Skip to main content
 

 กรกช  เพียงใจ

 

 

ใครบางคนบอกว่า "ข้อเท็จจริง" (fact) นั้นแตกต่างจาก "ความจริง"  (truth)

 

บันทึกนี้จึงอาจกล่าวอ้างได้เพียงว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงอันมากมายมหาศาล

 

แต่ก็คือทั้งหมดที่ฉันเห็น สังเกต และรู้สึก ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

 

มนุษย์ผู้ไม่ได้ไปอยู่ ณ จุดปะทะสำคัญใดๆ  กับเขาเลย

 

หากใครคาดหวังเช่นนั้น ขออภัยล่วงหน้า ....

 

 

- - - - - - - - - - - -

 

 

วันที่ 13 เมษายน 2552

 

13 เม.ย. - เวลาประมาณ 4.00 น. ทหารได้เข้าสลายกลุ่มเสื้อแดงคนที่ปักหลักอยู่ที่สามเหลี่ยมดินแดง โดย น.พ.ชาตรี เจริญชีวกุล เลขาธิการศูนย์นเรนทร เปิดเผยถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บกรณีการสลายม็อบบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงว่า มีผู้บาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาลแล้วกว่า 60 คน ที่รพ.รามาฯจำนวน 23 คน รพ.ราชวิถี จำนวน 6 คน เนื่องมาจากถูกแก๊สน้ำตาและวัสดุของแข็ง จนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนทหารที่ได้รับบาดเจ็บได้นำส่งโรงพยาบาลพระมงกุฏ

 

พ.อ.สรรเสริฐ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงการสลายการชุมนุมว่า ประชาชนได้ร้องเรียนมาเป็นจำนวนมากบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งทางทหารได้ประเมินสถานการณ์แล้วพบว่า กลุ่มผู้ชุมนุมมีประมาณ 300 คน จึงเข้าไปสลายการชุมนุม โดยก่อนการสลายนั้นได้ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้ประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมให้สลายตัวไป ปรากฏว่าทางฝ่ายกลุ่มผู้ชุมนุมได้ใช้อาวุธปืนยิงลงมาจากทางด่วน ปาระเบิดเพลิงเข้าใส่ทหาร และได้ใช้รถเมล์พุ่งชนจนทหารได้รับบาดเจ็บไปกว่า 10 คน ทางทหารจึงได้ใช้อาวุธปืนยิง แต่ขอย้ำว่า เป็นการยิงขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่ นอกจากนี้ ยังใช้แก๊สน้ำตายิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมกับใช้กำลังทหารเดินหน้าตะลุยไป

 

ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมหลายคนระบุว่า ทหารได้บุกเข้ามาโดยไม่ได้แจ้งเตือน มีการใช้แก๊สน้ำตา และมีการใช้ปืนเอ็มสิบหกยิงขึ้นฟ้า รวมถึงใช้ปืนยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมซึ่งมีอาวุธเพียงก้อนอิฐและไม้ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนหลายราย แต่ยังมีผู้เห็นเหตุการณ์ที่ทหารเข้าลากผู้ชุมนุมที่ถูกกระสุนปืนขึ้นรถจีเอ็มซีด้วย โดยมีการเล่าเหตุการณ์ดังกล่าวนี้บนเวทีปราศรัยหน้าทำเนียบฯ

 

ในช่วงสาย กลุ่มเสื้อแดงกลับมายังบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง และพยายามจะเข้าไปทวงศพคนเสื้อแดงที่พวกเขาคาดว่าเสียชีวิตแล้ว 2 คนที่รพ.ราชวิถี แต่แพทย์ระบุว่าอยู่ในห้องไอซียู ไม่ได้เสียชีวิต ส่วนที่บริเวณถนนศรีอยุธยา หน้าโรงพยาบาลสงฆ์ มีกลุ่มคนเสื้อแดงนำรถสิบล้อบรรทุกถังแก๊สขนาดใหญ่มาจอดทิ้งไว้ รวมถึงบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงด้วย

 

ในช่วงเที่ยงทหารใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าและใช้น้ำฉีดใส่ผู้ชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมปาระเบิดเพลิง และก้อนหินเข้าใส่ทำหน้าที่ทำให้มีการปะทะกัน และทหารสามารถเคลียร์พื้นที่ได้ในที่สุด ช่วงบ่ายเกิดเหตุปะทะกันระหว่างคนเสื้อแดงและประชาชนไม่ทราบฝ่ายที่ถนนเพชรบุรี ซอย 5 ซอย 7 ขณะที่ทหารได้เคลื่อนกำลังเข้าปิดล้อมบริเวณโดยรอบทำเนียบฯ ได้ในช่วงเย็น จากนั้นในช่วงค่ำเกิดเหตุปะทะกันอีกบริเวณชุมชนนางเลิ้ง จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน

