Skip to main content

ถนอมรัก เดือนเต็มดวง

 

 

 

มนุษย์เรียนรู้ได้ดีแม้อายุมากใช่ไหม

เพื่อนผมหัดร้องเพลงดีดกีตาร์เมื่ออายุ 59 ปี คุณจริน ยุทธศาสตร์โกศล หัดเต้นบัลเลต์เมื่ออายุ 50 ปีจนเก่ง

คุณปู่แอลเลน สจ๊วด เรียนจบปริญญาโทตอนอายุ 97 ปี เกิดคำถามตามมาว่า ผู้สูงวัยเหล่านี้สามารถเรียนรู้ได้ง่าย สบายมากอย่างนั้นหรือ  เรียนรู้ได้เหมือนคนหนุ่มสาวปานนั้นหรือไร ผมไม่มีภูมิพอจะตอบได้เลย ขออนุญาตนำคำตอบจาก internet หัวข้อ “สมองเรียนรู้ได้ไม่จำกัด.” ไม่ทราบชื่อผู้เขียน แต่ระบุแหล่งข้อมูลว่า htt://www.Sudipan  มีหลายเรื่องที่น่าสนใจสำหรับทุกคน ทั้งบิดามารดา ลูกๆ และคนทั่วไป เพราะมันเกี่ยวกับสมอง เจ้าก้อนเนื้อสีเทาที่น้ำหนักราว 1.4 กิโลกรัม ดังนี้ครับ

       เรื่องไหนที่เราไม่ได้รู้ในวัยหนึ่ง ยังสามารถเรียนรู้ได้ แต่มันอาจยากขึ้น เช่น ต้องอ่านหนังสือหลายๆเที่ยวมากกว่าเด็กมากกว่าวัยหนุ่มสาว ต้องฝึกเต้นบัลเลต์อย่างหนัก ใช้เวลานานกว่าเด็ก ผู้เขียนท่านนี้ยังบอกอีกว่า สมองคนเรามีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเป็นประจำทุกวัน ยิ่งเราเรียนรู้มากเท่าใด เส้นใยสมองยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และยังบอกอีกว่า หากเราใช้สมองเป็นประจำ คิดอะไรใหม่ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ จะช่วยชะลอสมองให้เป็นเด็กตลอดกาล และข้อความสำคัญที่ทำให้คนแก่และคนที่กำลังจะกลายเป็นคนแน่นอนในอนาคต ยิ้มได้คือ “สมองคนแก่ที่ชอบเรียนรู้ กระตือรือร้นนั้น มีลักษณะคล้ายเด็ก...” คงหมายความว่า เรียนรู้ได้เร็ว เรียนรู้ได้ง่ายอย่างนั้น

 

ผมบ้าหนังสือ

ชอบซื้อหนังสือที่เราสนใจครั้งละหลายเล่ม แม้ไม่ค่อยมีเงินนัก อ่านดะไปเรื่อยเปื่อย อ่านแล้วเหมือนเราอยู่ในอีกโลกหนึ่ง กำลังฝึกใจตนเอง  ใช้มุมมองใหม่ อ่านหนังสือที่เราไม่ชอบมาก่อน อ่านหนังสือคนที่เราเคยเบือนหน้าหนีนามปากกานั้นๆ ขณะอ่านทำใจให้ว่างเปล่า โอ ทำให้ได้พบอะไรใหม่ๆดีๆมากมายเลยครับ มีหนังสือที่ผมสนใจมากขณะนี้ ผู้เขียนชื่อ คุณหนูดี วนิษา เรซ  ผมได้ซื้อหนังสือของเธอมาจำนวน 3 เล่ม ชื่อหนังสือว่า  “อัจฉริยะสร้างได้.” “อัจฉริยะสร้างสุข.” และ “อัจฉริยะเรียนสนุก.” เธอเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน

