Skip to main content

ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจ
อารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวล
เมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้าน

นวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย
“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”
“แม่เหรอ?”

ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊

ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก เธออมยิ้ม แล้วบอกว่าเดี๋ยวมา จากนั้นก็ปราดไปยังผู้หญิงวัยกลางคนที่ยืนพัดเหงื่ออยู่หน้าร้าน

นอกจากใบหน้าบึ้งตึงแล้ว ก็ยังมีแววตาหงุดหงิด
บนโต๊ะคิดเงิน  ประกอบด้วยแป้ง 1 กระป๋อง แชมพู น้ำมันหอย และผงชูรสถุงใหญ่
นวลกำลังจะคิดเงินให้เธอ แต่กลับปรากฏว่ารถเก๋งคันใหญ่ใหม่เอี่ยม จอดเทียบร้านระดับชิดทางเดินเข้าออก
“ไฮเนเก้น 2 ขวด น้ำแข็ง 5 บาท ขอด่วน”
เขาตะโกนเข้ามาโดยไม่ดับเครื่องยนต์ นวลจึงต้องปราดเข้าไปหยิบของให้ลูกค้าท่านนี้เสียก่อน รถคันใหญ่คับร้าน ชวนให้เกิดบรรยากาศเร่งเร้าอย่างบอกไม่ถูก

“เจ๊รอแป๊บนะ”
นวลหันไปบอกผู้หญิงหน้าฉุนคนนั้น เธอไม่สบตาเขา แต่อีกฝ่ายจ้องเขม็ง นวลคงรู้ตัวดี ทำให้พี่คนนั้นต้องรอ เธอพยายามจัดการลูกค้าในรถคันใหญ่ให้เสร็จก่อน

ทั้งวิ่ง ทั้งเดิน หยิบของใส่ถุง วิ่งไปส่ง รับเงินกลับมา วิ่งหาเงินทอน สิ่งที่นวลทำนั้นคงเป็นการลดน้ำหนักได้อย่างดี เพราะจากสาวน้อยร่างอวบ ผิวหน้าเปล่งปลั่งในวัยไม่ถึงยี่สิบปี ตอนนี้นวลผอมลง มีรูปทรงโค้งเว้า แต่งตัวทันสมัยกว่าเดิมมาก

ครั้งหนึ่งเคยเอ่ยปากชมว่า ชุดนวลสวยจัง เธอก็ตอบด้วยใบหน้าอิ่มเอิบว่า
“เขาบริจาคมาทั้งนั้นแหละ”
ไม่มีถ้อยคำใดแสดงถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ มีแต่ความปรีดาที่ได้เสื้อผ้าแบบใหม่ ทั้งยังไม่ต้องเสียเงิน พี่ผู้หญิงเจ้าของร้านนั่นเองที่คอยคัดเสื้อผ้าเหลือใช้มาให้ นวลใส่แล้วก็แทบจะสลัดคราบของสาวพม่าออกไปเกือบหมด เพราะนวลหน้าตาน่ารัก ขาดแต่ก็ไม่ได้แต่งหน้าทาปากแบบสาววัยรุ่นทั่วไป

นวลอาจจะคิดแบบนั้นหรือไม่ ฉันไม่รู้  
รู้เพียงแต่ว่าสำหรับบางคนแล้ว สิ่งที่นวลเป็น ไม่เคยสลัดออกไปได้ในทัศนคติของเขา

ผู้หญิงหน้าฉุนคนนั้น เอื้อมมือไปคว้าถุงพลาสติกขึ้นมา เขาจัดการคลี่ปากถุง แล้วหย่อนข้าวของที่เลือกลงไป

