาหนะเป็นรถกระบะ พวงมาลัยธรรมดาปวดบ่าเอวไม่น้อยเลย สังขารผ่านวัยหนุ่มมาแล้ว อาการดังกล่าวเป็นบ่อยๆบางครั้งต้องโทรลาปรึกษาภรรยาแล้วไปหาหมอตรวจรักษาดีกว่า ไปคลินิกที่โรงพยาบาลมหาราชเร็วดี ยาดี แม้จะแพงก็ยอมเล่าอาการให้หมอฟังหมอให้ยามากินและนัดดูอาการราวเดือนครึ่ง ได้ไปหาหมอ หมอสอบถามผลการรักษา แล้วให้ยามารับกิน ทำอย่างนี้หลายครั้งแต่ละครั้งให้ไปเจาะเลือด…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ในวัยเด็ก ราวชั้นประถมศึกษา ผมยังจำได้ เมื่อมืดค่ำ ที่บ้านจะจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดทุกหลังคาเรือนก็เช่นกัน แม่บอกให้เอาการบ้านมาทำ ถ้าวิชาเดียวก็เสร็จเร็วหน่อย ถ้าสองวิชาก็ดึกหน่อย ดึกนั้นคงราวสองทุ่มเศษ ผมวางสมุดลงบนโต๊ะเล็กๆ นั่งขัดสมาธิบนเสื่อ แม่นั่งข้างหน้า แม่สอนจริงจัง มีตึงมีผ่อน มีเทคนิคในการสอน ขู่บ้างปลอบบ้าง คำพูดที่พูดประจำก็คือ “คัดไทย ช่องไฟต้องพอดี หัวทอทหารต้องกลมอย่าให้บอด” “ห้าคูณเจ็ดเป็นเท่าไร สามสิบห้าหรือสามสิบหก” ตอนจบแม่ให้ท่องสูตรคูณ ถ้าท่องได้ให้ไปนอน ท่องไม่ได้เอาให้ได้ ตาผมชักลืมไม่ขึ้น แม่ใช้ไม้ตีปับตรงแขน “ท่องไม่ได้ไม่ต้องนอน” แม่สำทับเสียงเข้ม
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
โลกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วเท่าเดิม เข็มนาฬิกากระดิกตัวด้วยความเร็วปกติ ผู้มีความทุกข์ ความผิดหวัง พิเคราะห์เวลาเหมือนเชื่องช้า เนิ่นนาน ผู้มีสุขสมหวัง มีเสียงหัวเราะกลับพูดว่า เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน เวลาเป็นของมีค่า ในเวลาเพียง 1 นาที มีคนเกิดคนตายเท่าไร มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดทุกมุมโลกมากมาย เมื่อเวลามีค่า เราก็สมควรทำอะไร ให้ตัวเอง ให้สังคม ให้ผู้คนรอบข้าง และควรดำเนินชีวิตอย่างไร ให้ชีวิตมีค่าเหมือนเวลา น่าจะเป็นเช่นนั้น ผมอ่านหนังสือหลายเล่ม ฟังผู้รู้หลายท่าน ใช้เวลาใคร่ครวญ เพื่อให้ความคิดตกผลึกว่า คนดีคือคนอย่างไร คนดีที่สุดต้องทำอะไร ได้ข้อสรุปว่า คนดีที่สุด คือคนที่คิด…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ทุกคนคงเคยไปหาหมอ อาจเป็นหมอคลินิกหรือหมอโรงพยาบาล เมื่อยื่นบัตรคนไข้ผ่านฝ่ายคัดกรองแล้ว ท่านก็ต้องไปยังห้องที่รักษาพยาบาลเฉพาะโรค นั่งรอคิวพยาบาลเรียก ถ้าเป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชนจะเร็วมาก แต่ก็ต้องจ่ายเงินมากเช่นกัน ถ้าเป็นโรงพยาบาลของรัฐต้องทำใจ จ่ายเงินน้อยแต่คนมาก คงต้องเสียสละเวลาให้ 1 วัน บางทีอาจครึ่งวัน คนไข้มากมาย ห้องตรวจทุกห้องคนไข้เต็มหมด คนไข้มากมายกว่าห้างสรรพสินค้า