Skip to main content

“พี่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ใครจะฟ้องร้องเอาอะไร ก็ไม่มีให้เขา มันเสียไปหมดแล้ว”

รถโดยสารของความอึดอัดกำลังเคลื่อนขบวน โดยมีเราอยู่ในนั้น ฉัน และเขา “ผู้เช่าบ้าน” และ “ผู้ให้เช่า” ตามภาษาในเอกสารสัญญาของเรา กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากัน  ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น และอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน

..........

จำได้ว่าเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรก เขาไขกุญแจรั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายติดประกาศว่า “ให้เช่า” ด้วยท่าทีอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกาย พาฉันเดินเยี่ยมชมอย่างต้อนรับขับสู้ ริมฝีปากนั้นไม่เคยขาดรอยยิ้ม เขาเล่าว่า ทาวเฮาส์หลังนี้ซื้อไว้เมื่อ 10 ปีก่อนเพื่อให้แม่อาศัย ส่วนเขาซื้ออีกหลังหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกัน

“บ้านหลังนี้พี่อยู่กับแม่ จนพี่ตั้งท้อง ก็อาศัยอยู่มาตลอด ซอยนี้เงียบสงบ เหมาะที่จะทำงานส่วนตัว พี่รักบ้านหลังนี้มาก ไม่เคยคิดจะขาย เมื่อไม่มีใครอยู่ ก็คิดว่าให้คนเช่าดีกว่า”

ฉันมองไปยังห้องน้ำ ห้องครัว มุมนั่งเล่น จินตนาการเจิดจ้าว่าจะตกแต่งส่วนไหนเป็นอย่างไร ประตูกระจกเลื่อนได้ มีฟิล์มกรองแสงแล้ว ห้องน้ำแม้จะไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น แต่ห้องนอนก็ดูกว้างขวางดี

“เอาเป็นว่าตกลงเช่าค่ะ” ฉันบอกเขาไปด้วยแววตาดีใจ ได้บ้านถูกใจเสียที ส่วนเขาเอื้อมมือมาแตะไหล่เบาๆ
“พี่รู้แล้วว่าต้องตกลง พี่ถูกชะตาเรานะ เหมือนพระเจ้าส่งเรามาให้ เพราะท่าทางเป็นคนรักบ้านเหมือนพี่”

คนพเนจรอย่างฉัน แม้จะยังไม่มีบ้านของตัวเอง แต่ก็ยังเป็นคนเลือกมาก ปีที่แล้วฉันตระเวนดูบ้านไม่น้อยกว่า 20 แห่ง เพื่อหา “พื้นที่” ที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตและการทำงาน

ใครๆ มักถามว่าทำไมยังไม่ซื้อบ้าน นั่นสินะ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน การมีบ้านเป็นความฝันสูงสุด แต่การ “ยังไม่มี” ในเวลาหนึ่งก็ยังไม่ควรจะเป็นทุกข์ การซื้อบ้านสำหรับฉันเป็นเรื่องใหญ่ ที่บางครั้งมีเหตุผลอันน้อยนิดเพียงแค่ว่า ฉันยังไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่ไปตลอดหรือเปล่า และอีกหลายๆ เหตุผลตามมา

การเป็นคนเช่าบ้าน จึงให้ประสบการณ์หลายอย่างในชีวิตว่า แม้บ้านจะไม่ใช่ของเรา แต่เราอาศัยอยู่ทุกวัน เราจึงควรทำบ้านให้สะอาด น่ารัก น่าอยู่ และรักมันในฐานะที่พักพิงของเรา

ฉันเชื่อแบบนั้น ไม่เคยคิดมากกับการปลูกต้นไม้ลงที่บ้านคนอื่น สักวันต้องไป ก็มอบของขวัญไว้แก่ผืนดิน ทาสีบ้านใหม่ให้สวย เราจะได้อยู่สบายใจ ตรงไหนชำรุดก็ต้องซ่อมแซม ฉันทำแบบนั้นตั้งแต่วันที่ย้ายเข้ามา และคิดเสียว่า ทำบ้านไปให้ดีจะได้อยู่นานๆ
อาจนานจนกระทั่งจากจร หรือ นานจนกว่ามีบ้านของตัวเองสักหลัง

