Skip to main content

เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ
ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้าน

ชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลัง

เธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น
“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”
เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี

ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ
“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว”
“อือ”

สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น แต่เป็นอันเข้าใจ แววตาหลายคู่ที่อยู่ข้างๆ มองอย่างสนใจ แต่ไม่รู้สึกแปลก

ชายชราผู้แก่กว่าอีกคน กระดกเหล้าแบบเดียวกัน แล้วถามไถ่
“ไอ่น้องมาจั๊กข้าวเหรอ”

เขาหมายถึงการ “ดื่ม” สักจอกสองจอก ก่อนจะถึงมื้อกินข้าวจริงๆ
“อืออ้าย หมู่นี้กินข้าวไม่อร่อย ไม่รู้ทำไม ถ้าไม่ดื่มสักก๊งสองก๊ง กินไรไม่ลง” เขาว่าน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ก็จริงอย่างว่า อ้ายก็เหมือนกัน ค่ำมาเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ถ้าไม่ดื่มซะหน่อย นอนไม่ค่อยสบาย”

สองคนปรับทุกข์  อีกคนมาใหม่ เพิ่งนั่งยังไม่ทันกระดกแก้ว ก็ตัดพ้อตามไป
“ยังดี พี่สองคนแค่ดื่มก่อนมื้อ  แล้วกลับไปกินกับเมีย อย่างผมไม่มีแม่บ้าน กินให้ตายตรงนี้ก็ไม่มีใครมาตาม”

ป้าแดงเจ้าของร้านรีบจ้องตาวาว ยืนจังก้าโวยวาย
“อย่าๆ อ้ายหมาย อย่ามากินตายแถวนี้นะ ถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านนา อย่ามานอนเมาแถวนี้”
เสียงหัวเราะลั่นร้าน ตาแก่ยกมือตบเข่าฉาด
“อะไร  ป้าแดงนิ พูดเล่นหรอก ทำมาจริงจัง เดี๋ยวก็ไปแล้ว”
“ไม่ได้ๆ วันก่อนมีคนมากินเหล้าเกือบหมดร้าน”
“เอ๊า ไม่ดีเหรอ ป้าจะได้ขายดีไง”

ป้าแดงเงียบ คงนึกคำตอบโต้อยู่  แต่ถูกชายวัยกลางคนสะกิดเสียก่อน
“นั่นๆ เขามาซื้อผักน่ะ  ไปดูก่อน”

ป้าแดงค่อยๆ หันมาทางฉัน ผู้ซึ่งยืนพลิกผักไปมา

เมนูวันนี้จะทำเมี่ยงปลาทู ประกอบด้วยผักสลัด ใบชะพลู  โหระพา และผักไผ่สะระแหน่ พลิกหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เลยต้องรอให้ป้าแดงมาช่วยดู
“ใบสลัดไม่มีแล้วหนู โหระพาก็หมด เหลือแต่กะหล่ำ”
“เอ่อ ผักกาดแก้วล่ะป้า วันก่อนหนูเห็นป้ามีขาย”
“มันแพง โลละตั้ง 30 บาท ป้าไม่เอามาแล้ว ไม่ไปดูอีกซอยล่ะ”
“ไปมาแล้วค่ะ เขาปิด”

ฉันตอบน้ำเสียงละห้อยด้วยความผิดหวัง ก่อนจะคิดถึงทางเลือกอื่น
“อืม เอาผักกาดขาวแทนก็ได้ แล้วสะระแหน่มีไหม”
“เหมือนจะหมดแล้วนะ เหลือไม่กี่อย่าง วันนี้ป้าไม่ได้ไปตลาดหรอก ตื่นสายน่ะ”

ป้าแดงพูดอย่างอายๆ  หันไปมองยังอีกมุมของร้าน แล้วก็เปลี่ยนน้ำเสียง
“ก็พวกนี้มันกลับกันดึก ป้าแดงปิดร้านค่ำมาก เลยตื่นสายเลย”
“อ้าว”

เสียงตอบโต้ตามมาทั้งกลุ่ม ฉันพยายามเงียบเสียงและไม่กล้ามอง จึงยืนพลิกดูผักต่อไป พลางรำพึงเบาๆ
“สงสัยต้องเปลี่ยนเมนูล่ะป้า มีอะไรเหลือบ้างเนี่ย”
“ก็มีผักบุ้งนะ”
ป้าแดงไล่ลำดับ
“งั้นผัดผักบุ้งเลยหนู” เสียงชายเฒ่าสวนมาอย่างหวังดี

“แล้วก็มีหน่อไม้ดองนะ” ป้าแดงหยิบถุงขึ้นมาโชว์ มันดูเก่าและนาน รสชาติคงเปรี้ยวน่าดู
“แกงใส่ไก่ อร่อยมาก” เสียงจากเคาน์เตอร์บาร์ส่งมาด้วยหวังดีอีก

