Skip to main content

ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจ
อารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวล
เมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้าน

นวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย
“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”
“แม่เหรอ?”

ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊

ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก เธออมยิ้ม แล้วบอกว่าเดี๋ยวมา จากนั้นก็ปราดไปยังผู้หญิงวัยกลางคนที่ยืนพัดเหงื่ออยู่หน้าร้าน

นอกจากใบหน้าบึ้งตึงแล้ว ก็ยังมีแววตาหงุดหงิด
บนโต๊ะคิดเงิน  ประกอบด้วยแป้ง 1 กระป๋อง แชมพู น้ำมันหอย และผงชูรสถุงใหญ่
นวลกำลังจะคิดเงินให้เธอ แต่กลับปรากฏว่ารถเก๋งคันใหญ่ใหม่เอี่ยม จอดเทียบร้านระดับชิดทางเดินเข้าออก
“ไฮเนเก้น 2 ขวด น้ำแข็ง 5 บาท ขอด่วน”
เขาตะโกนเข้ามาโดยไม่ดับเครื่องยนต์ นวลจึงต้องปราดเข้าไปหยิบของให้ลูกค้าท่านนี้เสียก่อน รถคันใหญ่คับร้าน ชวนให้เกิดบรรยากาศเร่งเร้าอย่างบอกไม่ถูก

“เจ๊รอแป๊บนะ”
นวลหันไปบอกผู้หญิงหน้าฉุนคนนั้น เธอไม่สบตาเขา แต่อีกฝ่ายจ้องเขม็ง นวลคงรู้ตัวดี ทำให้พี่คนนั้นต้องรอ เธอพยายามจัดการลูกค้าในรถคันใหญ่ให้เสร็จก่อน

ทั้งวิ่ง ทั้งเดิน หยิบของใส่ถุง วิ่งไปส่ง รับเงินกลับมา วิ่งหาเงินทอน สิ่งที่นวลทำนั้นคงเป็นการลดน้ำหนักได้อย่างดี เพราะจากสาวน้อยร่างอวบ ผิวหน้าเปล่งปลั่งในวัยไม่ถึงยี่สิบปี ตอนนี้นวลผอมลง มีรูปทรงโค้งเว้า แต่งตัวทันสมัยกว่าเดิมมาก

ครั้งหนึ่งเคยเอ่ยปากชมว่า ชุดนวลสวยจัง เธอก็ตอบด้วยใบหน้าอิ่มเอิบว่า
“เขาบริจาคมาทั้งนั้นแหละ”
ไม่มีถ้อยคำใดแสดงถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ มีแต่ความปรีดาที่ได้เสื้อผ้าแบบใหม่ ทั้งยังไม่ต้องเสียเงิน พี่ผู้หญิงเจ้าของร้านนั่นเองที่คอยคัดเสื้อผ้าเหลือใช้มาให้ นวลใส่แล้วก็แทบจะสลัดคราบของสาวพม่าออกไปเกือบหมด เพราะนวลหน้าตาน่ารัก ขาดแต่ก็ไม่ได้แต่งหน้าทาปากแบบสาววัยรุ่นทั่วไป

นวลอาจจะคิดแบบนั้นหรือไม่ ฉันไม่รู้  
รู้เพียงแต่ว่าสำหรับบางคนแล้ว สิ่งที่นวลเป็น ไม่เคยสลัดออกไปได้ในทัศนคติของเขา

ผู้หญิงหน้าฉุนคนนั้น เอื้อมมือไปคว้าถุงพลาสติกขึ้นมา เขาจัดการคลี่ปากถุง แล้วหย่อนข้าวของที่เลือกลงไป

ขณะใส่ถุงเขาก็คิดเลขไปด้วย คิดออกมาดังๆ แล้วบวกเลขอย่างรวดเร็ว ฉันในฐานะผู้รอคอยจึงยืนมองไปด้วยใจที่คิดว่า ก็ดีเหมือนกันนะ ที่ลูกค้าจะหยิบของใส่ถุงเอง จะได้แบ่งเบาภาระนวลไปได้อีกทางหนึ่ง
แต่แท้จริงก็กลับไม่ใช่ เมื่อเธอพูดออกมาดังๆ ว่า
“ทำงานชักช้าจริง  หยิบใส่ถุงเองแล้วนะ”
น้ำเสียงนั้นห้วนสั้น อย่างคนหัวเสียทั่วไป นวลตะลีตะลานปราดเข้าไปหาทันทีที่จัดการธุระให้เจ้าของรถคันโตเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“โทษทีค่ะพี่ วันนี้ยุ่งจริงๆ” นวลเอ่ยปากพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“นี่นะของที่ซื้อ...”
หญิงรุ่นใหญ่ขยายปากถุง ชี้นิ้วไปที่ข้าวของทีละอย่าง คำนวณด้วยความชำนาญ
“แป้ง 12 แชมพู 15 ผงชูรส 15 น้ำมันหอย 22 รวมเป็น 48 บาท อ่ะ เอาเงินไป”
พูดเสร็จก็โยนแบงค์ 20 ออกมา 2 ใบ พร้อมเหรียญอีก 8 บาท เศษเหรียญเหล่านั้นกลิ้งหลุนๆ ไปตามโต๊ะ โดยมีนวลต้องคอยตะปบเก็บ