ขณะใส่ถุงเขาก็คิดเลขไปด้วย คิดออกมาดังๆ แล้วบวกเลขอย่างรวดเร็ว ฉันในฐานะผู้รอคอยจึงยืนมองไปด้วยใจที่คิดว่า ก็ดีเหมือนกันนะ ที่ลูกค้าจะหยิบของใส่ถุงเอง จะได้แบ่งเบาภาระนวลไปได้อีกทางหนึ่ง
แต่แท้จริงก็กลับไม่ใช่ เมื่อเธอพูดออกมาดังๆ ว่า
“ทำงานชักช้าจริง  หยิบใส่ถุงเองแล้วนะ”
น้ำเสียงนั้นห้วนสั้น อย่างคนหัวเสียทั่วไป นวลตะลีตะลานปราดเข้าไปหาทันทีที่จัดการธุระให้เจ้าของรถคันโตเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“โทษทีค่ะพี่ วันนี้ยุ่งจริงๆ” นวลเอ่ยปากพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“นี่นะของที่ซื้อ...”
หญิงรุ่นใหญ่ขยายปากถุง ชี้นิ้วไปที่ข้าวของทีละอย่าง คำนวณด้วยความชำนาญ
“แป้ง 12 แชมพู 15 ผงชูรส 15 น้ำมันหอย 22 รวมเป็น 48 บาท อ่ะ เอาเงินไป”
พูดเสร็จก็โยนแบงค์ 20 ออกมา 2 ใบ พร้อมเหรียญอีก 8 บาท เศษเหรียญเหล่านั้นกลิ้งหลุนๆ ไปตามโต๊ะ โดยมีนวลต้องคอยตะปบเก็บ

จากนั้น นวลปราดสายตามองข้าวของ แล้วเอื้อมไปคว้าเครื่องคิดเลข
“เอ่อ นวลขอคิดอีกรอบนะ”  ว่าแล้วก็คิดใหม่
“แป้ง 12 แชมพู 15 ผงชูรส 15 น้ำมันหอย 22 รวมแล้วมัน 64 บาทค่ะ”
ความรำคาญในสายตาถูกทอดโปรยไปยังนวล มองออกว่าเธอไม่พอใจนักหนา จากนั้นก็คว้าเงินกลับไปกำไว้ อีกมือก็ล้วงแบงค์จากกระเป๋ากางเกง
“อ่ะ งั้นก็เอาไป”
เธอโยนเงินลงไป แม้รู้ว่ามันไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะทาบลงกับผืนโต๊ะ
แบงค์สีแดงร่วงปลิวลงพื้น นวลรีบก้มลงไปเก็บ ใบหน้าเธอแทบจะชิดที่เท้าของเขาคนนั้น

เงยหน้าขึ้นมา ขยับจะกดเครื่องคิดเลขเพื่อคิดเงินทอน  เสียงดังอันห้วนสั้นและเต็มไปด้วยความฉุนเฉียวก็ดังไปทั่วร้าน
“แบงค์ร้อยบาท ซื้อ 64 ก็ทอน 36 ไงเธอ เอาแบงค์ยี่สิบมา 1 ใบ เหรียญสิบบาท 1 เหรียญ เหรียญบาทอีก 6  บาท! แค่นี้คิดไม่ออกหรือไง! ”

ฉันเพิ่งตระหนักในตอนนั้น ว่าความโกรธขึ้งนั้นร้อนกว่าแสงแดด การดูถูกนั้นหนาวกว่าสายฝน นวลพาใบหน้ายับๆ เดินกลับเข้าไปเอาเงินทอนจากด้านในร้าน เดินออกมายื่นให้ ผลก็คือคนรับกระชากไปแรงๆ เป็นฉากที่เห็นบ่อยๆ ในละครไทย แต่ไม่คิดว่านี่เป็นชีวิตจริง จากคนบ้านใกล้เรือนเคียง ในเมื่อคนซื้อของคนนั้น ก็เป็นคนขายลาบอยู่ไม่ไกลจากร้านนวลเท่าไหร่นัก

“ลังเก่าๆ รอแป๊บนะ เดี๋ยวนวลไปตามแม่ให้ว่าได้หรือยัง”
เธอส่งเสียงผ่านออกมาจากริมฝีปากที่สั่นระริก ฉันจึงเอื้อมมือไปแตะเบาๆ ที่แขนของเธอทีหนึ่ง
“ไม่ต้องรีบก็ได้นวล พักก่อน ท่าทางจะเหนื่อยมากนะนี่”
“ฮื่อ”