บังอาจฝันเอาไว้แบบนั้น  แล้วก็พบกับความจริงที่ว่า ผ่านไปยังไม่ถึง 1 ปี ขณะที่นั่งทำงานอยู่ดีๆ อย่างมีความสุข ฉันก็ต้องกลับไปเป็นคนพเนจรอีกครั้ง

“คุณอยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างไรเหรอ” คนแปลกหน้าในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด ตะโกนเข้ามาจากหน้าบ้าน ฉันออกไปดู เจ้าหน้าที่สามคน ยืนถือเอกสารมากมาย กล้องถ่ายรูป พร้อมรถคันใหญ่ ยืนรอเจรจาอยู่ด้านนอก

ฉันงงกับคำถาม เปิดประตูให้เขา แล้วก็ยืนตอบออกไป “เอ่อ ก็เช่าอยู่อ่ะค่ะ”
“แล้วเช่ากับใคร”
เขาทำเสียงเข้ม สลับกับมองเอกสารในมือ
“ก็เช่ากับเจ้าของค่ะ เขาอยู่ซอยถัดไปนี่เอง” มือก็ชี้นิ้วออกไป เขาทำคิ้วย่น แล้วก็ขอเบอร์โทรศัพท์เจ้าของบ้าน

อีกคนขอตัวไปคุย อีกคนก้าวเข้ามาสำรวจ อีกคนถ่ายรูปหน้าบ้านฉันเอาไว้ ก่อนจะหันมาอธิบาย
“น้อง บ้านหลังนี้ไม่มีสิทธิจะมาเช่าหรืออยู่นะ ธนาคารยึดไว้ตั้งนานแล้ว เป็นทรัพย์สินของธนาคาร น้องคงต้องย้ายออกไป”
“อ้าว ก็นี่เช่ากับเขา ทำสัญญาเรียบร้อยค่ะ”
“นั่นสิ ถึงได้ถามว่าเข้ามาอยู่ได้ยังไง ตอนนี้ธนาคารจัดงานแกรนเซลล์ขายทอดตลาดนะ เดี๋ยวคงมีคนมาดูเรื่อยๆ พี่เคยติดป้ายไว้แล้ว แต่มีคนรื้อออก ตอนนี้จะมาติดใหม่”

ฉันนิ่งอึ้งไป เขาขออนุญาตประทับป้ายสีเหลืองขนาดใหญ่ ที่มีตัวโตๆ เขียนไว้ว่า “ขาย” แปะที่รั้วสีขาวหน้าทางเข้า ต้นจำปีในกระถางถูกเขยิบออก สองสามแรงช่วยกัน โดยมีฉันยืนมองอย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไร

“เรียบร้อยละ อย่าเอาป้ายออกนะ พี่คุยกับคนที่ให้น้องเช่าแล้ว เขาไม่มีสิทธิที่จะให้ใครเช่า เขาไม่ใช่เจ้าของบ้าน นี่จ่ายเงินไปบ้างหรือยัง”
“จ่ายตลอดค่ะ ทุกเดือน ทำสัญญารายปี”
ฉันตอบ
“สัญญาพวกนี้ใช้อะไรไม่ได้นะในทางกฎหมาย ถือเป็นโมฆะ เพราะผู้ทำสัญญากับน้องเขาไม่มีกรรมสิทธิ์อยู่ จะว่าไปก็เป็นสัญญาปลอม และยังผิดกฎหมายอีกด้วยเพราะเอาทรัพย์สินผู้อื่นมาให้เช่า”
เขาอธิบายได้ชัดเจนดี จากนั้นก็ขอตัวอำลาพร้อมให้นามบัตรเอาไว้

