Skip to main content

เพลงคุ้นเคยหลายเพลงดังแว่วมาจากวิทยุข้างบ้าน สลับกับการเล่าเรื่องของดีเจ เธอบอกว่าเทศกาลลอยกระทงปีนี้ไม่คึกคักอย่างปีก่อนๆ คงเพราะบรรยากาศทางการเมือง บวกกับงานราชพิธีและผลจากพิษเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวจึงบางตา ประเพณีจึงไม่สวยงามอย่างเคยเป็น


แต่นั่นเป็นเรื่องที่สวนทางกับภาพที่ฉันกำลังได้เห็น


คุณลุงบรรจงทำซุ้มอย่างช้าๆ สบายๆ กับแดดยามสาย


คุณลุงข้างบ้านตื่นแต่เช้า เช่นเดียวกับทุกวัน แต่วันนี้ลุงไม่ไปทำงานในไร่ เช่นเดียวกับพี่สาวบ้านตรงข้ามที่ปกติออกไปขายเสื้อผ้าแต่เช้ามืด พวกเขามายืนผิงแดดอุ่นอยู่หน้าบ้าน แล้วทำความตกลงเจรจาแลกเปลี่ยนทรัพยากรจากสวนหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นก้านมะพร้าว ดอกดาวเรือง ดอกบานไม่รู้โรย ดอกลำโพง ลวด เชือก กระดาษ ทั้งหมดนั้นคืออุปกรณ์การทำ “ประตูป่า” หรือซุ้มดอกไม้ในเทศกาลลอยกระทง



บ้านนี้หยุดงานทั้งครอบครัว ช่วยกันทำซุ้มประตูป่า


ผู้ใหญ่บ้านประกาศย้ำมาอีกครั้งในเช้าวันนั้น ว่าการทำซุ้มประตูป่าไม่ใช่เรื่องบังคับ แต่เป็นการสืบทอดประเพณีของหมู่บ้านที่มีมาช้านาน สิ้นเสียงประกาศก็เหมือนแรงกระตุ้นให้ทุกคนเร่งมือ ฉันเก็บกวาดบ้านอยู่ไม่นานนัก ออกไปมองอีกที ซุ้มประตูป่าก็เริ่มปรากฏขึ้นหน้าบ้านทีละหลัง ทีละหลัง ยืนมองดูการมัดไม้ไผ่เป็นเสา แล้วพาดยาวแนวขวางไว้ห้อยดอกไม้ เหมือนจะยากแต่ก็ไม่ง่าย เหมือนจะง่ายแต่ยังไม่รู้วิธีทำ


ในที่สุดเมื่อใครบางคนเดินเข้ามาขอตัดไม้ไผ่ที่บ้าน ฉันจึงได้โอกาสถามขั้นตอนที่ง่ายที่สุดกับเขา

เดี๋ยวพี่บอกวิธีให้ ไม่ยากเลย”

 

ซุ้มของพี่สาวใจดีข้างบ้าน ละเอียดละออกับการสานใบมะพร้าวประดับประดา


พี่สาวข้างบ้านบอก เธอคว้ามีดด้ามใหญ่มาจับ เดินอาดๆ เข้าไปหลังบ้านของฉันเอง จากนั้นตัดก้านมะพร้าวมา
2 อัน แล้วใช้กรรไกรตัดปลายใบมะพร้าวออกเพื่อความสวยงาม

จากนั้นก็ทำแบบนี้นะ จับที่ปลายสุดของก้านมะพร้าว แล้วฉีกมันเลย”

เธอทำแค่นั้นจริงๆ ก้านมะพร้าว 1 อัน ฉีกออกจากกันกลายเป็นรูปทรงโค้งสวยงาม ได้ 2 อัน เหลือด้านล่างสุดของก้านเอาไว้ให้ยึดกัน ฉันลากก้านมะพร้าวหนักๆ นั้นออกมาแล้วมัดติดกับประตูรั้วบ้าน ปลายที่โค้งเข้าหากันก็ผูกเชือกไว้ แค่นั้นเองฉันก็มีซุ้มประตูป่ากับเขาแล้ว

รีบไปลงชื่อเร็ว เดี๋ยวพ่อหลวงเขาจะมีของแจกให้"