 

ความเคลื่อนไหวรอบนอก กลุ่มคนเสื้อแดงหลายจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา โคราช อุดรฯ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ จันทบุรี พิษณุโลก ฯ ชุมนุมปิดถนนและล้อมศาลากลางจังหวัดทันที  เพื่อกดดันให้รัฐบาลปล่อยตัวนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หนึ่งในแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ถูกควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดี  และต่อต้านการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินในเขตกทม.และปริมณฑล

 

 

 

 

 

เช้าวันที่ 13 เมษายน 2552

 

 

ราวตีห้ากว่า เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมคำบอกเล่าว่าเกิดการปะทะกันแล้วที่แยกดินแดง ฉันและเพื่อนคว้ากล้องออกเดินกลับไปยังเวทีหน้าทำเนียบฯ อีกครั้ง ขณะที่ฝนตกพรำๆ คราวนี้บรรดาการ์ดเริ่มล้อมรถแท็กซี่ที่เปิดคลื่นวิทยุของพวกเขาติดตามข่าวสาร ฉันเดินเลยไปถึงแยกนางเลิ้ง ที่นี่กลุ่มการ์ดเริ่มรวมตัวกันหนาแน่นทั้งหญิงและชาย ถือไม้กันเป็นอาวุธเพื่อกันทหารเข้ามา  ระหว่างที่ถ่ายภาพบรรยากาศแถวนั้น มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าถ่ายอะไรพร้อมบอกให้ลบรูปออก ท่าทีของเขาดูก้ำกึ่งระหว่างความสุภาพและการคุกคาม ฉันยอมลบภาพแต่โดยดี แต่เพื่อนกลับรู้สึกโมโหมากกับเรื่องนี้

 

"ทำไมแกไม่โกรธมั่งวะ เค้ามีสิทธิอะไรมาสั่ง"

 

"ก็ด่านเมื่อกี๊ถ่ายได้แล้ว ด่านนี้ถ่ายไม่ได้ก็ช่างมัน" ฉันตอบไปมั่วๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่โกรธ

 

จากนั้นมีรถกระบะคันหนึ่งที่ขนคนมาเต็มคัน พวกเขาบอกว่ามาจากแยกดินแดง และเริ่มเล่าเรื่องราวที่ทหารยิงเข้ามาในกลุ่มคนเสื้อแดงด่านหน้าซึ่งมีแต่ไม้และอิฐเป็นอาวุธ พร้อมทั้งยืนยันว่าต้องมีคนเสียชีวิตแน่นอน "มันบ้าไปแล้ว คนมือเปล่ากับเอ็มสิบหก" เสียงผู้หญิงคนที่มากับรถกระบะตะโกนขึ้นมา

 

บรรยากาศค่อยๆ เริ่มตึงเครียดขึ้น พอดีกับที่ฟ้าเริ่มสาง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมคำแนะนำว่าควรไปเฝ้าดูยังโรงพยาบาลใกล้ที่เกิดเหตุ ฉันจึงแยกกับเพื่อนแล้วนั่งมอเตอร์ไซด์มุ่งหน้าไปโรงพยาบาลรามาธิบดี มอเตอร์ไซด์รับจ้างคันนั้นเปิดเผยตัวว่าเป็นการ์ดด้วยเหมือนกัน

 

ฉันถามเขาว่าทำไมต้องเผายางรถยนต์และเศษไม้ด้วยตามแยกที่ผ่านมา

"เผากันทหาร" เขาว่า

"ทหารไม่ใช่ยุงนะพี่"

.... เขาหัวเราะและไม่ว่าอะไรต่อ

 

0000

 

 

ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ดูเหมือนฉันจะคาดการณ์ผิดที่กะจะพบกองทัพนักข่าวที่มาเฝ้ารอติดตามสถานการณ์คนเจ็บ ฉันน่าจะเป็นคนแรกที่มาถึง ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปในตัวอาคาร ก็พบกับพยาบาลอาสา-รถของการ์ดเสื้อแดงที่จอดอยู่ พวกเขาจับกลุ่มคุยกันอยู่ เมื่อเข้าไปสอบถาม การ์ดคนหนึ่งหน้าตาตึงเครียด อีกคนหนึ่งตาแดงๆ เขายืนยันกับฉันว่าเห็นคนถูกยิงและถูกลากขึ้นรถทหารอย่างรวดเร็วอย่างน้อย 2 คน "เราพยายามจะเข้าไปแย่งศพ แต่เขายิงขู่ไว้ตลอด" มันเป็นเรื่องน่าตกใจและพาให้ต้องถามซ้ำ "เห็นกับตาจริงๆ หรือ" เขายังคงยืนยันหนักแน่นเช่นนั้น