ฉันแอบอมยิ้ม สงสัยจะกินข้าวลงกันแล้ว จึงคิดเมนูได้หลากหลายแบบนี้

“งั้นเอาน้ำพริกตาแดงถุงหนึ่ง  ไข่  แล้วก็แหนมค่ะ” ฉันตัดสินใจ
“เยี่ยมๆ น้ำพริกป้าแดงอร่อยมาก ไข่เจียวแหนมอร่อย”
คำแนะนำจากกลุ่มชายชรายังปล่อยมาเป็นระยะ ฉันอยู่ในอาการทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าพูดคุยกับคนเมา ได้แต่ยิ้มๆ ไปตามมารยาท ก่อนจะได้ยินเสียงใครบางคนยืนอยู่ข้างหลัง

“อยากกินไข่เจียวแหนมทำไมไม่บอก ไป กลับไปกินแกงผัดกาดได้แล้ว”
หันไปมองตาม ถึงได้รู้ว่าภรรยาของคุณลุงมีบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามนี้เอง

ลุงวัยกลางคนสะดุ้งเฮือก รีบซดเหล้าที่เหลือในแก้วกระดกพรวดทีเดียว แล้วรีบเดินตามเมียกลับบ้านแต่โดยดี ทิ้งเสียงหัวเราะคิกๆ ไว้เบื้องหลังของชายร่วมเคาน์เตอร์

ก่อนจะไป แกก็หันมายักคิ้วให้ทีหนึ่ง
“เดี๋ยวเฮาก็จะไปแล้วเหมือนกัน” ชายโสดไร้ภรรยาบอก ระหว่างฉันยืนรอเงินทอนจากป้าแดง
“อ้าว ไปเหมือนกันเหรอ ไหนบอกว่าไม่มีใครรออยู่บ้านไง”
“แมวมันจะหิวข้าวเอา ไม่ได้ทิ้งไรไว้ให้เลยเนี่ย”
“โห ห่วงแมว” เสียงใครอีกคนแซวขึ้น

ฉันรับเงินทอนมาแล้ว จากที่อยากรีบไปเสียให้พ้น กลับชะลอฝีเท้าลง หันไปมองหน้าเขาทีหนึ่ง

ผู้ชายร่างผอม ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเก่าซีด พันเอวด้วยผ้าขาวม้าสีม่วงสลับแดง ใส่รองเท้าบู๊ตสีเขียวแก่  มีมีดดายหญ้าอันใหญ่เบ้อเริ่มเสียบไว้กับผ้าขาวม้าอยู่ด้านหลัง

“อือ ตอนนี้เหลือตัวเดียว แต่ก่อนมี 4 ตัวนะ มันคลอดลูกแล้วตายเลย ก็เลี้ยงมาจนโต ชื่อ แดง ดำ ขาว และ แต้ม ตัวสุดท้ายนี่สีขาวลายดำ แต้มเต็มตัวไปหมด”
พูดพลางลุกขึ้นยืน กระดกเหล้าแก้วสุดท้าย พร้อมคว้ามะขามกับเกลือ ซึ่งเป็นบริการฟรีจากป้าแดงเข้าปาก เคี้ยวดังกร๊อบ ทำเอาฉันน้ำลายพุ่งกระฉูดเต็มแก้ม

“อ้อ ป้า เอาปลาทู 2 ตัว”
วูบนั้น ฉันเห็นแววตาเขา จะว่าทึกทักไปเองก็ได้ แววตาไม่ต่างกันนัก กับคนมีลูกมีเมียที่รีบกลับบ้านเพราะกลัวจะรอด้วยความหิว

ฉันและเขาออกจากร้านป้าแดงพร้อมกัน ตะวันเริ่มโพล้เพล้ สุดท้ายก็เหลือชายชราเพียงคนเดียว
“เฮาะๆๆ ปิ๊กบ้านเพราะห่วงแมว ฮ่าๆๆ”
เขาหัวเราะชอบใจ แล้วคว้าแกงอ่อมที่เหลือของลุงผู้ไปแล้วมาซดต่อ
“ป้าแดงเอาเหล้ามาอีกก๊ง”

แล้วเขาก็คงเป็นเหมือนเช่นทุกวัน ชายคนเดิมที่จะนั่งอยู่ที่แผงนี้ ไม่ว่าจะค่ำมืดอย่างไร ฉันผ่านมาทุกครั้งก็จะเห็นเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ เท้าแขนข้างหนึ่งกับเคาน์เตอร์ มองไปมาบนถนนสายเดิม จวบจนแทบไม่มีรถแล่นผ่าน พระเข้าวัดไปหมดแล้ว แม่ค้าเก็บของจนไม่เหลือแม้แต่เจ้าเดียว

ไม่เคยรู้ว่าแกกลับบ้านเวลาไหน ไปทางใด ไม่มีเมียคอยแกงผักกาดไว้ที่บ้าน ไม่มีแมวรอกินปลาทู

รู้เพียงแต่ว่า ถ้าวันไหนไม่มีใครมากินเหล้าเลย ป้าแดงก็ยังเหลือชายชราผู้นี้เป็นลูกค้าประจำ หากวันไหนใครคิดเมนูอาหารไม่ออก เดินไป เขาจะช่วยคิดให้สารพัด