คุณป้าอีกคนมาช่วยลุ้น ดูเหมือนฉันจะทำเสร็จทีหลังสุด ท่ามกลางสายตาของป้าๆ ลุงๆ ที่เอาใจช่วยเต็มที่ ส่วนพวกเขากำลังประดิษฐ์ประดอยลูกเล่นจากดอกไม้ ใบมะพร้าว โคมไฟกระดาษไม่ให้เหมือนกัน ว่ากันว่า ใครทำสวยที่สุด พ่อหลวงจะมีผ้าห่มแจกให้ ส่วนบ้านไหนสวยน้อยหน่อย อย่างน้อยจะได้น้ำมันพืชกับน้ำปลาไปใช้คนละขวด


แบบนี้ได้น้ำมันพืชแน่ๆ”

คุณลุงเดินมาบอกแล้วหัวเราะ ฉันเหลือบไปมองบ้านพี่ตรงข้าม เธอสร้างสรรค์อย่างจริงจังมากกับเจดีย์ทราย ที่มีลูกสาวและสามีมาช่วยกันอย่างแข็งขัน เจดีย์ทรายหลังนั้นมีประตูป่าขนาดจิ๋ว และมีช้างเดินออกมา พบกับทหารรักษาประตู บนถนนสายดอกไม้ มีอ่างน้ำ 2 แห่งเอาไว้ลอยกระทง บนยอดเจดีย์มีสวนดอกไม้และเทียนปักเอาไว้ คนเริ่มมามุงดูกันอย่างคับคั่ง เธออารมณ์ดีมากกับการสร้างเมืองจำลองไว้หน้าบ้าน ดูเหมือนจะมีเสียงหัวเราะที่ร่าเริงที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินก็ว่าได้


เจดีย์จำลอง มีช้างเดินออกมาลอยกระทง มีทหารเฝ้าหน้าประตู มีถนนดอกไม้ และอ่างลอยอยู่ข้างๆ


แบบนี้ได้ผ้าห่มแน่ๆ”

มีคนออกความเห็น พี่สาวหัวเราะแล้วชี้ให้ไปดูบ้านคุณลุงอีกคนซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ คุณลุงบ้านนี้ร้อยดอกบานไม่รู้โรยติดกับใบตองเป็นตัวอักษรว่า “ยี่เป็งรำลึก” พร้อมวางโคมไฟกระดาษที่มีขวดน้ำมันก๊าดอยู่ด้านใน จุดเรียงรายทั้งสองฝั่งประตู หน้าบ้านมีโอ่งน้ำหนึ่งใบ ใส่น้ำแล้วลอยกระทงเอาไว้ แกยิ้มๆ เมื่อขอถ่ายรูป แล้วไล่ให้ไปดูบ้านคุณลุงอีกหลัง ซึ่งสร้างสรรค์ได้ไม่แพ้กัน



บ้านนี้มีตุงประดับร่วมด้วย และใช้ดอกตะล่อมปักเป็นอักษรที่นิยมมากในสมัยก่อน


แล้วฉันก็ต้องตื่นตาตื่นใจ กับดอกปักษาสวรรค์ที่คุณยายตัดจากสวนหลังบ้านมาประดับเป็นช่อบนประตูป่า ที่น่ารักที่สุดคือแกใช้ปากกาวาดรูปบนกระดาษสาแปะเอาไว้

ทำไมถึงเป็นช้างกับหมาคะ” ฉันเอียงคอถามเบาๆ

เป็นตัวแทนของลุงกับป้าไง ช้างก็คือลุง ป้าก็คือหมาน่ะ”

อ้อ”

ฉันรับทราบ เห็นแกกำลังเก้ๆ กังๆ ประดับซุ้มอยู่ก็เลยไม่ได้ถามต่อ เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว ก็เห็นลุงมวนยาสูบจุดมายืนพิจารณาซุ้มตัวเอง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วก็กวาดบ้านให้ดูสะอาดน่ามอง



คุณลุงยืนชื่นชมผลงาน รูปช้างสีน้ำเงินและหมาสีชมพู ตัวแทนคนในครอบครัว


ฉันถือโอกาสนั้น เดินเล่น ไปดูซุ้มของคนอื่นไปทั่ว พอไกลเข้าเดินไม่ไหว จึงกลับมาคว้าจักรยานออกไปซื้อโคมไฟมาติดบ้าง ผู้คนที่ไม่ค่อยเจอหน้ากันหยุดยืนคุยกันเป็นกลุ่มๆ มีการแลกดอกไม้ ให้ไอเดีย ติชมกันพองาม ซึ่งบ้านบางหลังใช้เวลาตั้งแต่เช้าถึงบ่ายทีเดียวในการประดิษฐ์ซุ้มประตูป่า