จากนั้น นวลปราดสายตามองข้าวของ แล้วเอื้อมไปคว้าเครื่องคิดเลข
“เอ่อ นวลขอคิดอีกรอบนะ”  ว่าแล้วก็คิดใหม่
“แป้ง 12 แชมพู 15 ผงชูรส 15 น้ำมันหอย 22 รวมแล้วมัน 64 บาทค่ะ”
ความรำคาญในสายตาถูกทอดโปรยไปยังนวล มองออกว่าเธอไม่พอใจนักหนา จากนั้นก็คว้าเงินกลับไปกำไว้ อีกมือก็ล้วงแบงค์จากกระเป๋ากางเกง
“อ่ะ งั้นก็เอาไป”
เธอโยนเงินลงไป แม้รู้ว่ามันไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะทาบลงกับผืนโต๊ะ
แบงค์สีแดงร่วงปลิวลงพื้น นวลรีบก้มลงไปเก็บ ใบหน้าเธอแทบจะชิดที่เท้าของเขาคนนั้น

เงยหน้าขึ้นมา ขยับจะกดเครื่องคิดเลขเพื่อคิดเงินทอน  เสียงดังอันห้วนสั้นและเต็มไปด้วยความฉุนเฉียวก็ดังไปทั่วร้าน
“แบงค์ร้อยบาท ซื้อ 64 ก็ทอน 36 ไงเธอ เอาแบงค์ยี่สิบมา 1 ใบ เหรียญสิบบาท 1 เหรียญ เหรียญบาทอีก 6  บาท! แค่นี้คิดไม่ออกหรือไง! ”

ฉันเพิ่งตระหนักในตอนนั้น ว่าความโกรธขึ้งนั้นร้อนกว่าแสงแดด การดูถูกนั้นหนาวกว่าสายฝน นวลพาใบหน้ายับๆ เดินกลับเข้าไปเอาเงินทอนจากด้านในร้าน เดินออกมายื่นให้ ผลก็คือคนรับกระชากไปแรงๆ เป็นฉากที่เห็นบ่อยๆ ในละครไทย แต่ไม่คิดว่านี่เป็นชีวิตจริง จากคนบ้านใกล้เรือนเคียง ในเมื่อคนซื้อของคนนั้น ก็เป็นคนขายลาบอยู่ไม่ไกลจากร้านนวลเท่าไหร่นัก

“ลังเก่าๆ รอแป๊บนะ เดี๋ยวนวลไปตามแม่ให้ว่าได้หรือยัง”
เธอส่งเสียงผ่านออกมาจากริมฝีปากที่สั่นระริก ฉันจึงเอื้อมมือไปแตะเบาๆ ที่แขนของเธอทีหนึ่ง
“ไม่ต้องรีบก็ได้นวล พักก่อน ท่าทางจะเหนื่อยมากนะนี่”
“ฮื่อ”

นวลตอบแค่นั้น แล้วก็ส่ายสายตาไปมา ดูว่าเหลือใครยืนรออีกไหม หรือมีอะไรค้างอยู่ ทุกวินาทีของเธอมีค่าในเวลารีบเร่ง แต่เมื่อเห็นว่าลูกค้าไปหมดแล้ว นวลก็ยืนถอนหายใจ เอื้อมมือเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาแตะพวงแก้มสีชมพูระเรื่อ พลางหางตาก็ยังแลไปทางคนที่เพิ่งจากไปตะกี้นี้
จับได้ว่ามือของเธอดูจะยังสั่นๆ