แต่หากวันไหนเขาไม่มา เราถึงจะรู้ว่า ถนนสายนี้จะช่างแสนเหงา แผงป้าแดงจะเหลือแต่ผนัง กับเก้าอี้เปล่า โดยมีฉันอดคิดเงียบๆ ไม่ได้ว่า
“พรุ่งนี้ จะยังมีคุณลุงคนนี้มานั่งกินอยู่อีกไหม”

001

002

003

004

005

006

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
“พี่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ใครจะฟ้องร้องเอาอะไร ก็ไม่มีให้เขา มันเสียไปหมดแล้ว” รถโดยสารของความอึดอัดกำลังเคลื่อนขบวน โดยมีเราอยู่ในนั้น ฉัน และเขา “ผู้เช่าบ้าน” และ “ผู้ให้เช่า” ตามภาษาในเอกสารสัญญาของเรา กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากัน  ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น และอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน..........จำได้ว่าเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรก เขาไขกุญแจรั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายติดประกาศว่า “ให้เช่า” ด้วยท่าทีอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกาย พาฉันเดินเยี่ยมชมอย่างต้อนรับขับสู้ ริมฝีปากนั้นไม่เคยขาดรอยยิ้ม เขาเล่าว่า ทาวเฮาส์หลังนี้ซื้อไว้เมื่อ 10 ปีก่อนเพื่อให้แม่อาศัย…
วาดวลี
----------ภายใต้แสงจันทร์  ที่ริมฝั่งนั้นพี่ยังจำได้ จงกลับคืนมาหารักดังเก่า  ลืมเรื่องร้ายคลายเศร้า เจ้าอย่าทำเมินไฉน พะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา----------“เพลงแปลกหูดีนะ ร้องเพลงอะไรเหรอ” “เพลงของเมืองที่เรากำลังจะไปนี่ไงล่ะ”คนตอบหักพวงมาลัย ซ้ายที ซ้ายที ขณะรถของเรากำลังไต่อยู่บนเส้นทางคดโค้งโอบล้อมไปด้วยภูเขา ฉันพยายามเอียงตัวเพื่อจะถ่ายรูป ฟ้ายามบ่ายสดใสเหมือนไม่มีเค้าฝน ฟังเพลงนั้นอย่างตั้งใจ “อ๋อ เพลงพะเยารอเธอ ใช่ไหม” ฉันถามอีกครั้งให้แน่ใจ คนร้องพยักหน้าหงึกหงัก ความทรงจำเก่าๆ ของเพลงต้นฉบับล่องลอยมาแต่ไกล…
วาดวลี
ระหว่างทุ่งนาเขียวขจีของฤดูฝน หรือ ถนนดินแดงเต็มไปด้วยผงฝุ่นฤดูแล้ง ยามหนึ่งในอดีตกาล ในความนึกคิดวัยเยาว์จำความได้ว่า ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันและเพื่อนต่างจ้ำอ้าวออกจากประตูโรงเรียนแทบไม่คิดชีวิต เปล่าหรอก เราไม่ได้เกลียดโรงเรียนขนาดนั้น ไม่ได้เบื่อคุณครู เพียงแต่เราคิดถึงพื้นที่อิสระ ที่เราไม่ต้องใส่ชุดกระโปรงแล้วกลัวเปื้อน มีที่วิ่งเล่น ได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีขนมกิน  มีคนดูแล และมีหนังสืออ่าน และพื้นที่ที่ว่านั้น ก็คือบ้านของเราเองบ้านของฉันห่างจากโรงเรียนไม่ถึงกิโลเมตร แค่ออกจากบ้านมาสัก 10 ก้าว ก็เห็นเสาธงตั้งโด่เด่ติดกับวัดของหมู่บ้าน ดังนั้น…
วาดวลี
“อีกนานเลยสินะ กว่าจะได้เจอกัน”สุ้มเสียงคนพูดเจือปนความอาวรณ์ ขณะโยนถุงใบเล็กใหญ่ใส่หลังรถกระบะสีขาวเก่าๆ ของเพื่อนผู้มีน้ำใจ เจ้าของรถหยอกเอินในฐานะเพื่อนสนิทว่า“ตอนมามีเสื้อผ้าชุดเดียว ขากลับทำไมมีของเยอะนัก”เขากำลังจะกลับบ้านชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันมาได้ปีกว่าแล้ว เขาเล่าว่า สมัยที่มาอยู่เชียงใหม่แรกๆ เพิ่งเรียนจบมัธยมสาม หางานทำในอำเภอไม่ได้ก็ลองเข้าเมืองมาเสี่ยงโชค เวลานั้น กราบลาพ่อแม่ แล้วนั่งรถโดยสารมาด้วยราคา 45 บาท กับระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตรมาอาทิตย์แรก ตระเวนขออาศัยยังหอพักเพื่อนที่พอรู้จัก จะอยู่บ้านใครนานก็เกรงใจคนอื่น ตะลอนหางานทำ ตั้งแต่พนักงานขนของ…