           ปริญญาโท เกียรตินิยมจาก Harvard University , Boston , U.S.A . ด้านวิทยาการทางสมอง ในโปรแกรมชื่อ Mind , Brain and Education และปริญญาตรี เกียรตินิยม จาก  University Of  Maryland at  College Park . U.S.A . ด้านครอบครัวศึกษา(Family Studies)  อาจารย์ที่ปรึกษาคือ ดร.โฮวาร์ด

การ์เนอร์(DR. Howard Garner) เจ้าของทฤษฎีพหุปัญญา(Theory of  Multiple Intelligences) หรืออัจฉริยะ 8 ด้านของมนุษย์  ซึ่งในวงการครู วงการศึกษา รู้เรื่องนี้ดี  ผมอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากหนังสือทั้ง 3 เล่มข้างต้น แล้วจดบันทึกไว้ว่า

                1. เราเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ในทุกที่ทุกสังคม

                2.การฝึกฝนและเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ สามารถทำให้สมองเรามีประสิทธิภาพดีขึ้น...ส่วนนี้ผมกำลังฝึก

                3.บางส่วนของสมองต้องใช้ประสบการณ์กระตุ้น จึงจะทำให้สมองดีขึ้น เช่น การมอง การฟัง การสัมผัส การเคลื่อนไหว ดังนั้นเราต้อง “ลงมือทำ.” และทำเป็นประจำเท่านั้น จึงจะกระตุ้นสมองได้จริง เป็นต้นว่า การเรียนภาษา การเต้น(รำ) การเล่นกีฬา

                4. ภาวะที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้คือ ภาวะอารมณ์สงบแต่ตื่นตัว(Relaxed Alertness)

ถ้าสงบเกินไปเราจะง่วง แต่ถ้าเราตื่นตัวเกินไป ใจเราจะวุ่นวายจนอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง สมองไม่รับรู้ข้อมูล

หากใจไม่สงบให้ทำสมาธิ หรือให้อาหารปลา ถ้าง่วงให้ออกวิ่งเหยาะๆ หรือหาอะไรอร่อยมากิน หรือดื่มน้ำแก้วโตแล้วมองดูใบไม้ในสวน

                  5.สมองเราทำงานตลอดเวลา ทั้งยามหลับและตื่น (บันทึกมาถึงส่วนนี้ ผมต้องหยุดคิดว่า จริงไหมหนอ)ยามเราคิดหนัก ยามใจลอย ส่วนที่ไม่เคยหยุดพักเลยคือ “ จิตใต้สำนึก.”

                  6.จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึก มันจะผลัดกันตื่น ผลัดกันทำงาน เมื่อยามที่เราตื่นมีสติรู้สึกตัว ตอนนั้นจะเป็นจิตสำนึกทำงานแล้วจิตใต้สำนึกก็จะหลับอยู่ แต่ก็ยังคอยเก็บข้อมูลตามที่จิตสำนึกส่งไปให้เก็บอยู่เรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เราเคลิ้มจะหลับจนถึงหลับสนิท จะเป็นเวลาที่จิตสำนึกจะหลับแล้วเป็นจิตใต้สำนึกที่ตื่นมาทำงาน ดังนั้นความฝันทั้งหลาย ก็คือจิตใต้สำนึกเป็นตัวสร้างภาพขึ้นมายามที่เราหลับ(จาก INTERNET หัวข้อ หลักการสั่งจิตใต้สำนึก-ไม่ยากเท่าที่คิด ไม่ทราบชื่อผู้เขียนครับ)

