นานมาแล้วที่ฉันเคยได้ยินประโยคที่ว่า “แค่กระพริบตา โลกก็เปลี่ยน” แล้วเคยคิดเล่นๆ ว่า อะไรก็ตามที่เปลี่ยนไปแบบฉับพลัน หรือ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังนั้น คงไม่ได้เกิดบ่อยนัก และหากจะเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุ มีสัญญาณเตือนมาก่อน อยู่ที่เราจะสังเกตหรือไม่ก็เท่านั้น
แต่สำหรับเรื่องของพี่ชาย พอจะทำให้ฉันเชื่อได้บ้างว่า กับเรื่องบางเรื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มีอะไรมาเตือนล่วงหน้า
หลังจากที่พี่ชายมีความรัก และตกร่องปล่องชิ้นกับหญิงคนรักได้ ปีกว่าแล้ว ไม่กี่สัปดาห์ก่อนนี้เอง ที่ทั้งคู่โทรชวนฉันไปทานข้าวที่ห้องเช่า แม้จะไม่มีครัวทำกับข้าวกินเอง เขาก็อุตส่าห์ไปหยิบยืมเครื่องครัวจากห้องข้างๆ ขออาศัยพื้นที่คนอื่นในการทำโป๊ะแตก ยำวุ้นเส้น เพื่อนที่ไปด้วยหยิบซื้อออกไปหิ้วเบียร์เย็นๆ มา 2 ขวด แกล้มอาหาร ทุกคนมีใบหน้าแจ่มใสดี เราคุยกันเรื่องฝนฟ้าอากาศ ทะเล ภูเขา ชีวิต และจบลงด้วยความฝันเรื่องการมีบ้าน
“พี่คิดไว้แล้ว มีที่ดินอยู่ผืนหนึ่ง อยู่ติดกับบ้านญาติ ที่ประมาณ 1 งานถ้าเราแบ่งกันคนละครึ่ง ก็ไม่กี่บาท ปลูกบ้านใกล้กัน อยู่เป็น 2 ครอบครัว ดีไหม จะได้อยู่ใกล้ๆ เพื่อน พี่ก็อยากมีบ้านเหมือนกัน”
ประโยคนั้น “พี่ก็อยากมีบ้านเหมือนกัน” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พี่ชายจะพูดออกมา คนรอบวงทำตาโต บ้างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อะไรทำให้ชายพเนจรที่ปลดปลงกับทุกอย่างและไม่เคยมีของสะสม ถึงอยากมีที่ดินและมีบ้านขึ้นมา ถ้าไม่ใช่ความรัก
หญิงสาวผมยาวข้างกายของเขา เอียงหัวเข้าไปพิงไหล่พี่ชายเบาๆ แล้วก็เอื้อมมือไปกอดเอวไว้
“ไว้ลองไปดูที่ดินกันก่อนดีกว่า ว่าจะชอบกันหรือเปล่า”
เธอพูดเอาไว้ และเราก็ตกลงตามนัด อีก 3 วันถัดมาคือวันนัดของเรา
ก่อนถึงวันนัดอีกไม่กี่ชั่วโมง คืนนั้นฝนตกปรอยๆ หลังจากข่าวจากกรมอุตุวิทยาแจ้งว่าอาจจะมีพายุถล่มภาคเหนือ เป็นเวลาเดียวกับที่ หญิงสาวคนนั้น เข้าสวมกอดพี่ชาย แล้วบอกว่า ครอบครัวที่เธอหนีจากมานานแสนนานที่กรุงเทพฯ กำลังจะกลับมารับตัวไป
ใช่แล้ว เธอเคยแต่งงาน มีลูก และหนีจากสามีมาพร้อมเงินจำนวน 1 แสนบาท มาโดยไม่บอกใคร และไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน จวบจนผ่านไปนานหลายปี เธอได้รับการติดต่อจากทางบ้านว่า ทุกคนให้อภัยเธอแล้ว ไม่ถือสาเอาความ แต่ขอเพียงคืนเงินก้อนนั้นกลับไปให้พวกเขา
“เงินตั้ง 1 แสนบาท ถ้าหาให้เขาไม่ได้ เขาจะมาเอาตัวแฟนพี่ไป”
พี่ชายแจ้งข่าวด้วยน้ำเสียงทั้งเศร้าทั้งทุกข์ รุ่งเช้าวันถัดมา พี่ชายวิ่งวุ่นอยู่กับการหายืมเงินคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเก่า คนที่ทำงาน เจ้านาย รวมไปถึงฉันด้วย ถึงจำนวนเงินก้อนใหญ่ แต่ข่าวร้ายก็คือ ไม่มีใครหาให้เขาได้ทัน ทั้งกะทันหันเกินไปและมากกว่าที่จะมีให้