เลยออกจากหมู่บ้านไป ฉันเพิ่งเห็นว่าไม่ได้มีหน้าบ้านอาศัยเท่านั้น หน้าร้านค้า ร้านซ่อมรถ ร้านซักรีด แม้กระทั่งร้านสินเชื่อก็ยังทำซุ้มเช่นกัน เวลา 1 วันกับการหยุดงานเพื่อประดับดาประบ้านของพวกเขา อาจไม่ได้มีความหมายแค่การได้ผ้าห่มหรือน้ำมันพืช หรือมองทะลุไปถึงความตั้งใจสืบสานประเพณีอย่างที่ผู้คนประโคมข่าวให้พวกเขาทำ


ซุ้มประตูป่าหน้าบ้านของฉันเอง มีโคมไฟ 3 ดวง และโมบายนกกระดาษ


ที่ฉันเห็นตรงนั้น คือการได้อยู่ร่วมระหว่างพ่อแม่ลูก พูดคุยกับเพื่อนบ้าน แต่งตัวสวยๆ สำหรับวันดีๆ สักวัน ทำซุ้มให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามความเชื่อโบราณว่า ประตูป่า คือประตูระหว่างทางจากป่าสู่เขตอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อทำซุ้มประตูเสร็จแล้ว ทุกบ้านคือที่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเราต่างอาศัยอยู่ในนั้นแล้ว ก็จงทำความดี ละเว้นการทะเลาะเบาะแว้ง บาดหมาง พูดจากันดีๆ มีอะไรก็ให้อภัยกัน


ความศักดิ์สิทธิ์มากน้อยเหล่านั้น บ้านใครบ้านมันคงเป็นคนตัดสิน บ่ายๆ ใกล้ค่ำ กรรมการหมู่บ้านมาเดินสำรวจ แล้วชวนกันไปที่ศาลาเอนกประสงค์เพื่อรับแจกข้าวของอย่างคึกคัก พี่สาวข้างบ้านไม่ลืมตะโกนบอกฉันว่าแต่งตัวสวยๆ นะ จะได้ไปรับของด้วยกัน ส่วนเธอใส่ชุดผ้าเมืองสีสันสวยงามมายืนปล่อยโคมลอยหน้าบ้าน ท่ามกลางแสงเทียนที่ทุกบ้านจุดต่อกันเป็นสายยาวไปตลอดทางเดิน

 


ซุ้มประตูป่ามีสีสันจากโคมไฟดวงเล็กดวงน้อย ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป รวมกับแสงเทียนเล็กๆ ข้างรั้วบ้าน ทำให้ถนนที่เคยมืดมิดมีแสงพอให้มองเห็นความสุขจากสีหน้าท่าทางที่ประกอบกันเป็นความหมายของเทศกาลยี่เป็ง มากกว่าการแค่ไปลอยกระทงเท่านั้น แต่รวมถึงการทำบุญที่วัด ทำจิตใจให้ผ่องใสกับฤดูหนาวที่มาถึง การทำทานแก่ผู้ล่วงลับ และปล่อยเคราะห์โศกไปกับกระทง


งดงามในความสงบเงียบ ที่พวกเขาตั้งใจและทุ่มเททำ ในหมู่บ้านเล็กๆ ห่างเมืองที่ซึ่งคำว่านักท่องเที่ยวนั้นยังเป็นเรื่องห่างไกลและไม่มีความหมายอะไรสำหรับพวกเขาได้เทียบเท่ากับความเชื่อและความศรัทธา

 

................


ภาพแถมท้าย



ซุ้มประตูป่าหน้าร้านอาหารตามสั่ง

บ้านคุณป้าท่านนี้ มีสีสันจากร่มกระดาษคันเล็กๆ ประกอบ


บ้านนี้ถือโอกาสเทิดพระเกียรติไปด้วย


ซุ้มหน้าร้านซ่อมรถ พี่เจ้าของหยุดงานเพื่อการนี้โดยเฉพาะ


ร้านสินเชื่อเงินด่วนก็ทำ


คุณพี่ คุณป้า และคุณยาย 3 ท่านนี้บอกว่า ช่วยกันสานพญานาคตัวใหญ่ประดับไว้ตั้งแต่เช้า