                   7.ความทุกข์สุขไม่ได้อยู่ที่ใจ แต่อยู่ในสมอง

                   8.ความเครียดอ่อนๆในช่วงก่อนสอบ ยิ่งทำให้เราอ่านหนังสือได้ดีขึ้น จำแม่นขึ้น เพราะสารเคมีที่หลั่งออกมาสำหรับความเครียดระยะสั้นคือ “อะดรีนาลิน.” นั้น มันคนละตัวกับฮอร์โมนความเครียดระยะยาว...ฮึม ประเด็นนี้น่าสนใจ ตอนเรียนหนังสือ อาจารย์ขีดเส้นใต้ให้ส่งงานวันนั้นวันนี้ เราปั่นงานกันหน้าดำคล้ำเครียด เร่งงานกันตลอดวันตลอดคืน กินข้าว 2-3 คำ ห้องน้ำห้องท่าแทบลืมไปเลย ว่าแต่เครียดอ่อนๆมันแค่ไหน อาการอย่างไร คิดเองนะว่า ขณะมีความเครียด แต่เรายังยิ้มออกบ้าง หัวเราะเล็กน้อยได้ แต่ถ้าเครียดหนัก เครียดยาว ชนิดซึมเหงาหลายๆวัน ต้องระวังแล้วครับ. จะเป็นโรคซึมเศร้าได้ อันตรายทีเดียว.

 

                                           ........................................................................