 

อีกคนหนึ่งบอกว่าเขาลากคนถูกยิงมาได้คนหนึ่งและอุ้มไปไว้ข้างทาง จากนั้นก็มีรถกระบะคล้ายหน่วยกู้ภัยแต่ไม่รู้ว่าหน่วยไหนเป็นคนนำร่างนั้นไป

 

ฉันไม่รู้ว่ามันจริงเท็จแค่ไหน คนเหล่านั้นเสียชีวิตหรือไม่ แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาคงถูกยิง และมันต้องเป็นจุดปะทะที่หนักหนา จึงเดินขึ้นไปยังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลโดยหวังว่าจะเป็นแหล่งที่ให้ความกระจ่างเรื่องจำนวนและอาการผู้บาดเจ็บได้ดีที่สุด เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ออกมาต้อนรับและบอกให้รอด้านนอก มี รปภ.คอยกันอย่างเข้มงวดให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องนั่งรอบนม้านั่งด้านนอกอาคาร

 

สักพักจึงเห็นหมอเหวง โตจิราการ เดินออกมาจากด้านใน ฉันรีบวิ่งเข้าไปสอบถาม ได้ความว่าที่นี่มีคนเจ็บเกือบ 20 คน ส่วนใหญ่โดนกระสุน ขณะที่เดินคุยกันนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเดินออกมาเพื่อพาหมอเหวงไปเยี่ยมคนเจ็บที่อาการค่อนข้างหนัก ขณะที่ฉันเฝ้ารอรายงานจากทางเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ และพยายามจะพบหมอซักคนเพื่อพูดคุยรายละเอียด

 

กระทั่งหมอเหวงเดินกลับมาอีกครั้งและบอกว่า ได้เข้าเยี่ยมอาการคนที่โดนกระสุนเจาะที่สะโพกและลำคอซึ่งอาการปลอดภัยแล้ว และทางนิติเวชของโรงพยาบาลเก็บหัวกระสุนไว้ได้จำนวนหนึ่งด้วย จากนั้นเขาจึงขอตัวเพื่อตระเวนไปยังโรงพยาบาลแห่งอื่นๆ

 

สักพัก ฉันก็ได้เจอคุณหมอท่านหนึ่ง เขาบอกว่าเดี๋ยวจะให้เจ้าหน้าที่พิมพ์รายละเอียดทั้งหมดแจกนักข่าวอีกที ซึ่งบัดนี้เริ่มมีนักข่าวทีวีบางช่อง และหนังสือพิมพ์อีกสองฉบับที่เข้ามายังโรงพยาบาล

 

เมื่อได้รับแถลงการณ์ ในนั้นระบุว่า "แถลงการณ์วันที่ 13 เมษายน จากการสลายการชุมนุมในช่วงเช้าวันที่ 13 เมษายน 2552 ปรากฏว่าได้มีผู้บาดเจ็บเข้มารับการรักษาตัวที่รพ.รามาธิบดี ตั้งแต่เวลา 05.00-6.10 น. จำนวน 24 ราย เป็นชาย 22 รายและหญิง 2 ราย โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและต้องรับไว้ใน รพ. 2 ราย จากบาดแผลที่ข้อเข่า 1 ราย และบาดแผลที่คอแขนและขาจากสะเก็ดระเบิด 1 ราย ที่เหลืออีก 22 ราย เป็นแผลเล็กน้อย ตามแขนขา 8 ราย และระคายเคืองตาและผิวหนังจากแก๊สน้ำตา 14 ราย จึงเรียนมาเพื่อทราบ"

 

ฉันอ่านแล้วทั้งงงทั้งโกรธ จึงโทรกลับไปถามย้ำกับหมอเหวงด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง แต่หมอเหวงยังคงยืนยันหนักแน่นว่าได้เข้าไปเยี่ยมและเห็นกับตาตนเอง รวมทั้งยังยืนยันถึงหัวกระสุนที่โรงพยาบาลเก็บได้

 