พี่ชายคิดจะไปกู้เงินด่วนนอกระบบ แต่ถูกเพื่อนอีกคนห้ามปรามเอาไว้ “ลองไปต่อรองเขาหน่อยดีกว่า ยังไงก็คนเป็นพ่อแม่ ไม่น่าจะใจดำกับลูก”
พี่ชายตัดสินใจลางานจากบริษัทครึ่งวัน บอกแฟนสาวว่า ถึงขั้นนี้แล้วเขาจะไปวิงวอนขอร้องกับพ่อแม่เอง ว่าอย่าได้เอาตัวเธอไป เงินที่ยังขาดจะทยอยส่งให้ทีละเล็ก ละน้อย จะได้หรือไม่
ด้วยข้ออ้างสารพัด ทำให้พี่ชายไม่มีโอกาสได้ไปพบหน้าพ่อแม่ของแฟน เมื่อกลับไปทำงานช่วงบ่าย ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง พี่ชายก็พบว่า คนรักของเขากินยาตายอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ ห้องนั้น
โชคดีว่าคนแถวนั้นผ่านมาพอดี มีรถกระบะที่พอจะอุ้มร่างไร้สติของแฟนสาวไปยังโรงพยาบาลได้ เธอเข้าสู่ห้องไอซียู เพื่อทำการล้างท้อง ปล่อยให้พี่ชายว้าวุ่นใจอยู่นอกห้อง กับเสียงโทรศัพท์ของแฟนสาวที่ดังไม่ขาดสาย
นับเป็นครั้งที่ 30 กว่า ที่โทรศัพท์แฟนสาวดังขึ้น พี่ชายกล้าๆ กลัวๆ ที่จะรับ นอกจากจะหาเงินไปไถ่ตัวแฟนไม่ได้แล้ว เขาจะตอบพ่อแม่เธออย่างไรดีว่า ลูกสาวของท่านฆ่าตัวตายและอยู่ในการดูแลของหมอ ยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ แต่ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจรับโทรศัพท์เหล่านั้น และจึงได้พบกับความจริงที่ว่า ในรายชื่อทั้งหมด ไม่มีใครยืนยันเป็นพ่อแม่ของเธอเลยแม้แต่คนเดียว
“น้องเขาเป็นหนี้พี่อยู่ๆ เกือบๆ แสน ราว 5 หมื่นบาท เขานัดมารับเงินที่เซ็นทรัลนะ ยังไม่มาเลย ช่วยบอกเขาหน่อยได้ไหม”
“น้องเขายืมเงินพี่ไป 3 หมื่น บอกจะคืนวันนี้ แล้วหายไปเลย”
“น้องเขาเลิกงานหรือยังครับ คืนนี้บอกว่าผมจะไปรับช้าหน่อย”
“ของที่เอามาจำนำไว้ กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ และสร้อยคอทองคำ จะหลุดแล้ว ช่วยเตือนน้องเขาด้วย”
ฯลฯ
นี่คือข้อความและข่าวสารจากโทรศัพท์เครื่องนั้น โทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่หญิงสาวบอกว่าเพื่อนที่ทำงานจับฉลากได้ และนำมาขายต่อในราคาถูกเพราะต้องการเงินด่วน หากแต่ในคืนนั้น พี่ชายก็ได้รู้ความจริงว่า โทรศัพท์เครื่องนั้นเป็นของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ จากหนุ่มใหญ่วัยกลางคนที่เป็นผู้อุปการะหญิงสาวอย่างเงียบๆ มากกว่า 3 ปีแล้ว
ข่าวสารมากมายในหัวทำเอาพี่ชายแยกแยะเกือบไม่ทัน เขาตั้งสติใหม่ แล้วถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของแฟนสาวที่อยู่ๆ ก็เป็นหนี้ร่วม 4 แสนบาท ในระยะเวลา 6 เดือน โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อทั้งคู่ต่างมีเงินเดือน มีรายได้ และเขาเองให้เงินทั้งหมดจากการทำงานแก่เธอไม่เคยขาด กล้องถ่ายรูป คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง สิ่งอำนวยความสะดวกที่ค่อยๆ สะสมเงินซื้อเพื่อใช้ในชีวิต ก็ไม่เคยให้ต้องรู้สึกลำบากหรือน้อยเนื้อต่ำใจ
แต่นอกจากเงินมหาศาลที่ไม่เคยแตะเหล่านั้นแล้ว ผู้ชายอีก 2-3 คนโผล่เข้ามาในชีวิตของเธอ และอ้างว่าเป็นทั้งสามี และแฟนหนุ่ม รวมถึงผู้อุปถัมภ์ ในฐานะที่เธอเคยพบกับชีวิตผิดพลาดในอดีตมาอย่างน่าสงสาร
พี่ชายตัดสินใจหอบโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงิน และข้าวมันไก่ 1 ห่อ เดินเข้าไปในโรงพยาบาลยามวิกาล ขอรบกวนพยาบาลเพื่อทำการเยี่ยมฉุกเฉิน เมื่อแกะข้าวให้เธอกินบนเตียงแล้ว พี่ชายก็เริ่มต้นบอกกับเธอว่า
“พี่ได้คุยโทรศัพท์กับทุกๆ คนที่มีชื่อในนั้นแล้ว ตอนนี้งงมาก เกิดอะไรขึ้น มันจริงหรือเปล่า แล้วเอาเงินทั้งหมดไปไว้ที่ไหน”
เอ่ยได้เท่านี้ หญิงสาวตรงหน้าก็แทบสำลักข้าวมันไก่ หน้าตาเหยเก ทำหน้าอยากร้องไห้และขอตัวอยู่คนเดียวลำพัง พร้อมประโยคที่เอ่ยแผ่วๆ ภายใต้ชุดคนป่วยนั้นว่า “ไม่มีอะไรจะเถียงหรอก ทำผิดทั้งหมด ฉันรู้ดี ขอโทษด้วยก็แล้วกัน”
เธอเอ่ยแค่นั้นจริงๆ ก่อนที่พยาบาลจะมาขอให้พี่ชายกลับออกไป และคืนนั้น เกือบตี 3 พยาบาลคนเดิมก็ต้องโทรศัพท์ฉุกเฉินมาสอบถามพี่ชายว่า คนไข้หนีออกมาหาเขาหรือไม่ เพราะตอนนี้เธอหายไปจากโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
“เราคงต้องแจ้งตำรวจ เพราะหมอเป็นห่วงคนไข้อยู่ในภาวะเสี่ยง กลัวจะทำร้ายตัวเองอีกครั้ง”
พยาบาลบอก แล้วขอวางสายไปดำเนินการ แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็ต้องส่งข่าวมาอีกครั้งว่า ไม่มีชื่อ นามสกุล ของผู้หญิงคนนี้ในระบบทะเบียนราษฎร์แต่อย่างใด
พี่ชายนิ่งอึ้ง นั่งรื้อสำเนาเอกสารบัตรประชาชนของหญิงคนรักมาถือไว้ด้วยมืออันสั่นเทา เขาโทรไปคอนเฟิร์มโรงพยาบาลอีกครั้ง ว่าเขาเคยเห็นทั้งบัตรประชาชน และมีสำเนาติดอยู่ที่ห้อง พี่ชายแทบเป็นลม เมื่อพยาบาลตอบมาว่า
“คิดว่าบัตรประชาชนที่เห็น เป็นบัตรปลอมที่ถูกทำขึ้นใหม่ เพราะไม่มีคนชื่อนี้และนามสกุลนี้อยู่ในประเทศไทย”
....................
ถึงตอนนี้ บ้านของญาติที่หญิงสาวเคยพาพี่ชายผ่านไปแว่บๆ ก็ไม่ใครยืนยันว่าเป็นญาติเธอ พ่อแม่ที่ไม่ได้โผล่มาในชีวิตเกือบ 10 ปีแล้ว รวมถึงเพื่อนที่ทำงาน ต่างส่ายหน้าบอกว่าไม่เคยมีใครได้ไปบ้านเธอเลยสักครั้ง มีเพียงชายหนุ่มจากที่ทำงานเพียงคนเดียวที่พอจะยืนยันได้ว่าเธอมีห้องเช่าอยู่อีกแห่งหนึ่ง และนั่นเป็นที่พักของหญิงสาวกับสามีอีกคน
แต่เมื่อออกไปตามหาแล้ว ก็ไม่มีเงาของเธอ และไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปไหน
“นี่ไง ที่หายวับไปกับตา ตื่นมาวันนี้ยังนึกว่าตัวเองฝันไป”
....
ฝนยังคงตกทุกวัน แมวน้อยสองตัวที่ถูกฝากเลี้ยง นอนหลับปุ๋ยหลังจากกินข้าวคลุกปลาทูเสร็จ ฉันลูบหัวมันเบาๆ แล้วบอกพวกมันว่า ขอให้ชินกับบ้านใหม่เร็วๆ และอย่าเสียใจเลยที่ใครบางคนจะหายไปจากเราตลอดชีวิต เพราะความรักใหม่ที่จับต้องได้ก็ยังมีให้เห็นอยู่อีก ขอเพียงอย่าสิ้นศรัทธาต่อมวลมนุษย์
ฉันพูดไปอย่างนั้น โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าแมวฟังภาษาฉันไม่เข้าใจหรอก จะมีก็เพียงแต่พี่ชายเท่านั้น ที่เผลอทำน้ำตาร่วงลงบนหลังแมว ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้าๆ บอกกับฉันว่า
“จะพยายามเชื่อแบบนั้นเหมือนกัน”