นวลตอบแค่นั้น แล้วก็ส่ายสายตาไปมา ดูว่าเหลือใครยืนรออีกไหม หรือมีอะไรค้างอยู่ ทุกวินาทีของเธอมีค่าในเวลารีบเร่ง แต่เมื่อเห็นว่าลูกค้าไปหมดแล้ว นวลก็ยืนถอนหายใจ เอื้อมมือเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาแตะพวงแก้มสีชมพูระเรื่อ พลางหางตาก็ยังแลไปทางคนที่เพิ่งจากไปตะกี้นี้
จับได้ว่ามือของเธอดูจะยังสั่นๆ

“แล้วตะกี้บอก แม่ไปเอาลัง คือแม่ใครหรือ” ฉันเปลี่ยนเรื่อง
ถามอย่างเกรงใจ หากนวลไม่ตอบก็ไม่ได้สำคัญอะไร นวลเอี้ยวตัวแทนคำพูด เรียกฉันเบาๆ
“มานี่”
ฉันเดินตามต้อยๆ ไป ยังคูหาที่อยู่ติดกัน ประตูเหล็กม้วนถูกเปิดขึ้นเพียงเล็กน้อย เป็นช่องเล็กๆ ที่พอจะมุดเข้าไปได้

นวลตะโกนเรียกดังๆ
“แม่”
ครู่หนึ่ง หญิงวัยกลางคนก็มุดออกจากโกดังมาพร้อมกล่องกระดาษที่ฉันสั่งเอาไว้ มองเห็นใบหน้าและรูปร่าง เขาคล้ายคลึงกับนวลแต่ก็ยังดูสาว
“นี่ไงแม่นวล”
“เอ่อ หมายถึงแม่จริงๆ มาจากโน่นเหรอ”
“ใช่”
นวลตอบเสียงดังฟังชัด แววตาเริ่มมีความสดชื่นขึ้นมาแทนที่
“นวลพาแม่มาทำงานด้วย เฮียขาดคนเช็คสต๊อก ตอนนี้ไม่เหงาแล้ว”
“ดีจัง”

ฉันพูดเผื่อแผ่ไปยังเจ้าของร้านด้วย ที่กรุณาเธอทั้งสองแม่ลูก ฉันเอ่ยสวัสดีคนเป็นแม่พร้อมรอยยิ้ม เธอมีแววตากลัวๆ แต่ก็ยิ้มตอบมาอย่างดี

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปก่อนนะ ค่ากล่องที่ให้เมื่อวานพอใช่ไหม”
“พอจ้ะพี่”
นวลตอบ แล้วปล่อยให้ฉันหยิบกล่องเหล่านั้นเพื่อเดินเอาไปใส่ที่รถ
แต่ก่อนจะก้าวขาออกมา มือแข็งๆ ของนวลก็เอื้อมมาแตะที่แขน
“เดี๋ยว...นวลอยากถาม...ว่า...”
น้ำเสียงนั้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม แบบที่ฉันเคยเห็นเมื่อแรกเจอกัน เด็กน้อยในโลกแปลกหน้า
มือของเธอสั่นๆ เบาๆ
“...อยากถามว่า คนตะกี้ที่เขาตะคอกกับขว้างเงินใส่นวล เขาทำเพราะเขารอนานหรือ...เพราะว่านวลเป็นพม่า...”
คำถามนั้นทำเอาฉันตอบอะไรไม่ถูก จึงได้แค่บอกไปว่า

“เขาคงโมโหมาจากบ้านมั้งนวล ช่างมันเถอะ อย่าไปคิดมาก ต้องเจอคนแปลกๆ อยู่แล้วนินา”
นวลคลายมือ ก่อนจะพยักหน้า

ฉันเป็นฝ่ายแตะแขนเธอกลับ จากนั้นก็ลากกล่องใบโตอุ้มเดินออกมา
วูบนั้น เมื่อหันกลับไปอีกครั้ง ในเปลวแดดที่ยังไม่ลดลา เหมือนจะเห็นบางอย่างอยู่ในดวงตาคู่นั้น
สิ่งที่เรียกว่าน้ำตา.