“เผื่ออยากซื้อติดต่อได้เลยนะครับ ราคาพิเศษ”
เขาว่าแบบนั้น  ฉันรับเอาไว้พร้อมถอนหายใจ เกิดอะไรขึ้นหรือนี่ จะมีใครอธิบายได้บ้าง ก็คงจะต้องเป็นเขา พี่เจ้าของบ้านคนนั้น

ทันที่ที่เราเจอกัน  เจ้าของบ้านถอนหายใจเล็กน้อย เหมือนพิจารณาวันคืนที่ผ่านมาของตัวเอง เขาไม่มีรอยยิ้มเหมือนเดิมแล้ว ไม่มีคำขอโทษ และราวกับไม่มีความเสียใจ
“อย่าไปตกใจนะน้อง อยู่ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปกลัวหรอก พวกธนาคารน่ะ”
“เอ่อ แต่มันเป็นทรัพย์ของเขานี่คะ คงจะขายวันไหนก็ได้ หากอยู่ต่อมันก็คงจะเสี่ยง”

ฉันค่อยๆ เริ่มเล่าความคิดในมุมของฉัน เขาส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“โอ้ย อยู่ไปเหอะ ร้อยวันพันปีขายไม่ได้หรอก บ้านแถวนี้โทรมจะตาย ปลวกก็มีเยอะ ใครจะมาซื้อ อยู่ไปเรื่อยๆ ได้เลย อีก 10 ปี” ในมุมของเขาก็สวนกลับมา
“ดูแล้วก็คงจะจริง น่าจะขายยาก แต่คิดว่าคงจะย้ายค่ะ เพราะรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง”
ฉันพูดออกไป เขาชะงักไปเล็กน้อย แววตานั้นแสดงความเฉยเมยและแปลกหน้าต่อกันอย่างเห็นได้ชัด เขาถอนหายใจอีก

“พี่จะบอกอะไรให้นะ พูดอย่างน่าไม่อายเลย บ้านที่พี่อยู่อีกหลัง นั่นก็โดนยึดแล้วเหมือนกันแต่เราไม่ไปเสียอย่าง ใครจะทำอะไรเราได้”
“แล้วไม่มีปัญหากับธนาคารเหรอคะ”
ฉันถามอย่างฉงน อดสงสัยไม่ได้

“ก็มีแหละ เขาก็ฟ้องนะ ส่งหมายศาลอะไรมา เราก็ไป อยากยึดไปก็ยึด ยึดไปจนไม่มีอะไรให้ยึดแล้ว เขาก็เลิกไปเอง บอกจะขายบ้านก็ไม่เห็นใครมาซื้อซะที เราก็อยู่ไปเรื่อยๆ”
เขาพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ฉันจ้องลึกไปในดวงตาเขา ชีวิตในอดีตเขาเป็นอย่างไรก็สุดคาดเดาได้ เราเพิ่งรู้จักกัน ดวงหน้าที่มีริ้วรอยความสวยงาม ภาษาที่ใช้ การแต่งตัวที่บอกให้เห็นว่าเขาน่าจะเคยมีชีวิตที่ดีกว่านี้ มีอะไรเปลี่ยนไปในชีวิตคนเรามากมาย แต่ท้ายที่สุด เราก็รู้จักเพียงแค่ปัจจุบันของเขา

“เขาไม่มาไล่เหรอคะ” ฉันถามออกไป

“ไล่สิ ก็มาบอกแบบบอกน้องไง ว่าให้ย้ายออก เนี่ยหลังอื่นๆ ก็ชะตากรรมเดียวกัน บางคนทนไม่ไหวก็ย้ายออกไปเอง แต่พี่เป็นคนที่ยืนหยัด เราไม่กลัว เรายืนหยัดแล้วเราก็จะอยู่ได้”

ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่เคยรู้จักเขามาก่อน 1 ปีที่ไปมาหาสู่ ช่วยสอนคอมพิวเตอร์ ช่วยซ่อมแซมของเสียหาย อาหารที่แบ่งปันกันกิน เขามีความลับมากมายที่เก็บซ่อนเอาไว้ แม้กระทั่งคำว่า “พี่รักบ้านนี้มาก” ก็ยังไม่จางออกจากปาก ฉันยืนอยู่ตรงนั้น หน้าบ้านที่ไม่ใช่ของฉันและไม่ใช่ของเขา กลิ่นดินกระทบฝนบอกลาเอาไว้แล้วอย่างเงียบๆ

ลาจากทั้งเขา และลาจากทั้งบ้านหลังนี้

“พี่น่าจะบอกกันสักคำ คือจะได้รู้ตัวว่าอยู่ได้ไม่นาน ไม่ได้เตรียมใจจะย้ายเลย เรื่องโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ตที่จะต้องย้าย ข้าวของมากมาย คงใช้เวลาอยู่เหมือนกัน”
ฉันรำพึงออกมาตามแบบของฉัน เสียงที่ตอบกลับมาก็เป็นอีกเสียงในแบบของเขา
“ถึงได้บอกไงว่าไม่ต้องย้าย อยู่ไปแหละนะ เดี๋ยวพี่จะเอาป้ายออก”

และเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ เขาขยับป้ายออกไป ซุกซ่อนเอาไว้หลังต้นไม้ ให้ดูคลุมเครือและมองเห็นได้ยาก

“ตกลงจะเอายังไง” เขาถามฉันอีกครั้ง ราวกับฉันเป็นคนเดียวที่ต้องตัดสินใจ
“ก็คงจะย้ายค่ะ” ฉันตอบไปอย่างชัดเจน วูบนั้นฉันเห็นเขาส่ายหน้า ตามด้วยถอนหายใจ
“ก็ไม่เป็นไรนะ พี่เข้าใจ คนกลัวน่ะอยู่ไม่ได้หรอก พี่จะอยู่ต่อไป ให้เช่าต่อไป ใครจะมาฟ้องมาอะไรก็เชิญ พี่ไม่มีอะไรจะเสียหรอก”

..........

แดดยามบ่ายไม่มี ลมไม่พัด ใบไม้ไม่เคลื่อนไหว ฝนกำลังจะตก ยามบ่ายของทุกวันที่ฉันจะนั่งมองต้นไม้พร้อมจิบชา จากนี้ไปก็คงไม่ได้ทำแบบนั้นที่นี่ การมองหาบ้านใหม่อีกครั้ง การเตรียมตัวเพื่อจัดการสิ่งต่างๆ อย่างที่ต้องทำ แต่ก็คงไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหนักหนาหรอกก็แค่การย้ายบ้าน

สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของฉันวันนี้ ไม่ใช่เรื่องธุรกรรมเอกสาร ไม่ใช่การฉีกสัญญาหรือความรู้สึกที่โดนหลอก แต่แววตาคู่นั้น และสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมด ทำให้ฉันนึกถึงความลับของจักรวาลที่ว่าด้วยความซับซ้อนของมนุษย์

“ยามสุขนั้นมองกันไม่เห็น ยามมนุษย์ตกต่ำนั้นต่างหาก ที่จะวัดคุณค่าของตัวเขาได้มากที่สุด”

