Skip to main content

ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ฉันและแม่มีกฎร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งว่า หากไปเยี่ยมบ้านใครแล้วเขาให้ขนมกิน ก็ให้ยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องรับไปเสียทั้งหมด แม่เคยเปรยๆ ว่า ถึงครอบครัวเราจะยากจนแต่แม่สามารถทำอาหารอร่อยๆ ให้กินได้ทุกมื้อ อีกอย่างก็คือบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจทำเผื่อเราหรอก แต่เป็นการให้โดยมารยาทเท่านั้น หากรับไว้เสียหมดก็กลายเป็นการรบกวนเขาไปก็เป็นได้

แม้แม่จะบอกแบบนี้ แต่ฉันและแม่ก็รู้ดีว่า ผู้คนรอบตัวที่ใจดีมีน้ำใจกับเรานั้นมีมากมายเพียงใด พ่อเล่าว่าฉันเป็นเด็กอ้วนแก้มยุ้ย ใครเห็นก็เอ็นดู มักเรียกให้ไปกินขนมอยู่ร่ำไป ดังนั้นข้อตกลงของฉันกับแม่ จึงกลายเป็นว่า หากมีคนยื่นให้ ฉันจะยังไม่รับเอาไว้ จนกว่าจะหันไปมองเห็นแม่พยักหน้าน้อยๆ ว่าเป็นอันตกลง ฉันถึงจะยอมรับข้อเสนอ

โชคดีที่ฉันไม่ค่อยออกไปเที่ยวเล่นบ้านคนอื่นมากนัก มีแต่เพื่อนๆ ที่ชอบมาเล่นที่บ้านของฉันมาก บ้านของฉันติดแม่น้ำ เราสนุกกับการทำเรือกระดาษแล้วแข่งกันลอย ตรงลานบ้านก็มีไว้ให้วาดรูป พ่อแม่ใจดีมีกระดาษให้เราวาดรูป ดินสอ ที่หักแบ่งกัน และนิทานที่พ่อไปยืมมาจากวัด โลกของเด็กๆ ที่เราเคยคิดว่าอิสรเสรี แอบทำนั่นนี่โดยไม่ให้ใครเห็น พอถึงตอนโตกลับต้องมานั่งหัวเราะ ที่พวกผู้ใหญ่เขารับรู้ตลอดว่าเราทำอะไร เช่น แอบเอาชุดกระโปรงของแม่มาสวม  แอบเอาผ้าขาวม้าของพ่อมาขึงทำเป็นฉากลิเก

ฉับทบทวนเรื่องเหล่านี้ทีไร ก็มีแต่แอบยิ้ม ยกเว้นก็เพียงเรื่องเดียว คือเรื่องของยายน้อย

……

ยายน้อยเป็นผู้ใหญ่ข้างบ้าน แกเป็นแม่หม้ายที่สามีหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ บางครั้งฉันได้ยินคนเขาเล่าว่า สามียายน้อยในอดีตคือพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ ถูกจับติดคุกตลอดชีวิต เขาจึงไม่สามารถกลับมาบ้านได้อีกแล้ว บางคนก็เล่าว่าเขาถูกรถชนตาย บางคนก็บอกว่าเขาหนีไปอยู่กับภรรยาใหม่ เรื่องเล่าเหล่านี้เป็นความลับสำหรับเราเสมอมา และก็ไม่เคยมีใครกล้าถามยายน้อยตรงๆ รับรู้เพียงแต่ว่าแกใช้ชีวิตอยู่กับลูกๆ อีก 3 คน โดยไม่ลำบากนัก ในบ้านหลังใหญ่ เนื้อที่กว้างขวาง พร้อมสมบัติพัสถานมากมาย บ้านยายน้อยมีรั้วกั้นทุกด้าน แต่ก็ใช่ว่าใครจะแอบเข้าไปไม่ได้

ยายน้อยเป็นคนดุไหม ฉันก็ตอบไม่ถูก เพียงแต่แกมีสีหน้าที่เย็นชา หัวเราะยาก ยามยิ้มก็เป็นการยิ้มที่ทำให้ขนลุก ไม่เหมือนยิ้มของคนใจดี นอกจากนี้เวลายายน้อยเดินเข้าบ้านมาทีไร ก็เป็นเรื่องไม่ค่อยดีนัก เป็นต้นว่า แกมาตามหาหลานสาวตัวเล็กๆ แน่นอนว่าเธอแอบมาเล่นที่บ้านของฉันนั่นเอง

“กลับได้แล้วหนุ่ย บ้านเรามีของเล่นเยอะแยะ” แกเรียกหลานด้วยเสียงเย็นๆ
“หนุ่ยไม่กลับ หนุ่ยจะเล่นกับพี่ๆ” หนุ่ยเถียงแกเสมอ อย่างที่คนอื่นไม่กล้าเถียง

แล้วก็ได้ผลทุกครั้ง แกได้แต่ถอนหายใจ แสดงออกว่าแกรักหลานของแกมาก ฉันเพิ่งมารู้ตอนหลังว่า ลูกๆ ของยายน้อยย้ายไปแต่งงานมีครอบครัวที่อื่นหมดแล้ว ทิ้งไว้ก็เพียงแต่หลานตัวเล็กๆ ให้แกเลี้ยงดูและอยู่เป็นเพื่อน