บ้านนี้สวยแบบเรียบง่าย ใช้ก้านมะพร้าว 1 อัน ฉีกกลาง มัดหากัน ประดับด้วยดอกลำโพง


บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
“พี่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ใครจะฟ้องร้องเอาอะไร ก็ไม่มีให้เขา มันเสียไปหมดแล้ว” รถโดยสารของความอึดอัดกำลังเคลื่อนขบวน โดยมีเราอยู่ในนั้น ฉัน และเขา “ผู้เช่าบ้าน” และ “ผู้ให้เช่า” ตามภาษาในเอกสารสัญญาของเรา กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากัน  ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น และอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน..........จำได้ว่าเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรก เขาไขกุญแจรั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายติดประกาศว่า “ให้เช่า” ด้วยท่าทีอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกาย พาฉันเดินเยี่ยมชมอย่างต้อนรับขับสู้ ริมฝีปากนั้นไม่เคยขาดรอยยิ้ม เขาเล่าว่า ทาวเฮาส์หลังนี้ซื้อไว้เมื่อ 10 ปีก่อนเพื่อให้แม่อาศัย…
วาดวลี
----------ภายใต้แสงจันทร์  ที่ริมฝั่งนั้นพี่ยังจำได้ จงกลับคืนมาหารักดังเก่า  ลืมเรื่องร้ายคลายเศร้า เจ้าอย่าทำเมินไฉน พะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา----------“เพลงแปลกหูดีนะ ร้องเพลงอะไรเหรอ” “เพลงของเมืองที่เรากำลังจะไปนี่ไงล่ะ”คนตอบหักพวงมาลัย ซ้ายที ซ้ายที ขณะรถของเรากำลังไต่อยู่บนเส้นทางคดโค้งโอบล้อมไปด้วยภูเขา ฉันพยายามเอียงตัวเพื่อจะถ่ายรูป ฟ้ายามบ่ายสดใสเหมือนไม่มีเค้าฝน ฟังเพลงนั้นอย่างตั้งใจ “อ๋อ เพลงพะเยารอเธอ ใช่ไหม” ฉันถามอีกครั้งให้แน่ใจ คนร้องพยักหน้าหงึกหงัก ความทรงจำเก่าๆ ของเพลงต้นฉบับล่องลอยมาแต่ไกล…
วาดวลี
ระหว่างทุ่งนาเขียวขจีของฤดูฝน หรือ ถนนดินแดงเต็มไปด้วยผงฝุ่นฤดูแล้ง ยามหนึ่งในอดีตกาล ในความนึกคิดวัยเยาว์จำความได้ว่า ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันและเพื่อนต่างจ้ำอ้าวออกจากประตูโรงเรียนแทบไม่คิดชีวิต เปล่าหรอก เราไม่ได้เกลียดโรงเรียนขนาดนั้น ไม่ได้เบื่อคุณครู เพียงแต่เราคิดถึงพื้นที่อิสระ ที่เราไม่ต้องใส่ชุดกระโปรงแล้วกลัวเปื้อน มีที่วิ่งเล่น ได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีขนมกิน  มีคนดูแล และมีหนังสืออ่าน และพื้นที่ที่ว่านั้น ก็คือบ้านของเราเองบ้านของฉันห่างจากโรงเรียนไม่ถึงกิโลเมตร แค่ออกจากบ้านมาสัก 10 ก้าว ก็เห็นเสาธงตั้งโด่เด่ติดกับวัดของหมู่บ้าน ดังนั้น…
วาดวลี
“อีกนานเลยสินะ กว่าจะได้เจอกัน”สุ้มเสียงคนพูดเจือปนความอาวรณ์ ขณะโยนถุงใบเล็กใหญ่ใส่หลังรถกระบะสีขาวเก่าๆ ของเพื่อนผู้มีน้ำใจ เจ้าของรถหยอกเอินในฐานะเพื่อนสนิทว่า“ตอนมามีเสื้อผ้าชุดเดียว ขากลับทำไมมีของเยอะนัก”เขากำลังจะกลับบ้านชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันมาได้ปีกว่าแล้ว เขาเล่าว่า สมัยที่มาอยู่เชียงใหม่แรกๆ เพิ่งเรียนจบมัธยมสาม หางานทำในอำเภอไม่ได้ก็ลองเข้าเมืองมาเสี่ยงโชค เวลานั้น กราบลาพ่อแม่ แล้วนั่งรถโดยสารมาด้วยราคา 45 บาท กับระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตรมาอาทิตย์แรก ตระเวนขออาศัยยังหอพักเพื่อนที่พอรู้จัก จะอยู่บ้านใครนานก็เกรงใจคนอื่น ตะลอนหางานทำ ตั้งแต่พนักงานขนของ…