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ปีใหม่ไปเที่ยวไหนบ้างหรือเปล่าคะ"พี่สาวข้างบ้านไม่ตอบคำถามฉันเลย  แต่คลี่ยิ้มแล้วเดินพาฉันไปหยุดอยู่ตรงเสื่อผืนนั้น  เสื่อที่ปูบนลานซีเมนต์โล่งๆ หน้าบ้าน  ข้างกายมีกองผักกาดขนาดใหญ่  จำนวนนับร้อยต้น ข้างๆ  มีถังน้ำ  มีกะละมัง  มีเครื่องปั่นเสียบไฟฟ้า และมีถุงพลาสติกกองอยู่"พี่กำลังทำโปรเจ็คใหม่"แกบอกด้วยสายตาโอ้อวด  โปรเจ็คที่ว่าคือหนึ่งในอาชีพใหม่ที่แกเพิ่งริเริ่มทำ นั่นก็คือการทำ "น้ำผัก" ขาย
วาดวลี
   บุ้งตัวนี้คงมีพิษร้ายมาก ฉันรู้สึกอย่างนั้น จากหนามแหลมๆ ที่พวงพุ่งออกมารอบตัวมัน และจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่เคยเอามือไปโดนตัวบุ้ง แล้วคันคะเยอไปทั้งสัปดาห์ แถมมือยังบวม แสบๆ อีกด้วยตอนเด็กๆ แม่จึงพร่ำสอนเสมอ บุ้งหน้าตาแบบนี้มีพิษร้าย มันกินไม่ได้ จับมาเล่นไม่ได้ และสำคัญที่สุดให้หลีกเลี่ยงระวังอย่าได้สัมผัส เมื่อจำมาตลอด ดังนั้นฉันจึงระวังที่สุดที่จะเดินย่องเข้าไปขอถ่ายรูปในระยะใกล้ เจ้าบุ้งจากที่นิ่งๆ อยู่ คงรู้สึกได้ถึงคนแปลกหน้า มันยิ่งพองตัวอวดหนามให้ตั้งชูชันขึ้นมาอีก ความซุ่มซ่ามของฉันที่เอาตัวไปโดนกิ่งไม้ให้ไหวๆ เผลอทำให้มันตกใจมากกว่าเดิม พอมันขยับหันหัวมา…
วาดวลี
การเดินทางตามใครสักคนไป คงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเดินทางตามฝูงมด ที่มันเคลื่อนที่ช้ากว่าเราหลายเท่าตัว ฉันเองก็นึกไม่ถึงว่าจะมีเวลามากพอที่จะเฝ้าสังเกตมดสักตัว หรือสักฝูง แล้วยังมีมดหลายชนิดให้ต้องแยกแยะอุปนิสัยอีกด้วยแต่ลองคิดกลับกันดู หากมดจะเดินทางตามเราบ้าง นั่นคงเป็นเรื่องลำบากยิ่งกว่า ก็แค่เดินสัก 2 ก้าว มดก็ตามเราไม่ทันแล้ว
วาดวลี
  หากนี่เป็นสนามรบสักแห่งหนึ่ง รังเล็กๆ ที่สร้างจากไยแมงมุมมองดูคล้ายกับดักขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ ที่สามารถสร้างความตื่นเต้น วิตก ให้กับศัตรูและเหยื่อได้มาก แถมยังประจานผู้พ่ายแพ้ต่อหน้าประชาชนอย่างเห็นกันโจ้งๆในกับดักนั้นประกอบด้วยสรรพสิ่งที่เป็นซากชีวิต ไม่ว่าจะเป็นตัวหนอน ผีเสื้อ มดแดง มดดำ แมลงวัน พวกมันตายหมดแล้ว เป็นสุสานขนาดใหญ่ที่ห้อยโหนโตงเตงด้วยแรงยึดไยแมงมุม แขวนไว้กับต้นไม้ในเช้าวันหนึ่งของฤดูหนาวฉันบอกกับตัวเองว่า นี่มันช่างน่าอัศจรรย์ดีจัง ตอนเด็กๆ ฉันทั้งเกลียดและกลัวแมงมุม ขณะเดียวกันแม่ซึ่งพยายามเอาชนะแมงมุมด้วยการกินมัน ก็สร้างเมนูรสเลิศด้วยการเอาแมงมุมไปย่างไฟ…
วาดวลี