“แล้วตะกี้บอก แม่ไปเอาลัง คือแม่ใครหรือ” ฉันเปลี่ยนเรื่อง
ถามอย่างเกรงใจ หากนวลไม่ตอบก็ไม่ได้สำคัญอะไร นวลเอี้ยวตัวแทนคำพูด เรียกฉันเบาๆ
“มานี่”
ฉันเดินตามต้อยๆ ไป ยังคูหาที่อยู่ติดกัน ประตูเหล็กม้วนถูกเปิดขึ้นเพียงเล็กน้อย เป็นช่องเล็กๆ ที่พอจะมุดเข้าไปได้

นวลตะโกนเรียกดังๆ
“แม่”
ครู่หนึ่ง หญิงวัยกลางคนก็มุดออกจากโกดังมาพร้อมกล่องกระดาษที่ฉันสั่งเอาไว้ มองเห็นใบหน้าและรูปร่าง เขาคล้ายคลึงกับนวลแต่ก็ยังดูสาว
“นี่ไงแม่นวล”
“เอ่อ หมายถึงแม่จริงๆ มาจากโน่นเหรอ”
“ใช่”
นวลตอบเสียงดังฟังชัด แววตาเริ่มมีความสดชื่นขึ้นมาแทนที่
“นวลพาแม่มาทำงานด้วย เฮียขาดคนเช็คสต๊อก ตอนนี้ไม่เหงาแล้ว”
“ดีจัง”

ฉันพูดเผื่อแผ่ไปยังเจ้าของร้านด้วย ที่กรุณาเธอทั้งสองแม่ลูก ฉันเอ่ยสวัสดีคนเป็นแม่พร้อมรอยยิ้ม เธอมีแววตากลัวๆ แต่ก็ยิ้มตอบมาอย่างดี

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปก่อนนะ ค่ากล่องที่ให้เมื่อวานพอใช่ไหม”
“พอจ้ะพี่”
นวลตอบ แล้วปล่อยให้ฉันหยิบกล่องเหล่านั้นเพื่อเดินเอาไปใส่ที่รถ
แต่ก่อนจะก้าวขาออกมา มือแข็งๆ ของนวลก็เอื้อมมาแตะที่แขน
“เดี๋ยว...นวลอยากถาม...ว่า...”
น้ำเสียงนั้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม แบบที่ฉันเคยเห็นเมื่อแรกเจอกัน เด็กน้อยในโลกแปลกหน้า
มือของเธอสั่นๆ เบาๆ
“...อยากถามว่า คนตะกี้ที่เขาตะคอกกับขว้างเงินใส่นวล เขาทำเพราะเขารอนานหรือ...เพราะว่านวลเป็นพม่า...”
คำถามนั้นทำเอาฉันตอบอะไรไม่ถูก จึงได้แค่บอกไปว่า

“เขาคงโมโหมาจากบ้านมั้งนวล ช่างมันเถอะ อย่าไปคิดมาก ต้องเจอคนแปลกๆ อยู่แล้วนินา”
นวลคลายมือ ก่อนจะพยักหน้า

ฉันเป็นฝ่ายแตะแขนเธอกลับ จากนั้นก็ลากกล่องใบโตอุ้มเดินออกมา
วูบนั้น เมื่อหันกลับไปอีกครั้ง ในเปลวแดดที่ยังไม่ลดลา เหมือนจะเห็นบางอย่างอยู่ในดวงตาคู่นั้น
สิ่งที่เรียกว่าน้ำตา.