บล็อกของ ถนอมรัก เดือนเต็มดวง

ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
รัฐภาค เพื่อนรักยิ่ง เป็นไงบ้าง คลายเครียดหรือยังล่ะ ไม่มีกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ยกขบวนแสดงพลังอะไรต่อไป กันมองเป็นเรื่องที่น่าศึกษา เป็นเรื่องของการพัฒนา การแก้ไข การสร้างถนนสายใหม่ อำนาจประชาชนเป็นอำนาจที่มีพลังยิ่งใหญ่ แต่ต้องเป็นอำนาจที่ยึดกฎหมายเป็นกรอบ กันว่าอำนาจทั้งสามต้องสมดุลกัน คือ อำนาจบริหาร (รัฐบาล) ตุลาการ (ศาล) นิติบัญญัติ (รัฐสภา) กันหมายถึงว่า คานอำนาจกันไว้ ไม่ให้หนักไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในเวลานี้ เราอยู่ได้ก็เพราะศาล กันอยากถามแกเกี่ยวกับบ้านเมืองของเราสักหน่อย เพราะแกสนใจข่าวการบ้านการเมืองตั้งแต่เรียนมัธยมต้น ส่วนกันไม่ค่อยสนใจเท่าไร มันปวดหัวน่ะ
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
สถานที่ แข่งบ้องไฟเป็นทุ่งนาเก่า อยู่ใกล้ๆที่ว่าการอำเภอ กรรมการ 3 คน ผม ธาตรี คุณโพยม นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่   กระจายอยู่ห่างกัน คนละมุมมอง บ้องไฟส่งเข้าแข่งขัน  12  ราย กรรมการฝ่ายจุดชนวน นำบ้องไฟรายแรกไปโคนต้นไม้ กรรมการที่ไต่ต้นไม้เก่ง 2 คน  นำลำตัวบ้องไฟพาดง่ามไม้ จุดชนวน ปรากฏควันกรุ่นตรงหางบ้องไฟ   สะเก็ดประกายไฟฟู่ขึ้น  บ้องไฟพุ่งพรวดขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที  เสียงโห่ร้องของชาวบ้านที่มาชมมากมายดังขึ้น   รายแรกขึ้นสูงปานกลาง ควันมาก ผมกรอกคะแนนสบายใจ 7 คะแนน …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
งานลอยกระทงของอำเภอเวียงแหงผ่านพ้นไปแล้ว แต่ผลการตัดสินการประกวดกระทง ยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์แพร่หลาย ไม่จางหายไปง่ายๆ บ้างกล่าวว่า กรรมการตัดสินลำเอียง ตัดสินให้กระทงบ้านเจ้าภาพของงานชนะเลิศ เพราะพากรรมการไปเลี้ยงดูปูเสื่อ บางกลุ่มว่าประธานกรรมการตัดสิน มีภรรยาเป็นชาวบ้านของกระทงที่ชนะเลิศ สารพัดของการณ์วิจารณ์ บ่งบอกการไม่พอใจ ไม่ยอมรับกรรมการตัดสินกระทงชุดนี้ เวลาผ่านไปเทศกาลวันเข้าพรรษาวนมาถึง ปีนี้นอกจากงานทำบุญแล้ว จะมีการประกวดบ้องไฟหรือบั้งไฟด้วยโดยบ้านเวียงแหงเป็นเจ้าภาพ หมู่บ้านใกล้ไกลได้รับแจ้งข่าว เชิญชวนส่งบ้องไฟเข้าประกวดเรื่องสำคัญที่ถูกหยิบยกมากล่าวถึงอีกได้แก่…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  ใกล้สิ้นปีแล้วเหลืออีกเดือนเดียว เดือนธันวาคมเป็นเดือนสุดท้ายของปี ที่เวลาเดินเร็วที่สุด จำนวนวันก็เท่าๆกับเดือนอื่นๆ เราไม่ได้เร่งรัดวันเวลา ปล่อยวันในเดือนสุดท้ายเดินไปตามปรกติ เวลาเดินไปสม่ำเสมอ ภายใต้ความรู้สึกคึกคัก เหมือนมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษของเรา งานเลี้ยงรุ่นใกล้เข้ามาอีกปีหนึ่ง กำหนดคงเป็นต้นเดือนมกราคม 2552 จะได้พบเพื่อนที่เคยนุ่งกางเกงขาสั้นสีกากีเสื้อขาวอีกครั้ง หน้าตาคงเปลี่ยนไปตามวัยผมเผ้าน้อยลง หน้าเหี่ยวตีนกาขึ้น ลงพุงแข่งกัน ฟันฟางแท้ลดจำนวนฟันปลอมเข้ามาครองแทนที่ ไม่น่าดูเลย ช่างเป็นอนิจจังเสียจริง