ฉันไม่รู้ว่าทำไมหอยทากหลายตัวชอบมาซ่อนอยู่ในรองเท้า แม้จะเคาะรองเท้าก่อนแล้ว หากไม่ดูดีๆ ก็อาจจะเผลอเหยียบเข้าไปเต็มๆ เพราะความเหนียวของลำตัวที่เกาะติดอยู่กับผนังรองเท้าผ้าเวลานี้เข้าฤดูหนาวเต็มที่แล้ว หรือเปลือกหอยจะไม่สามารถกันความหนาวให้มันได้เพียงพอ ทั้งที่พอรู้มาบ้างว่า หอยทากเป็นสัตว์ที่อดทนมาก มีชีวิตได้ทั้งที่แห้ง ที่ป่าชื้น หรือบนภูเขาสูง นอกจากในรองเท้าแล้ว ซอกมุมเล็กๆ ในบ้าน หลังชั้นหนังสือ หรือแม้แต่ใต้เบาะจักรยาน ฉันก็ยังพบหอยทากมาเล่นซ่อนแอบเป็นประจำ จากที่เคยรู้สึกกึ่งรังเกียจ กึ่งขยะแขยง…
วาดวลี
๑. ผีเสื้อติฉินดอกไม้ ว่ามีน้ำหวานน้อยเกินไป ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนปลูก ชาวสวนลุกมาพรวนดิน เผลอเคืองขุ่นแมลงหิวโหย แม่บ้านบ่นกับเม็ดฝน ที่ทำให้น้ำยาปรับผ้านุ่มไร้ความหมาย นิมิตกลายเป็นความโศก เมื่อล็อตเตอรี่ไม่ตรงกับที่ตีความมา
วาดวลี
เพลงคุ้นเคยหลายเพลงดังแว่วมาจากวิทยุข้างบ้าน สลับกับการเล่าเรื่องของดีเจ เธอบอกว่าเทศกาลลอยกระทงปีนี้ไม่คึกคักอย่างปีก่อนๆ คงเพราะบรรยากาศทางการเมือง บวกกับงานราชพิธีและผลจากพิษเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวจึงบางตา ประเพณีจึงไม่สวยงามอย่างเคยเป็นแต่นั่นเป็นเรื่องที่สวนทางกับภาพที่ฉันกำลังได้เห็นคุณลุงบรรจงทำซุ้มอย่างช้าๆ สบายๆ กับแดดยามสายคุณลุงข้างบ้านตื่นแต่เช้า เช่นเดียวกับทุกวัน แต่วันนี้ลุงไม่ไปทำงานในไร่ เช่นเดียวกับพี่สาวบ้านตรงข้ามที่ปกติออกไปขายเสื้อผ้าแต่เช้ามืด พวกเขามายืนผิงแดดอุ่นอยู่หน้าบ้าน แล้วทำความตกลงเจรจาแลกเปลี่ยนทรัพยากรจากสวนหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นก้านมะพร้าว ดอกดาวเรือง…
วาดวลี
ว่ากันว่า บนหน้าผาสูงใหญ่แห่งนี้ในอดีตกาลชายหญิงคู่หนึ่ง เดินทางมาหยุดมองหุบเหวกว้างใหญ่ในเวลาดึกสงัด  เบื้องลึกเป็นผืนน้ำ ด้านข้างเป็นโขดหินกัดเซาะขรุขระน่ากลัว พวกเขาคงรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบและเวิ้งว้างไปจนสุดขั้วหัวใจ ถ้าเผลอตกลงไป อย่าหวังว่าชีวิตจะเหลือรอดให้กลับบ้านหากแต่บางที การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความรักนั้น  บางทีอาจเวิ้งว้างยิ่งกว่าหรือมีรักแต่ไม่สมหวัง อาจเจ็บปวดกว่าการจากโลกนี้ไป
วาดวลี