ฉันสับสนพอสมควรและกลับไปถามหมอคนเดิมในโรงพยาบาลรามาอีกครั้ง ซึ่งหมอก็ยืนยันตามแถลงการณ์เช่นกัน ฉันจึงถามตรงๆ ว่าไม่มีคนได้รับบาดเจ็บจากกระสุนแน่หรือ และที่ว่าบาดแผลที่เข่านี้ใช่กระสุนหรือไม่ คุณหมอว่าเท่าที่สำรวจยังไม่พบคนโดนกระสุน แต่จะตรวจสอบให้อีกที อาจมีส่วนที่ยังไม่ได้ผ่า ..... ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ 8 โมงเช้า

 

00000

 

 

  

 

ฉันยังคงนั่งอยู่ที่นั่น แต่บรรดาการ์ดเสื้อแดงหายไปแล้ว ซักพักใหญ่มีผู้ชายเสื้อแดงเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน คราบเลือดเต็มกางเกงยีนส์ หน้าตาเขาซีดๆ แต่ก็เรียบนิ่งไร้อารมณ์ มีคนเรียกสามล้อให้เขานั่งไปพร้อมพยาบาลอาสาเพื่อให้ไปขึ้นเวทีที่ทำเนียบฯ เลือดเขาค่อยๆ หยดติ๋งๆ ย้อยมาถึงปลายกางเกงลงพื้นคอนกรีต เขาว่าเพิ่งผ่าเอาหัวกระสุนออก มองที่กางเกงเห็นรูเล็กๆ ใกล้เป้ากางเกง

 

ป้าคนหนึ่งบอกว่าเลือดยังไหลไม่หยุดควรกลับไปหาหมอ แต่เขาบอกว่าน่าจะเป็นเลือดค้างเก่า พร้อมกับถอดเข็มขัดเผื่อดูแผลที่อยู่ด้านใน "ผมยังไหว" เขาพูดเบาๆ สีหน้าเรียบนิ่ง ฉันค่อนข้างตกใจและเกรงใจไม่กล้าถามอะไรมาก เพราะเขาดูเจ็บแผล ยืนลำบาก จึงเพียงขอถ่ายรูปเร็วๆ  ถามชื่อ "จิรัช" และสอบถามให้แน่ใจว่าเขาอยู่ที่แยกดินแดงซึ่งปะทะกับทหารตอนเช้ามืด จากนั้นเขาก็ขึ้นรถสามล้อออกไป

 

ระหว่างนั้นฉันเดินออกมาดูหน้าโรงพยาบาล พบว่ามีควันดำจากการเผายางรถยนต์โพยพุ่งขึ้นที่แยกตึกชัยใกล้โรงพยาบาล นางพยาบาลที่เพิ่งมาเข้าเวรตอนเช้าบ่นอุบถึงกลิ่นไหม้นี้ซึ่งทำให้เธอรู้สึกคลื่นเหียน ขณะที่คนทำความสะอาดเข้ามาคุยกับฉันและว่าเธอเชียร์คนเสื้อแดง เพราะทนไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมเรื่องสองมาตรฐานที่เห็นชัดขึ้นทุกวัน

0000

 

หลังจากนั้นไม่นาน มีน้าคนหนึ่งชื่อทองสุข กระหืดกระหอบเข้ามาถามหาลูกสาวที่นี่เพราะลูกสาวอยู่ที่แยกดินแดงตอนเช้ามืด และจนถึงบัดนี้ยังติดต่อไม่ได้ เจ้าหน้าที่รับเรื่องแล้วรีบเข้าไปตรวจสอบให้

 

ฉันยืนฟังอยู่ตรงนั้นและเห็นสีหน้าอันตึงเครียดของเธอ แววตาเธอดูแข็งๆ มองจ้องไปข้างหน้าตลอดเวลาเหมือนพยายามกดข่มอารมณ์ตื่นตระหนก โศกเศร้า ไว้ภายใต้ความแข็งแกร่ง ถึงอย่างนั้นเสียงสั่นเครือก็เล็ดรอดออกมาเป็นระยะอยู่ดี ฉันพยายามเข้าไปพูดคุยอยากให้เธอคลายเครียด ซึ่งเธอก็ยอมคุยด้วย

 

ลูกสาวของเธออายุ 16 ปี อาศัยอยู่กับเธอและสามีแถวดินแดง เธอและสามีออกมาชุมนุมที่ทำเนียบฯ หลายวันมาแล้วโดยทิ้งให้ลูกสาวอยู่บ้าน แต่เมื่อมีการปิดถนนของคนเสื้อแดงใกล้ๆ แถวนั้นทีไร ลูกสาวเธอและเด็กวัยรุ่นแถวนั้นจะออกมากันหมด บ้างมาดู บ้างมาช่วย

 