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ลูกเสือ ทุกหมู่ช่วยกันกางเต็นท์ ประกอบอาหาร มองเห็นควันไฟลอยกรุ่นสู่เบื้องบน ได้ยินลูกเสือพูดคุยกันแว่วมา นอกจากครูวีรภาพ และครูภาสกร ที่เป็นผู้กำกับลูกเสือแล้ว ยังมีท่านอื่นทำหน้าที่รองผู้กำกับลูกเสือ เริ่มมืดค่ำลงแล้ว แสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าที่แขวนเป็นจุดๆ ทั่วค่ายลูกเสือส่องสว่างพอประมาณ เนื่องจากแขวนสูงและวางจุดห่างกันมาก สถานที่นี่เรียกกันว่าหน่วยอุทยานแห่งชาติศรีลานนา หรืออุทยานห้วยกุ่ม กิโลเมตรที่ 65 ฝั่งตะวันออกถนนเชียงใหม่-ฝาง ครูชาย ตั้งวงโขกหมากรุก เป็นกีฬาที่ครูชายในโรงเรียนกำลังนิยมไม่เว้นแม้ภารโรง เนื่องจากครูที่ย้ายมาใหม่จากกรุงเทพฯ ชื่อ “ภักดี”…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ในวัยราว 6 ขวบ พ่ออุ้มผมที่บาดเจ็บตรงสะบ้าหัวเข่า เดินท่องน้ำที่กำลังท่วมผ่านสนามโรงเรียน ไปส่งห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นบาดแผลเกิดจากคมมีดที่ผมฟันกิ่งไม้แห้ง แล้วแฉลบมาโดนจนเนื้อแหว่ง ต้องทายาพันผ้ายาวคืบกว่า ตอนเย็นพ่อก็ไปรับอุ้มกลับบ้านอีกรอบ พ่อแม่ญาติพี่น้องให้ผมหยุดโรงเรียน แต่ผมรบเร้าจะไปโรงเรียนให้ได้ ฤดูหนาว เวียนมาถึง อากาศหนาวเย็น การอาบน้ำตอนเย็นเป็นเรื่องอิหลักอิเหลื่อของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ย่าตักน้ำใส่คุวางไว้กลางข่วงบ้าน (ลานบ้าน) ตั้งแต่เที่ยงวัน ตักอาบน้ำตอนเย็นจะได้อุ่น ใครขยันหน่อยตักน้ำใส่ปี๊บแล้วต้ม เป็นช่วง 40 กว่าปีมาแล้วยังไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ผมกับธาตรีสนิทสนมกันมากขึ้นผมเป็นหนุ่มใหญ่มีครอบครัวแล้วมาจากในเมืองเชียงใหม่ ธาตรีหนุ่มโสดผิวสีกาแฟลืมใส่นมวัยยี่สิบเศษมาจากกรุงเทพฯ เราทั้งคู่สูงต่ำพอกัน เวลาผ่านไปได้สองสัปดาห์ ผมชวนธาตรีเดินเตร่หาบ้านเช่าหลังใหม่ ได้บ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่อยู่ติดถนนริมทุ่งนา มีบ่อน้ำใสอยู่ข้างบ้าน ตกลงราคากันเรียบร้อย ผมชวนธาตรีมาอยู่ด้วยกัน เขาทำท่าอิดออด... ผมจึงโน้มน้าวว่า เราอยู่กันสามคนกับหัวหน้า การทำอะไรก็เกรงใจท่าน เราต้องสำรวมพอสมควรจะร้องเพลงเต้นแร้งเต้นกาก็ทำไม่สะดวก เห็นผู้หญิงสวยๆ ขาวๆ เดินผ่านหน้าบ้าน จะพูดจาทักทายเย้าแหย่ทำไม่ได้เต็มที่ ค่าเช่าบ้านไม่ต้องห่วง ผมเบิกได้…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
จำได้ว่า วันแรกที่ผมเดินทางมาถึงห้องทำงานที่ว่าการอำเภอเวียงแหง เป็นเดือนพฤศจิกายน2528 หัวหน้าหน่วยงานแนะนำให้รู้จักเจ้าหน้าที่งานต่างๆ ดูหน้าตาใครอาวุโสกว่าผม ผมยกมือไหว้ก่อนแล้วทักทาย ใครหนุ่มกว่าก็ทักทายเพียงวาจา ทุกคนอัธยาศัยดี เป็นกันเอง เด็กหนุ่มผิวเข้มคนหนึ่งทราบภายหลังว่าเป็นชาวกรุงเทพฯ ชื่อ ธาตรี ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ ยกมือไหว้ผม และกล่าวคำว่า “สวัสดีครับ” ผมรับไหว้กล่าวคำสวัสดีเช่นกัน
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