  ฉันเพิ่งยอมรับความล้มเหลวอย่างหนึ่งของตัวเองในการปลูกต้นไม้นั่นคือ ปลูกต้นกุหลาบแล้วไม่มีดอกตอนเด็กๆ พ่อของฉันคือคนสอนปลูกต้นไม้คนแรก พ่อขุดดินให้เป็นหลุม หย่อนต้นกล้าลงไป กลบดินแล้วรดน้ำ พ่อบอกด้วยสายตาโอ้อวดว่านี่ไง มันง่ายจะตายไป ที่เหลือเป็นหน้าที่ของดิน น้ำ และแดด จากนั้นให้ฉันทำเหมือนกัน สิบกว่าวันผ่านไป พ่อและฉันยืนมองต้นกุหลาบของเราที่กึ่งรอดกึ่งตาย กิ่งใบเหี่ยวแห้ง ฉันจึงถามพ่อว่า "คนมือร้อน มือเย็นนี่อยู่มีจริงไหม"พ่อเดินไปนั่งบนแคร่ มวนยาเส้น จุดสูบด้วยแววตานักคิด แล้วตอบว่า "ก็จริงอยู่นะ แต่มือเป็นอาวุธของใจ คนใจเย็นปลูกอะไรก็เป็น ใจร้อนก็ปลูกแล้วตาย"พ่อพูดแล้วหัวเราะเบาๆ…
วาดวลี
หลายต่อหลายครั้ง ที่ฉันจดจำภาพของสถานที่ เรื่องราว ผู้คน แม้ไม่เคยรู้จักกัน และไม่เคยไปพบเจอ แต่กลับฝังลึกลงความทรงจำถึงขนาดเก็บไปฝัน แน่นอนฝันนั้นเป็นฝันดี และพอตื่นจากฝัน ก็พบกับความจริงที่ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ไกลเกินไปนักหรอก สิ่งที่พูดถึงความงาม ความพอดี เหมือนหยดน้ำใสบนคลองเล็กๆ ที่เลียบไปกับแม่น้ำใหญ่ หรือบางทีอาจเป็นดอกหญ้าต้นเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ในสวนกุหลาบ แต่แท้จริงเป็นสมุนไพรเยียวยาโลกได้ด้วยซ้ำ สิ่งที่ฉันพูดถึงอยู่นี้ คือชีวิตของเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนชำฆ้อพิทยาคม จังหวัดระยองเด็กน้อยเหล่านี้…
วาดวลี
๑. ประชาธิปไตย สูงใหญ่ ใต้เพดาน เราไต่ เราคลาน เหยียบข้าม ขึ้นคว้าไป เราเรียน เราศึกษา เราค้นหา เราพินิจ เปรียบเทียบ ถูกผิด เท่าที่ เราคิดได้ ในสมุดมีสอน ในกลอนมีให้อ่าน ในหนังสือมีวิจารณ์ เปลี่ยนผ่านไปอย่างไร ในเคเบิ้ลมีรหัส แปลงเห็นเป็นภาพชัด นิ่ง-เลือน-และเคลื่อนไหว เราเก็บเราสะสม เพาะบ่มความคิด เธอว่าถูก-ผิด คิดเห็นเป็นอย่างไร เรารู้-ไม่รู้ เท็จจริง และลวง แต่เราก็ห่วง ห่วงประชาธิปไตย
วาดวลี
ทั้งที่แค่เป็นเวลาบ่าย แต่บ้านของเราไม่มีแสงแดด ก้อนเมฆหนาทึบขนาดมหึมาเคลื่อนเร็วเหมือนคลื่นน้ำ แผ่ความเย็นให้วันธรรมดาในฤดูฝนเย็น ให้จับใจขึ้นไปอีก   แน่นอนว่าคนใต้ฟ้าแถวบ้านฉันไม่ได้กลัวเปียก แต่พวกเขากลัวน้ำท่วม แม้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คนข้างบ้านฉันยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า “ที่นี่น้ำไม่ท่วม” เขาบอกว่าเราเป็นตำบลที่อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำปิงของเชียงใหม่และลำพูน โดยมีจุดชลประทานอยู่เหนือหมู่บ้าน มีประตูน้ำ ดังนั้นหากน้ำมามากเกินไป ก็จะมีการปิดประตูน้ำ ที่บอกว่ากักเก็บน้ำได้มากโข ความจริงฉันเชื่อในระบบชลประทานหมู่บ้าน…