เธอเชื่อว่าลูกสาวเธอก็ออกมาด้วยในช่วงเช้ามืดนี้ หลังจากข่าวการปะทะแพร่กระจาย เธอเล่าว่าบนเวทีที่ทำเนียบฯ มีผู้อยู่ในเหตุการณ์ขึ้นไปเล่าเรื่องราวให้ผู้ชุมนุมฟัง ผู้หญิงคนหนึ่งเล่าทั้งสะอึกสะอื้นว่า เห็นคนโดนยิงแล้วลากขึ้นรถ หนึ่งในนั้นเป็นเด็กวัยรุ่นและน่าจะเป็นผู้หญิง

 

"ถ้ามันตายก็ทำใจแล้ว แต่ขอให้ได้เห็นศพมัน" ป้าพูดพลางพยายามกดหางเสียงที่เริ่มสั่นเครือ ฉันบอกให้เธอใจเย็นๆ โดยไม่กล้าแม้แต่จะพูดว่าลูกสาวป้าคงไม่เป็นไร

 

ถึงตอนนั้นฉันพร้อมจะละทิ้งภารกิจทั้งหมดเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเธอจนกว่าจะได้พบลูก แม้เธอไม่ได้ร้องขอ เราหันไปพูดคุยกันเรื่องอาชีพการงานและการเข้าร่วมชุมนุม

 

เธอเล่าว่า เธอและสามีเป็นลูกจ้างของ กทม. มีหน้าที่ดูแลสวนสาธารณะแห่งหนึ่งย่านจตุจักร ทั้งคู่เป็นคนอีสานแต่ย้ายเข้ามาอยู่และทำงานในกรุงเทพฯ เกือบ 20 ปี เธอเข้าร่วมกับการชุมนุมของ นปช.มาพักใหญ่ เพราะเห็นว่าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีความเป็นธรรม และยังพูดถึงอำนาจอื่นๆ ที่มักเข้ามาแทรกแซงการเมืองด้วย

 

ฉันฟังเธอเพลินโดยไม่ทันได้ถามคำถามที่คนชั้นกลางส่วนใหญ่อยากรู้เกี่ยวกับทัศนะของคนจนที่มาชุมนุมต่อ "ทักษิณ ชินวัตร" อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอะไรจะเป็นตัวผลักดัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือทั้งคู่มาชุมนุมหลังเลิกงานและอยู่จนดึกดื่น ก่อนจะกลับไปนอน 3-4 ชั่วโมง เพื่อจะตื่นไปทำงานใหม่ แล้วกลับมาชุมนุมต่อ เป็นอย่างนี้มาหลายวันจนกระทั่งถึงวันนี้

 

"เรามันคนจน ชีวิตก็ลำบากอยู่แล้วยังต้องมาลำบากกับเรื่องพวกนี้อีกก็เพราะมันทนไม่ไหว"

 

เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลออกมาบอกว่าไม่มีรายชื่อลูกเธออยู่ที่นี่ และให้ข้อมูลว่ายังมีคนเจ็บที่โรงพยาบาลอีก 2-3 แห่ง เธอตั้งใจจะตามไปดูทุกแห่ง แต่เจ้าหน้าที่ทักท้วงและอาสาจะประสานศูนย์นเรนทรเพื่อช่วยเช็ครายชื่อตามที่ต่างๆ ให้

 

เรายังคงนั่งอยู่ด้วยกัน คุยกันบ้าง นิ่งเงียบบ้าง ตอนนี้ตาฉันเริ่มจะปิด เพราะได้นอนราวสองชั่วโมง จึงขอตัวไปซื้อกาแฟด้านหลังโรงพยาบาล

 

เมื่อกลับมาอีกที สีหน้าของป้าทองสุขมีรอยยิ้มปรากฏ  "เจอแล้ว มันโทรมาแล้ว" แล้วเธอก็เล่าว่าลูกสาวออกมาชุมนุมด้วยจริงๆ และวิ่งหนีกระสุนของทหารโดยมีคนแถวนั้นช่วยเหลือไว้  "มันบอกมันไม่กลัวอะไรแล้ว เค้ายิงอย่างหมูอย่างหมาเลยแม่"

 

เธอเตรียมตัวจะกลับไปชุมนุมต่อทันทีที่ทำเนียบฯ ก็พอดีที่มีญาติคนไข้ที่นั่งฟังเรื่องราวอยู่ข้างๆ เข้ามาพูดคุยกันอย่างออกรส ฉันจึงเป็นฝ่ายขอตัวกลับก่อน แล้วรถฉุกเฉินของมูลนิธิก็วิ่งเข้ามา ..อ้าว !  เขานั่นเอง "จิรัช" คนเดิม นอนอยู่บนเตียงและถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินอีกแล้ว คงเพราะบาดแผลเขายังเลือดไหลไม่หยุด