1

2

3

4

5

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ปีใหม่ไปเที่ยวไหนบ้างหรือเปล่าคะ"พี่สาวข้างบ้านไม่ตอบคำถามฉันเลย  แต่คลี่ยิ้มแล้วเดินพาฉันไปหยุดอยู่ตรงเสื่อผืนนั้น  เสื่อที่ปูบนลานซีเมนต์โล่งๆ หน้าบ้าน  ข้างกายมีกองผักกาดขนาดใหญ่  จำนวนนับร้อยต้น ข้างๆ  มีถังน้ำ  มีกะละมัง  มีเครื่องปั่นเสียบไฟฟ้า และมีถุงพลาสติกกองอยู่"พี่กำลังทำโปรเจ็คใหม่"แกบอกด้วยสายตาโอ้อวด  โปรเจ็คที่ว่าคือหนึ่งในอาชีพใหม่ที่แกเพิ่งริเริ่มทำ นั่นก็คือการทำ "น้ำผัก" ขาย
วาดวลี
   บุ้งตัวนี้คงมีพิษร้ายมาก ฉันรู้สึกอย่างนั้น จากหนามแหลมๆ ที่พวงพุ่งออกมารอบตัวมัน และจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่เคยเอามือไปโดนตัวบุ้ง แล้วคันคะเยอไปทั้งสัปดาห์ แถมมือยังบวม แสบๆ อีกด้วยตอนเด็กๆ แม่จึงพร่ำสอนเสมอ บุ้งหน้าตาแบบนี้มีพิษร้าย มันกินไม่ได้ จับมาเล่นไม่ได้ และสำคัญที่สุดให้หลีกเลี่ยงระวังอย่าได้สัมผัส เมื่อจำมาตลอด ดังนั้นฉันจึงระวังที่สุดที่จะเดินย่องเข้าไปขอถ่ายรูปในระยะใกล้ เจ้าบุ้งจากที่นิ่งๆ อยู่ คงรู้สึกได้ถึงคนแปลกหน้า มันยิ่งพองตัวอวดหนามให้ตั้งชูชันขึ้นมาอีก ความซุ่มซ่ามของฉันที่เอาตัวไปโดนกิ่งไม้ให้ไหวๆ เผลอทำให้มันตกใจมากกว่าเดิม พอมันขยับหันหัวมา…
วาดวลี
การเดินทางตามใครสักคนไป คงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเดินทางตามฝูงมด ที่มันเคลื่อนที่ช้ากว่าเราหลายเท่าตัว ฉันเองก็นึกไม่ถึงว่าจะมีเวลามากพอที่จะเฝ้าสังเกตมดสักตัว หรือสักฝูง แล้วยังมีมดหลายชนิดให้ต้องแยกแยะอุปนิสัยอีกด้วยแต่ลองคิดกลับกันดู หากมดจะเดินทางตามเราบ้าง นั่นคงเป็นเรื่องลำบากยิ่งกว่า ก็แค่เดินสัก 2 ก้าว มดก็ตามเราไม่ทันแล้ว
วาดวลี
  หากนี่เป็นสนามรบสักแห่งหนึ่ง รังเล็กๆ ที่สร้างจากไยแมงมุมมองดูคล้ายกับดักขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ ที่สามารถสร้างความตื่นเต้น วิตก ให้กับศัตรูและเหยื่อได้มาก แถมยังประจานผู้พ่ายแพ้ต่อหน้าประชาชนอย่างเห็นกันโจ้งๆในกับดักนั้นประกอบด้วยสรรพสิ่งที่เป็นซากชีวิต ไม่ว่าจะเป็นตัวหนอน ผีเสื้อ มดแดง มดดำ แมลงวัน พวกมันตายหมดแล้ว เป็นสุสานขนาดใหญ่ที่ห้อยโหนโตงเตงด้วยแรงยึดไยแมงมุม แขวนไว้กับต้นไม้ในเช้าวันหนึ่งของฤดูหนาวฉันบอกกับตัวเองว่า นี่มันช่างน่าอัศจรรย์ดีจัง ตอนเด็กๆ ฉันทั้งเกลียดและกลัวแมงมุม ขณะเดียวกันแม่ซึ่งพยายามเอาชนะแมงมุมด้วยการกินมัน ก็สร้างเมนูรสเลิศด้วยการเอาแมงมุมไปย่างไฟ…
