กรกช เพียงใจ
ความเดิมตอนที่แล้ว
- เสื้อแดงเดือนเมษา: ตอน 2 - การปราบที่สามเหลี่ยมดินแดง ปริศนารูกระสุน และหัวอกแม่
- เสื้อแดงเดือนเมษา: ตอน 1 - ผู้คน ดินฟ้าอากาศ และการ์ดผู้แข็งขันรอบทำเนียบฯ
ใครบางคนบอกว่า “ข้อเท็จจริง” (fact) นั้นแตกต่างจาก “ความจริง” (truth)
บันทึกนี้จึงอาจกล่าวอ้างได้เพียงว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงอันมากมายมหาศาล
แต่ก็คือทั้งหมดที่ฉันเห็น สังเกต และรู้สึก ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
มนุษย์ผู้ไม่ได้ไปอยู่ ณ จุดปะทะสำคัญใดๆ กับเขาเลย
หากใครคาดหวังเช่นนั้น ขออภัยล่วงหน้า ....
- - - - - - - - - - - -
เที่ยงวันที่ 13 เมษายน 2552
ฉันนั่งรถกลับไปที่บ้านพี่ชายที่รู้จักอีกคนหนึ่งเพื่อส่งข้อมูลและหลับซักงีบก่อนจะเดินทางต่อไปยังเวทีหน้าทำเนียบฯ เป็นครั้งแรกๆ ที่ฉันได้มีโอกาสดูข่าวจากทีวี ซึ่งข่าวหลักคือ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น และ การเล่นน้ำสงกรานต์ในที่ต่างๆ สักช่วงเที่ยง ฉันได้เห็นการสลายการชุมนุมสดทาง สทท. กล้องทีวีอยู่หลังแนวทหารทั้งกองร้อยที่ยิงปืนเอ็มสิบหกขึ้นฟ้าตลอดเวลา เหมือนกับเป็น “สงคราม” ไลฟ์ออนทีวี มีภาพทหารบางส่วนที่เข้าไปในซอยแล้วเล็งปืนไปด้านหน้าราวกับไล่ล่าผู้ก่อการร้าย แม่ค้าวิ่งหลบกันให้วุ่น รวมไปถึงข่าวการนำรถแก๊สมาขวางไว้ที่สามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และน่าหวาดหวั่นที่สุด ฉันรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก และรู้ได้ในทันทีว่า นี่คือปฏิบัติการตอบโต้กับการปราบที่รุนแรงตอนเช้ามืด ...เช้ามืดซึ่งไม่มีนักข่าวอยู่ในที่เกิดเหตุเพื่อรายงาน(ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) ให้คนทั่วไปได้รับรู้เช่นเรื่องอื่นๆ
0000
ในช่วงบ่ายแก่ที่หน้าทำเนียบฯ ผู้คนยิ่งหนาตาท่ามกลางอากาศที่ร้อนแบบทำให้คนอดนอนเป็นลมได้ง่ายๆ หลังเวทีฉันเจอกับ “จิ้น กรรมาชน” ในสภาพเหนื่อยอ่อน ตาลึกโหล เรานั่งคุยกันสักพัก ก่อนที่ฉันจะหันไปจดการปราศรัยของจาตุรนต์ ฉายแสง (ขึ้นเวทีพร้อมสุธรรม แสงประทุม) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาขึ้นเวทีเสื้อแดงในช่วงการชุมนุมใหญ่ครั้งล่าสุดนี้ พร้อมข้อเสนอต่อฝ่ายต่างๆ ที่น่าสนใจพอสมควร จิ้นยังคงนั่งอยู่ไม่ไกล ฟังไปและสัปหงกไป