 

ฉันอดอมยิ้มไม่ได้ เพราะใบหน้าเขายังคงนิ่ง เรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี

 

0000

 

 

เสร็จจากรามาธิบดีในช่วงสาย ก็คิดอยู่ว่าจะไปโรงพยาบาลอื่นๆ อีกดีหรือไม่ เพราะเริ่มไม่แน่ใจว่าจะได้ข้อมูลอะไรมากนัก พอดีมีโทรศัพท์เข้ามาแจ้งว่ามีผู้บาดเจ็บคนหนึ่งอยู่ที่โรงพยาบาลราชวิถี คราวนี้ได้ทั้งชื่อ นามสกุล

 

ที่ราชวิถี มีคนเสื้อแดง ซึ่งอาจมีทั้งญาติ และไม่ใช่ญาติ ยืนอออยู่หน้าห้องคนไข้เพื่อจะขอเข้าเยี่ยม แต่ป้ายหน้าห้องเขียนว่าเปิดให้เยี่ยม 12.00-17.00 น. และพยาบาลไม่อนุญาตให้ใครเข้า ทั้งหมดจึงทยอยกลับ บางส่วนแยกย้ายไปตามหาผู้ป่วยยังตึกอื่นอีก

 

ฉันยังคงเดินโต๋เต๋อยู่แถวนั้น กระทั่งเจอบุรุษพยาบาล จึงถามอีกครั้งเพื่อขอเข้าเยี่ยมคนเจ็บ เขาบอกว่าวันนี้ทางโรงพยาบาลมีคำสั่งงดเยี่ยมผู้ป่วยทั้งวันโดยเขาเองก็บอกไม่ได้ว่าเพราะเหตุใด

 

"แล้วกัน แล้วญาติจะเยี่ยมคนเจ็บยังไง อย่างนี้คนเจ็บก็จะไม่ได้เจอญาติกันเลยนะ" บุรุษพยาบาลหันรีหันขวาง พยายามเข้าไปถามพยาบาลเจ้าของห้องให้ กระทั่งฉันได้เข้าไปเยี่ยม "วีระชัย" 

 

"แป๊บเดียวนะ" บุรุษพยาบาลย้ำ

 

วีระชัยนอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงคนไข้ในห้องรวม ซึ่งมีเขาอยู่เพียงเตียงเดียว ฉันแนะนำตัวและพูดคุยกับเขา ซึ่งดูเพลียมาก เขาถูกกระสุนเข้าที่บริเวณเท้า เพิ่งผ่ากระสุนออกและมีผ้าพันแผลห่อไว้ เขาพยายามขอหัวกระสุนที่ผ่าออกมา แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์ เมื่อจะขอถ่ายรูปก็ไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน

 

เขาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ที่สามเหลี่ยมดินแดงด้วยว่ามีคนไปตั้งด่านสกัดทหารจำนวนร่วมสองร้อยคน แต่คนที่อยู่ด่านหน้าจริงๆ มีสิบยี่สิบคน ราวตีสามกว่าหรือตีสี่กว่า เขาไม่แน่ใจ ก็มีทหารประมาณหนึ่งกองร้อยเข้ามาในพื้นที่ และโดยไม่ได้มีการประกาศเตือน แจ้ง แถลงไขอะไรแต่อย่างใด เหล่าทหารยิงแก๊สน้ำตาหลายนัดมายังกลุ่มผู้ชุมนุม พวกเขาที่อยู่ด่านหน้าพยายามขว้างปาอิฐ หรืออะไรที่หาได้เพื่อตอบโต้ในระยะที่ประจันหน้ากันอยู่ห่างราว 50 เมตร จนกระทั่งมีการยิงปืนขึ้นฟ้า เขาว่าเห็นลูกไฟหลายลูกลอยขึ้นฟ้าติดต่อกัน

 

จากนั้นไม่นาน เริ่มมีการปะทะครั้งที่สอง ครั้งนี้เขาสังเกตเห็นว่า ทหารมีจำนวนมากขึ้นมาก ได้ยินเสียงทหารนายหนึ่งตะโกนทำนองว่า "ลุยเลย พวกนี้ไม่จงรักภักดี" ทหารจึงเคาะเกราะกันอย่างฮึกเหิม และเริ่มวิ่งเข้ามายังกลุ่มผู้ชุมนุม ปลายปืนบางส่วนไม่ได้เล็งขึ้นฟ้าแล้วแต่เล็งมายังคน ผู้ชุมนุมแตกกระเจิง มีเสียงปืนดังขึ้นโดยตลอด