วาดวลี
ฉันไม่รู้ว่าทำไมหอยทากหลายตัวชอบมาซ่อนอยู่ในรองเท้า แม้จะเคาะรองเท้าก่อนแล้ว หากไม่ดูดีๆ ก็อาจจะเผลอเหยียบเข้าไปเต็มๆ เพราะความเหนียวของลำตัวที่เกาะติดอยู่กับผนังรองเท้าผ้าเวลานี้เข้าฤดูหนาวเต็มที่แล้ว หรือเปลือกหอยจะไม่สามารถกันความหนาวให้มันได้เพียงพอ ทั้งที่พอรู้มาบ้างว่า หอยทากเป็นสัตว์ที่อดทนมาก มีชีวิตได้ทั้งที่แห้ง ที่ป่าชื้น หรือบนภูเขาสูง นอกจากในรองเท้าแล้ว ซอกมุมเล็กๆ ในบ้าน หลังชั้นหนังสือ หรือแม้แต่ใต้เบาะจักรยาน ฉันก็ยังพบหอยทากมาเล่นซ่อนแอบเป็นประจำ จากที่เคยรู้สึกกึ่งรังเกียจ กึ่งขยะแขยง…
วาดวลี
๑. ผีเสื้อติฉินดอกไม้ ว่ามีน้ำหวานน้อยเกินไป ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนปลูก ชาวสวนลุกมาพรวนดิน เผลอเคืองขุ่นแมลงหิวโหย แม่บ้านบ่นกับเม็ดฝน ที่ทำให้น้ำยาปรับผ้านุ่มไร้ความหมาย นิมิตกลายเป็นความโศก เมื่อล็อตเตอรี่ไม่ตรงกับที่ตีความมา
วาดวลี
เพลงคุ้นเคยหลายเพลงดังแว่วมาจากวิทยุข้างบ้าน สลับกับการเล่าเรื่องของดีเจ เธอบอกว่าเทศกาลลอยกระทงปีนี้ไม่คึกคักอย่างปีก่อนๆ คงเพราะบรรยากาศทางการเมือง บวกกับงานราชพิธีและผลจากพิษเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวจึงบางตา ประเพณีจึงไม่สวยงามอย่างเคยเป็นแต่นั่นเป็นเรื่องที่สวนทางกับภาพที่ฉันกำลังได้เห็นคุณลุงบรรจงทำซุ้มอย่างช้าๆ สบายๆ กับแดดยามสายคุณลุงข้างบ้านตื่นแต่เช้า เช่นเดียวกับทุกวัน แต่วันนี้ลุงไม่ไปทำงานในไร่ เช่นเดียวกับพี่สาวบ้านตรงข้ามที่ปกติออกไปขายเสื้อผ้าแต่เช้ามืด พวกเขามายืนผิงแดดอุ่นอยู่หน้าบ้าน แล้วทำความตกลงเจรจาแลกเปลี่ยนทรัพยากรจากสวนหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นก้านมะพร้าว ดอกดาวเรือง…
วาดวลี
ว่ากันว่า บนหน้าผาสูงใหญ่แห่งนี้ในอดีตกาลชายหญิงคู่หนึ่ง เดินทางมาหยุดมองหุบเหวกว้างใหญ่ในเวลาดึกสงัด  เบื้องลึกเป็นผืนน้ำ ด้านข้างเป็นโขดหินกัดเซาะขรุขระน่ากลัว พวกเขาคงรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบและเวิ้งว้างไปจนสุดขั้วหัวใจ ถ้าเผลอตกลงไป อย่าหวังว่าชีวิตจะเหลือรอดให้กลับบ้านหากแต่บางที การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความรักนั้น  บางทีอาจเวิ้งว้างยิ่งกว่าหรือมีรักแต่ไม่สมหวัง อาจเจ็บปวดกว่าการจากโลกนี้ไป
วาดวลี