จาตุรนต์ มีข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ผบ.ทบ. และพรรคร่วมรัฐบาล แต่ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือการพูดถึงสื่อมวลชนที่ไม่กล้ามาทำข่าวการแถลงของเขาหลังเวที เนื่องจากเกรงจะผิดกฎหมายหลังรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และระบุว่าแกนนำประกาศไม่รับรองความปลอดภัยของผู้สื่อข่าว แต่จาตุรนต์ยืนยันว่าได้สอบถามแกนนำหลักทั้ง 3 คน แล้วไม่ปรากฏว่ามีการประกาศเช่นนั้น ฉันไม่ได้ยินเองกับหูจึงไม่อาจยืนยันได้ แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือประชาชนเองนั่นแหละที่โกรธเคืองสื่อมวลชน “ไทย” อย่างหนักหนาสาหัส โดยประเด็นการวิจารณ์การนำเสนอข่าวของสื่อกลายมาเป็นหัวข้อแรกๆ ที่เขาจะพูดถึง ไล่ตั้งแต่วิพากษ์ดีๆ ไปจนถึงขั้นด่าสาดเสียเทเสีย และมันดูจะกลายเป็นหัวข้อแรกก่อนข้อเรียกร้องทางการเมืองเสียแล้วในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีนักข่าวหลายสำนักอยู่หลังเวที ส่วนบนเวที แกนนำหลายคนเริ่มประสานเสียงกันให้ประชาชนยึดมั่นในสันติวิธี เพราะไม่มีทางออกอื่นใดในการต่อสู้ของประชาชนมือเปล่าแล้วนอกจากวิธีนี้
ระหว่างที่แกนนำประกาศ “เราจะใช้อาวุธ โดยการไม่ใช้อาวุธ” พอดีฉันกำลังเดินสำรวจบริเวณรอบๆ เห็นการ์ดหนุ่มสองคนนั่งอยู่ริมฟุตบาทบนถนนเรียบคลองเปรมประชากร เขามองหน้ากันเหรอหราเมื่อได้ยินคำประกาศนั้น ข้างๆ ตัวมีไม้กระบอง และในเสื้อกั๊กเห็นมีหนังกะติ๊กเหน็บอยู่อันหนึ่ง
ระหว่างที่ฉันกำลังโทรศัพท์อยู่หลังเวที ป้าคนหนึ่งเดินกะย่องกะแย่งเข้ามาริมรั้วกั้น แกเริ่มตะโกนต่อว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ฝากไปถึงแกนนำเพราะไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่ประกาศ
“จะบ้าหรือเปล่า เขาใช้เอ็มสิบหก ใช้อาวุธสารพัด แล้วมันจะสู้กับเขายังไง” ไม่มีใครตอบสนองแก แกจึงหันไปจับกลุ่มกับป้าๆ คนอื่นแล้ววิจารณ์ในประเด็นนี้ต่อ
ทันใดนั้นเอง การ์ดของเวทีก็นำชายสวมเสื้อแดงเก่าๆ ขาดๆ คนหนึ่งมาหลังเวที แล้วเตะเข้าที่คางจนปากแตก คนที่เหลือรีบเข้ามาห้าม และเอาสำลีมาให้เขาซับเลือด ฉันตกใจวิ่งเข้าไปถามว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมทำร้ายเขาแบบนี้ บรรดาการ์ดบอกว่าเขาคือสายทหารที่ปลอมเป็นเสื้อแดงเข้ามาชี้เป้า และเมื่อประชาชนที่สังเกตเห็นร่วมกันนำตัวเข้ามาให้หลังเวทีก็เกิดปากเสียงกันขึ้น
“แม่งมาชี้เป้าให้เขายิงประชาชน แล้วมันยังกร่าง มาด่าแม่ผม สมควร” การ์ดรุ่นใหญ่อารมณ์ร้อนพูดก่อนเดินออกไป แต่หลายคนยังคงมุงอยู่ ชายคนนั้นยอมรับว่าเป็นทหารจากหน่วยหนึ่ง เข้ามาเป็นสายจริงเพื่อรายงานสภาพการจราจร
“นายสั่งมาก็ต้องมา ผมไม่ได้มาทำอะไร แค่คอยบอกว่ารถติดตรงไหน ขอวอผมคืนมา” ชายคนดังกล่าวไปพลางเอามือดึงเนื้อปากที่ทะลุพยายามให้หลุดออก สุดท้ายเขาถูกมัดไว้กับต้นไม้และเฝ้าไว้หลังเวที การ์ดให้เหตุผลว่า “ปล่อยมันออกไปก็ไม่รอด” เหตุการณ์นี้มีนักข่าวมารุมถ่ายรูปและทำข่าวพอสมควร โดยชายคนดังกล่าวขอไม่ตอบคำถามใดๆ ของผู้สื่อข่าว นอกจากนี้การ์ดเสื้อแดงยังยึดบุหรี่ของชายผู้นั้น ไม่ยอมให้เขาสูบบุหรี่ทั้งที่เขาจะร้องขอ