 

เขาถูกกระสุนเข้าที่เท้า ขณะที่มีคนโดนที่เข่าและลำตัวด้วย ระหว่างนั้น คนที่เขาคาดว่าน่าจะเป็นคนขับรถข่าวช่อง 3  ช่วยพยุงเขามายังเพื่อนเพื่อส่งโรงพยาบาล

 

"ตอนนั้นผมเห็นฝั่งตรงข้าม มีทหารกำลังรุมกระทืบคนแก่ที่วิ่งไม่ทันด้วย" วีระชัยกล่าวและว่า เขาไม่เห็นนักข่าวทีวีแม้แต่ช่องเดียวในเวลานั้น

 

"ผมเคยผ่านประสบการณ์บ้านสี่เสาครั้งแรก เมื่อ 22 กรกฎา (2550) มันก็มีการปะทะกัน ก็นึกว่าจะไม่รุนแรง มีแต่แก๊สน้ำตากับสเปรย์พริกไทย ไม่นึกว่าเขาจะยิงประชาชน รู้เลยว่าประชิดเขาใกล้เกินไป แล้วเราก็มีแต่ก้อนอิฐ"

 

วีระชัย เป็นคนมุกดาหารโดยกำเนิด แต่มาประกอบอาชีพขายอาหารริมทางอยู่แถวสระบุรี เขาปิดร้านมาชุมนุมตั้งแต่ก่อนวันที่ 8 เม.ย. และอันที่จริงเขาเริ่มออกมาชุมนุมตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 นั่งรถเมล์ขึ้นลงสระบุรี -กรุงเทพฯ เป็นว่าเล่น

 

"ผมแค่อยากบอกว่า เราต้องการประชาธิปไตย แล้วเราก็จงรักภักดีต่อในหลวงด้วย เพราะเราเป็นคนไทย" วีระชัยกล่าว

 

นี่คือข้อมูลทั้งหมดเท่าที่ได้ ฉันหันรีหันขวางนิดหน่อยก่อนจะหยิบกล้องออกมาขออนุญาตถ่ายรูปเขาเร็วๆ ก่อนกลับ เพราะอยากให้เขาได้หลับเต็มตื่นสักที และเป็นการรักษาสัญญา "แป๊บเดียว" เท่าที่จะทำได้

 

พอออกมาหน้าห้องก็เจอกลุ่มป้าเสื้อแดงกลุ่มเดิมยืนออหน้าประตู พยาบาลยืนกรานไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม ป้าคนหนึ่งจำฉันได้และชี้มือมา "ทำไมคนนั้นเข้าได้ เขาก็มาหาเสื้อแดง" ทุกคนหันมองเป็นตาเดียว แล้วการโต้เถียงวุ่นวายก็เกิดขึ้น ขณะที่ฉันรีบก้าวฉับๆ เผ่นออกมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความชุลมุน

 

 

 

 

 

 

ความเดิมตอนที่แล้ว

เสื้อแดงเดือนเมษา : ตอน1 - ผู้คน ดินฟ้าอากาศ และการ์ดผู้แข็งขันรอบทำเนียบฯ

 

 

 