1

2

3

4

5

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
ความชื้นแฉะเหล่านั้นคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง หยดน้ำที่ทำให้พื้นดินที่สีดำขึ้นมากกว่าปกติ ดินที่นุ่มลง หญ้าที่ปกคลุมไปถ้วนทั่ว ฉันว่ามันชุ่มฉ่ำดีเหมือนกัน เมื่อฤดูฝนยาวกว่าที่เราคิด และปีนี้ ฝนก็ตกบ่อยกว่าปีที่ผ่านมา
วาดวลี
ท้องฟ้าอ้อยสร้อยแบบนั้นแหละ ที่คนแถวบ้านฉันรำพึงกันว่า เป็นความชุ่มฉ่ำต้อนรับเทศกาลเข้าพรรษา ฝนตกเอื่อยๆ พรมความชื้นไปทั่วถนนเล็กๆ ของหมู่บ้านเรา แต่ก็ไม่มีใครย่อท้อที่จะออกไปทำบุญ ดอกไม้ธูปเทียน อาหารคาวหวาน ข้าวตอกดอกไม้ คนข้างบ้านของฉันซึ่งเป็นครอบครัวที่ขยันทำงานไม่มีวันหยุด ก็ยังเอ่ยปากบอกว่า หยุดงานสักวันสองวันดีกว่า นอกจากไปทำบุญแล้ว ก็ยังได้หยุดอยู่บ้านกับครอบครัวอีกด้วย
วาดวลี
นานมาแล้วที่ฉันเคยได้ยินประโยคที่ว่า “แค่กระพริบตา โลกก็เปลี่ยน” แล้วเคยคิดเล่นๆ ว่า อะไรก็ตามที่เปลี่ยนไปแบบฉับพลัน หรือ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังนั้น คงไม่ได้เกิดบ่อยนัก และหากจะเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุ มีสัญญาณเตือนมาก่อน อยู่ที่เราจะสังเกตหรือไม่ก็เท่านั้น แต่สำหรับเรื่องของพี่ชาย พอจะทำให้ฉันเชื่อได้บ้างว่า กับเรื่องบางเรื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มีอะไรมาเตือนล่วงหน้า
วาดวลี
 “รักของพี่กับเขาเริ่มตรงนี้”ตรงที่พี่ชายพูด มันคือถนนเส้นหนึ่ง ที่ตัดผ่านกลางระหว่างคูเมืองด้านในของเชียงใหม่ ไปยังชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่ง รอบๆ ถนนมีอาหารพื้นเมืองขาย มีส้มตำ ไก่ย่าง ร้านรวง บริษัท รวมทั้งวัดเก่าแก่สวยงาม   ฉันก้มลงไปมองตามนิ้วชี้ของเขา ที่ตรงนั้น คือฝาท่อกลมๆ เก่าๆ ปิดรอยโหว่ขี้เหร่ของถนนเอาไว้“ตรงนี้น่ะหรือ จุดเริ่มต้นของความรัก”ฉันทำหน้าไม่อยากเชื่อ พี่ชายยิ้มที่มุมปาก แล้วพยักหน้า “มีอยู่วันหนึ่ง พี่มาก้มๆ เงยๆ ผูกเชือกรองเท้าตรงนี้ ว่าจะเดินไปเยี่ยมเพื่อนที่ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าข้างหน้านั่น ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา ผมยาว ผิวขาว หน้าตาก็ไม่สวยมาก…
วาดวลี
“บ้านพอมีที่เหลือว่างไหม” คนถามฉันเป็นชายหนุ่ม ที่นับนามว่าเป็น “เพื่อน” กัน มาได้ 4 ปีแล้ว ความจริง เขาเป็นเพื่อนของเพื่อน เมื่อรู้จักกันได้นับปี ก็ตัดสินใจได้ว่าเขาน่าจะเป็น “คนดี” พอในแบบที่ร้องขออะไร แล้วเราไม่กล้าที่จะไม่ให้ หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หรือลำบากใจกันจริงๆ มาครั้งนี้ บนถ้อยคำอาวรณ์ น้ำเสียงเขาหม่นเศร้า แววตาก็หม่นเศร้า เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ เช้าวันอาทิตย์ที่แสงแดดสายสาดส่องให้อบอุ่น บนฟ้ามีก้อนเมฆปุกปุยสีขาว ไหลไปมาบนพื้นสีคราม สวยยิ่งกว่าสวย แต่เขาคนนี้มีแววเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา
วาดวลี
 ๑. จะมี อะไรบ้าง ยั่งยืน ? กลางวัน กลางคืน แดด ฝน ลม หนาว มนุษย์ สมมุติ ชั่วคราว ว่าเรา ครอบครอง เพื่อ "ของเรา" ๒. ไยแย่งโอบกอดอนาคต แล้วเอ่ยกล่าวโทษวันเก่า ไยถก ไยเถียง เรื่องเงา ที่ลาลับ ล่วงกับ ดวงตะวัน 
วาดวลี
เชียงใหม่ในวันที่ฝนซา เพื่อนที่แวะมาเยี่ยมต่อสายบอกว่ากลับถึงบางกอกเรียบร้อยดีแล้ว เสียงอึกทึกครึกโครมที่รายล้อมตัวเธอบอกฉันว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพังขณะคุยโทรศัพท์ ฉันแซวเธอเล่นๆ ว่ากำลังอยู่ในถิ่นอโคจรหรือเปล่านะ ก็เราคุยกันแทบจะไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเพลง เสียงรถ และเสียงคนมากมายเธอหัวเราะชอบใจ แล้วตอบว่า "ใช่ ฉันอยู่ในถิ่นอะโคจร" แล้วย้อนสวนมาว่า"ก็ดีกว่าอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเธอ"ดอกหญ้าในสวนหลังบ้าน รกร้าง แต่ก็สวยงามในความรู้สึก 