  ฉันเพิ่งยอมรับความล้มเหลวอย่างหนึ่งของตัวเองในการปลูกต้นไม้นั่นคือ ปลูกต้นกุหลาบแล้วไม่มีดอกตอนเด็กๆ พ่อของฉันคือคนสอนปลูกต้นไม้คนแรก พ่อขุดดินให้เป็นหลุม หย่อนต้นกล้าลงไป กลบดินแล้วรดน้ำ พ่อบอกด้วยสายตาโอ้อวดว่านี่ไง มันง่ายจะตายไป ที่เหลือเป็นหน้าที่ของดิน น้ำ และแดด จากนั้นให้ฉันทำเหมือนกัน สิบกว่าวันผ่านไป พ่อและฉันยืนมองต้นกุหลาบของเราที่กึ่งรอดกึ่งตาย กิ่งใบเหี่ยวแห้ง ฉันจึงถามพ่อว่า "คนมือร้อน มือเย็นนี่อยู่มีจริงไหม"พ่อเดินไปนั่งบนแคร่ มวนยาเส้น จุดสูบด้วยแววตานักคิด แล้วตอบว่า "ก็จริงอยู่นะ แต่มือเป็นอาวุธของใจ คนใจเย็นปลูกอะไรก็เป็น ใจร้อนก็ปลูกแล้วตาย"พ่อพูดแล้วหัวเราะเบาๆ…
วาดวลี
หลายต่อหลายครั้ง ที่ฉันจดจำภาพของสถานที่ เรื่องราว ผู้คน แม้ไม่เคยรู้จักกัน และไม่เคยไปพบเจอ แต่กลับฝังลึกลงความทรงจำถึงขนาดเก็บไปฝัน แน่นอนฝันนั้นเป็นฝันดี และพอตื่นจากฝัน ก็พบกับความจริงที่ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ไกลเกินไปนักหรอก สิ่งที่พูดถึงความงาม ความพอดี เหมือนหยดน้ำใสบนคลองเล็กๆ ที่เลียบไปกับแม่น้ำใหญ่ หรือบางทีอาจเป็นดอกหญ้าต้นเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ในสวนกุหลาบ แต่แท้จริงเป็นสมุนไพรเยียวยาโลกได้ด้วยซ้ำ สิ่งที่ฉันพูดถึงอยู่นี้ คือชีวิตของเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนชำฆ้อพิทยาคม จังหวัดระยองเด็กน้อยเหล่านี้…
วาดวลี
๑. ประชาธิปไตย สูงใหญ่ ใต้เพดาน เราไต่ เราคลาน เหยียบข้าม ขึ้นคว้าไป เราเรียน เราศึกษา เราค้นหา เราพินิจ เปรียบเทียบ ถูกผิด เท่าที่ เราคิดได้ ในสมุดมีสอน ในกลอนมีให้อ่าน ในหนังสือมีวิจารณ์ เปลี่ยนผ่านไปอย่างไร ในเคเบิ้ลมีรหัส แปลงเห็นเป็นภาพชัด นิ่ง-เลือน-และเคลื่อนไหว เราเก็บเราสะสม เพาะบ่มความคิด เธอว่าถูก-ผิด คิดเห็นเป็นอย่างไร เรารู้-ไม่รู้ เท็จจริง และลวง แต่เราก็ห่วง ห่วงประชาธิปไตย
วาดวลี
ทั้งที่แค่เป็นเวลาบ่าย แต่บ้านของเราไม่มีแสงแดด ก้อนเมฆหนาทึบขนาดมหึมาเคลื่อนเร็วเหมือนคลื่นน้ำ แผ่ความเย็นให้วันธรรมดาในฤดูฝนเย็น ให้จับใจขึ้นไปอีก   แน่นอนว่าคนใต้ฟ้าแถวบ้านฉันไม่ได้กลัวเปียก แต่พวกเขากลัวน้ำท่วม แม้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คนข้างบ้านฉันยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า “ที่นี่น้ำไม่ท่วม” เขาบอกว่าเราเป็นตำบลที่อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำปิงของเชียงใหม่และลำพูน โดยมีจุดชลประทานอยู่เหนือหมู่บ้าน มีประตูน้ำ ดังนั้นหากน้ำมามากเกินไป ก็จะมีการปิดประตูน้ำ ที่บอกว่ากักเก็บน้ำได้มากโข ความจริงฉันเชื่อในระบบชลประทานหมู่บ้าน…