บล็อกของ The Thin Red Line

The Thin Red Line
ขอบคุณ นปช. และพรรคเพื่อไทย  สำหรับอิสรภาพชั่วคราวของ 13เสื้อแดงมุกดาหาร
The Thin Red Line
 จากบันทึกในเฟซบุ๊กของ 
The Thin Red Line
กรกช เพียงใจ     ใครบางคนบอกว่า “ข้อเท็จจริง” (fact) นั้นแตกต่างจาก “ความจริง” (truth) บันทึกนี้จึงอาจกล่าวอ้างได้เพียงว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงอันมากมายมหาศาล แต่ก็คือทั้งหมดที่ฉันเห็น สังเกต และรู้สึก ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ผู้ไม่ได้ไปอยู่ ณ จุดปะทะสำคัญใดๆ กับเขาเลย หากใครคาดหวังเช่นนั้น ขออภัยล่วงหน้า ....   - - - - - - - - - - - -     วันที่ 14 เมษายน 2552     ฉันกลับไปพักที่บ้านพี่สาวคนเดิม ได้นอนเต็มอิ่ม ตื่นอีกทีสายมากแล้วและดูข่าวทีวีเห็นว่าที่ทำเนียบฯ ประกาศยุติและสลายการชุมนุม เพื่อความปลอดภัยของผู้ชุมนุม…
The Thin Red Line
กรกช เพียงใจ    ใครบางคนบอกว่า “ข้อเท็จจริง” (fact) นั้นแตกต่างจาก “ความจริง” (truth) บันทึกนี้จึงอาจกล่าวอ้างได้เพียงว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงอันมากมายมหาศาล แต่ก็คือทั้งหมดที่ฉันเห็น สังเกต และรู้สึก ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ผู้ไม่ได้ไปอยู่ ณ จุดปะทะสำคัญใดๆ กับเขาเลยหากใครคาดหวังเช่นนั้น ขออภัยล่วงหน้า ....
The Thin Red Line
กรกช เพียงใจ     ใครบางคนบอกว่า “ข้อเท็จจริง” (fact) นั้นแตกต่างจาก “ความจริง” (truth) บันทึกนี้จึงอาจกล่าวอ้างได้เพียงว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงอันมากมายมหาศาล แต่ก็คือทั้งหมดที่ฉันเห็น สังเกต และรู้สึก ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ผู้ไม่ได้ไปอยู่ ณ จุดปะทะสำคัญใดๆ กับเขาเลย หากใครคาดหวังเช่นนั้น ขออภัยล่วงหน้า ....   - - - - - - - - - - - -       เย็นวันที่ 13 เมษายน 2552     บรรยากาศในช่วงบ่ายแก่จนถึงเย็นค่อนข้างตึงเครียด เพราะมีข่าวมาตลอดทั้งวันเกี่ยวกับการปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดงที่สามเหลี่ยมดินแดง…
The Thin Red Line
กรกช เพียงใจ ความเดิมตอนที่แล้ว เสื้อแดงเดือนเมษา: ตอน 2 - การปราบที่สามเหลี่ยมดินแดง ปริศนารูกระสุน และหัวอกแม่ เสื้อแดงเดือนเมษา: ตอน 1 - ผู้คน ดินฟ้าอากาศ และการ์ดผู้แข็งขันรอบทำเนียบฯ ใครบางคนบอกว่า “ข้อเท็จจริง” (fact) นั้นแตกต่างจาก “ความจริง” (truth) บันทึกนี้จึงอาจกล่าวอ้างได้เพียงว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงอันมากมายมหาศาล แต่ก็คือทั้งหมดที่ฉันเห็น สังเกต และรู้สึก ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ผู้ไม่ได้ไปอยู่ ณ จุดปะทะสำคัญใดๆ กับเขาเลย หากใครคาดหวังเช่นนั้น ขออภัยล่วงหน้า .... - - - - - - - - - - - -
The Thin Red Line
   กรกช  เพียงใจ   ใครบางคนบอกว่า "ข้อเท็จจริง" (fact) นั้นแตกต่างจาก "ความจริง"  (truth)  บันทึกนี้จึงอาจกล่าวอ้างได้เพียงว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงอันมากมายมหาศาล  แต่ก็คือทั้งหมดที่ฉันเห็น สังเกต และรู้สึก ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง  มนุษย์ผู้ไม่ได้ไปอยู่ ณ จุดปะทะสำคัญใดๆ  กับเขาเลย หากใครคาดหวังเช่นนั้น ขออภัยล่วงหน้า ....  - - - - - - - - - - - -  วันที่ 13 เมษายน 2552  13 เม.ย. - เวลาประมาณ 4.00 น. ทหารได้เข้าสลายกลุ่มเสื้อแดงคนที่ปักหลักอยู่ที่สามเหลี่ยมดินแดง โดย น.พ.ชาตรี เจริญชีวกุล…
The Thin Red Line
 กรกช  เพียงใจ   ใครบางคนบอกว่า "ข้อเท็จจริง" (fact) นั้นแตกต่างจาก "ความจริง"  (truth) บันทึกนี้จึงอาจกล่าวอ้างได้เพียงว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงอันมากมายมหาศาล แต่ก็คือทั้งหมดที่ฉันเห็น สังเกต และรู้สึก ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ผู้ไม่ได้ไปอยู่ ณ จุดปะทะสำคัญใดๆ  กับเขาเลย หากใครคาดหวังเช่นนั้น ขออภัยล่วงหน้า ....   - - - - - - - - - - - -   ค่ำวันที่ 12 เมษายน 2552 ไม่มีใครออกปากบอกให้ออกไปดูพื้นที่หรอก เพราะสถานการณ์ดูเหมือนรุนแรงขึ้นทุกขณะ ตลอดทั้งวันทีวีฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงเหตุการณ์คนเสื้อแดงบุกทุบรถที่คาดว่ามีนายกฯ นั่งอยู่ ทุบรถเลขานายกฯ…