วาดวลี
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปประเทศจีน เดินทางโดยยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ มันเป็นการเดินทางด้วยจิตใจและจินตนาการ เมื่อน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งของฉัน เธอเดินทางไปเป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ที่เมืองหนานหนิง มณฑลกวางสีตั้งแต่ 1 ปีที่แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะย่างครบ 1 ปี เธอบอกว่าคิดถึงเมืองไทยเป็นที่สุด และนับจากวันนี้ไปอีกแค่ 8 วันเท่านั้นเธอก็จะได้กลับมาเหยียบผืนดินไทยอีกครั้งแล้ว“ดีใจนะที่ปลอดภัย”จำได้ว่าเอ่ยกับเธอด้วยประโยคนี้ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศจีนไม่นาน ฉันนึกถึงใบหน้าของเธอ แก้มยุ้ยๆ  และแววตาวาบวับที่ระยิบระยับเสมอ…
วาดวลี
"เธอว่าเราจะไปไหน ?"ฉันถาม แล้วก็ก้าวขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ โดยไม่รอคำตอบมาถึง เสียงติดเครื่องของรถคันเก่าดั่งกระหึ่ม ยามบ่ายๆ ของวันหยุดที่เราควรจะได้เดินทางบ้าง แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ หรือยามว่างอันน้อยนิด ฉันอยากออกไปสูดอากาศ ส่วนเธออยากขี่รถเล่นเงยหน้ามองท้องฟ้า วันนี้ไม่มีฝน แม้จะไม่มีแดด แต่ก้อนเมฆยามบ่ายขับเคลื่อนราวว่า อีกนานกว่าพายุจะคลุมเมืองไว้อีกครั้ง
วาดวลี
ท้องฟ้าในเมืองของเรายังสวยเสมอ โดยเฉพาะยามที่เพื่อนเก่าของฉันรีบจอดจักรยานไว้ข้างตลาด แล้วเดินเข้ามาจับมือ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางทิศตะวันตก ก้อนเมฆพวกนั้นเลื้อยตัวมากอดภูเขาเอาไว้ มองไกลๆ เหมือนใครเอาผ้าขนหนูสีขาวนุ่มๆ ไปพันทิ้งไว้(เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก)
วาดวลี
ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ฉันและแม่มีกฎร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งว่า หากไปเยี่ยมบ้านใครแล้วเขาให้ขนมกิน ก็ให้ยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องรับไปเสียทั้งหมด แม่เคยเปรยๆ ว่า ถึงครอบครัวเราจะยากจนแต่แม่สามารถทำอาหารอร่อยๆ ให้กินได้ทุกมื้อ อีกอย่างก็คือบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจทำเผื่อเราหรอก แต่เป็นการให้โดยมารยาทเท่านั้น หากรับไว้เสียหมดก็กลายเป็นการรบกวนเขาไปก็เป็นได้แม้แม่จะบอกแบบนี้ แต่ฉันและแม่ก็รู้ดีว่า ผู้คนรอบตัวที่ใจดีมีน้ำใจกับเรานั้นมีมากมายเพียงใด พ่อเล่าว่าฉันเป็นเด็กอ้วนแก้มยุ้ย ใครเห็นก็เอ็นดู มักเรียกให้ไปกินขนมอยู่ร่ำไป ดังนั้นข้อตกลงของฉันกับแม่ จึงกลายเป็นว่า หากมีคนยื่นให้…
วาดวลี
ฝนยังโปรยลงมาไม่ขาดสาย แม้จะเพิ่งผ่านเดือนเมษายนมาได้ไม่เท่าไหร่  ท้องทุ่งฉ่ำไปด้วยฝนและดูจะมากไปจนน่าวิตก ลานกว้างหน้าบ้านของยายปลีวันนี้จึงไม่มีเด็กๆ มาวิ่งเล่น แต่หลบฝนกันไปวาดรูปเล่นอยู่ตรงชานเรือน หลานอีกคนทำหน้าตาเบื่อเพราะอยากออกไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อน นี่เป็นวันธรรมดาที่อาจมีทั้งความหมายหรือไม่มี สำหรับยายปลี เพราะหลังจากแกเก็บผ้าเข้าไปตากใต้ยุ้งข้าวเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมานั่งอยู่ประจำที่ อยู่กับเครื่องทอด้ายแบบสมัยโบราณ มันทำจากไม้ และไม่รู้ว่ามันมีอายุมาแล้วเท่าไหร่