เปิดอัลบั้มเห็นภาพตนเอง ยืนคู่กับผู้บริหารโรงเรียน กอดอกวางมาดเท่ หน้าที่ว่าการอำเภอเวียงแหง สวมหมวกไหมพรมเสื้อกันหนาว ถุงมือ กางเกงสีทึมทึบและรองเท้าผ้าใบ ถ่ายนานหลายปี ภาพๆ เดียวทำให้เกิดภาพชีวิตจริงในอดีตปี 2530 ทยอยเคลื่อนมาสู่มโนคติมากมาย มันตื่นเต้นระทึก เข็ดขยาด น่าจดจำ ภาพรถติดโคลนยาวเหยียดบนดอย ภาพจอดรถจักรยานยนต์ ยืนกินข้าวเหนียวกับไส้อั่วกลางฝนกลางป่า ดื่มน้ำฝนที่ไหลผ่านหน้าผาก จมูก ผ่านปากกลั้วคอ ภาพบ่างโฉบจากต้นไม้ ภาพเป่าเขา ควาย เพิงขายของริมทาง ภาพนั่งเฮลิคอปเตอร์เลียบเลาะผ่านหุบเหว เหตุการณ์บนรถยนต์กลางดอยยามดาวสาดแสง ยุงกัดตลอดคืน ฝูงหิ่งห้อยบินส่องแสงวิบ ๆ กลางป่ามืด…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำใกล้ลับขอบดอย บอกการอำลาท้องฟ้าไปทุกขณะ ช่างเหมือนข้าราชการเกษียณ ที่ต้องอำลาชีวิตราชการในวันนี้ ทุกอย่างมีเริ่มและสิ้นสุด ผู้คนเริ่มทยอยเข้าร้าน “เงาจันทร์” ทุกคนนั่งประจำที่ เครื่องดื่มถูกลำเลียงบริการ ข้าราชการเกษียณนั่งเรียงกันครบ 12 คน อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ ผู้บริหารนั่งกระจายไป หัวหน้าการนั่งประจำหัวโต๊ะ ท่าทางผึ่งผายแย้มยิ้มสำรวม นักร้องครูชายหญิงที่เสียงเพราะพริ้งที่สุด สับเปลี่ยนกันเกริ่นกล่อมบรรยากาศ เสียงหัวเราะหยอกเย้า เสียงชนแก้วเริ่มคึกคัก ชิดชัยผู้อำนวยการโรงเรียนหนุ่ม จอดรถจักรยานยนต์ไว้หน้าร้าน โดยหันหน้าขึ้นในตำแหน่งทิศเหนือ ซึ่งบ้านของตนตั้งอยู่…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
เมื่อผมย้าย มาอยู่ที่สามหลัง ได้รู้จักกับครอบครัวหนึ่ง บ้านใกล้กัน สามีภรรยาอยู่ในวัยทำงาน ขยันทั้งคู่ เขามีบุตรชาย คนหนึ่งเป็นเด็กที่น่าสนใจ น่าเรียนรู้ ผลการเรียนเกรด 4 ทุกวิชา ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 ...อยู่ในครรภ์มารดา 7 เดือนเศษก็คลอด หลังคลอดต้องนอนห้องไอซียู อีก 1 เดือน เพราะร่างกายไม่แข็งแรง ปอดไม่ปรกติ หมอต้องเจาะรักษา จากนั้นมานอนพักฟื้นที่ห้องพิเศษอีก 7 วัน จึงกลับบ้านได้ ขณะเรียนหนังสือ เวลาว่างชอบอ่านหนังสือเสมอ ปั่นจักรยานเล่นในหมู่บ้าน มือถือหนังสือ ท่อนแขนกดแฮนด์รถไว้ อ่านหนังสือไปด้วย จนคนในครอบครัวต้องว่ากล่าว เกรงจะได้รับอันตราย ในด้านสัมมาคารวะ ระเบียบวินัย…
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
คำว่า “เพื่อน”มีความหมายมากมาย เป็นคนที่ไปเที่ยวด้วยกัน ช่วยเหลือกัน กินด้วยกัน มีอะไรในใจพูดได้ทุกอย่างพูดแล้วสบายใจ เป็นที่ปรึกษาปัญหาสารพัด ยืมเงินได้แต่ต้องใช้ตรงเวลา บางคนรักเพื่อนมาก เพื่อนทำผิดยังปกป้อง ก็ต้องพิจารณารักเพื่อนมากไปไหม เพื่อนผมคนหนึ่ง พ่อแม่เลิกกัน แม่แยกมาอยู่กับน้องสาว น้องสาวมีครอบครัว สามีน้องสาวคงไม่เต็มใจต้อนรับนัก เพื่อนผมมักมีเรื่องโต้เถียงกับสามีพี่แม่ ผมได้ยินครั้งหนึ่ง ทั้งคู่พูดกูมึง ซึ่งนับว่ารุนแรง แม่ผมคงรู้เรื่องนี้ดีและรู้จักคุ้นเคยกับแม่เพื่อน แม่ขี้สงสาร เห็นอกเห็นใจคน จึงบอกให้เพื่อนผมว่า“หากไม่สบายใจ..มาอยู่กับสันทัดก็ได้ มานอนที่บ้านแม่…