หนุ่ยเป็นเด็กที่มีชีวิตพิเศษ มีของเล่นราคาแพง มีอุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียนใหม่เสมอ แต่มีเพียงอย่างเดียวที่ฉันเคยนึกอิจฉา ก็คือหนุ่ยมีกีตาร์เล่นเป็นของตัวเอง ส่วนฉันแม้อยากฝึกเพียงใดก็ไม่สามารถจะหามาเล่นได้ ฉันกับหนุ่ยเป็นเพื่อนเล่นต่างวัยกัน ในขณะที่หน้าตาของหนุ่ยดูใคร่ไม่ค่อยมีความสุขนัก จำได้ว่าเย็นวันหนึ่ง หนุ่ยมาเล่นวาดรูปที่บ้านฉันแล้วไม่ยอมกลับ ยายน้อยก็ถึงกลับขึ้นเสียง
“ต่อไปอย่ามาทีนี่อีก”

ฉันไม่เข้าใจเหตุผลของแกหรอก แต่นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา พ่อแม่ของเราก็ดูเหมือนจะมีกำแพงต่อกันไปด้วย ถ้าไม่จำเป็นอย่าข้ามถนนไปฝั่งบ้านเขา พ่อไม่อยากให้มองหน้ากันไม่ติด ส่วนน้องหนุ่ย ก็ได้ยินเสียงแกร้องไห้โวยวายอยู่ทุกวัน พร้อมกับโดนตีหากเป็นเด็กดื้อ จากที่เคยสนิทกับ ฉันกับหนุ่ยจึงห่างกันออกไปมากขึ้น วันหนึ่งหนุ่ยก็หายไปจากบ้าน ยายน้อยบอกฉันว่า
“เขาไปเยี่ยมพ่อแม่ คงจะได้เรียนในเมือง จะได้เก่งๆ มีอนาคต”

เขาบอกกับฉันพร้อมรอยยิ้มที่ยิ้มได้แค่ครู่เดียว ตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่เคยเห็นแกยิ้มอีกเลย ยิ้มในแบบเดียวกับพ่อแม่ของฉันและคนอื่นๆ ยิ้ม

.....................

แต่ไม่นานจากนั้น กำแพงระหว่างฉันกับยายน้อยก็เหมือนจะทลายลงไปบ้าง จากการที่แม่ของฉันตายจากไป แกเดินเข้าบ้านมา ยื่นซองสีขาวให้ซองหนึ่ง ในนั้นเป็นเงินทำบุญ ฉันรับไว้พร้อมยกมือไหว้ วูบนั้นฉันเห็น แววตาของยายน้อยที่แสดงความเอ็นดูและเสียใจ

น่าเสียดายที่จากนั้นไม่นาน ฉันก็ออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น นานๆ ครั้งเมื่อกลับบ้าน เราต่างเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นเคย เจอกันยิ้มทักทายกันบ้าง ทักทายกันเวลาเดินสวน ผ่านหน้าบ้าน  แต่ก็มีเพียงแค่นั้น ไม่เคยเลยสักครั้งที่ยายน้อยจะเดินมาเยี่ยมที่บ้าน หรือ พูดคุยสารทุกข์สุขดิบเช่นคนอื่นๆ

ยกเว้นก็เสียแต่วันนี้

บ้านของฉันมีโอกาสต้อนรับยายน้อย แกสวมเสื้อสีน้ำตาล ผ้าถุงลายเถาวัลย์ที่มีใบไม้เล็กๆ เกี่ยวอยู่รอบตัว แกไม่ได้เดินมามือเปล่า มีแกงอะไรสักอย่างอยู่ในชามใบใหญ่ ริ้วรอยความแก่ชราทำให้ฉันเผลอเห็นรอยยิ้มนั้น ไม่ต่างไปจากรอยยิ้มของคนแก่เฒ่าคนอื่นที่เอ็นดูเด็กๆ

ต่างก็เพียงมันเป็นรอยยิ้มที่โศกเศร้า
“ยายทำแกงขนุนมาให้ชิม”
แกบอกกับฉันแบบนี้ ในวันที่ไม่มีแม่คอยพยักหน้าให้รับ ฉันยื่นมือออกไปรับไว้ และวางลงข้างๆ ยอมรับว่าใจเต้นตึกตัก ภาพในอดีตย้อนมาชวนให้อ่อนไหว ฉันกล่าวขอบคุณ และแสดงท่าทางอยากชิมแกงหม้อนั้นเร็วๆ

“ยายทำเองเหรอ”
“ใช่สิ ยังแข็งแรงอยู่นะ” แกหัวเราะน้อยๆ พร้อมนั่งลงบนเสื่อ ตาของพ่อฉันแอบมองมาเป็นระยะๆ คราวนี้ แววตาพ่อดูเหมือนจะเข้าใจแกมากไปกว่าเสียทุกครั้งด้วยซ้ำ
“กินเลยไหม หิวก็กินเลยลูก มาเหนื่อยๆ ข้าวปลายังไม่ได้กินนินา”
“เดี๋ยวค่อยกินก็ได้ค่ะ ยายสบายดีเหรอ สงกรานต์นี้ลูกๆ มากันเยอะไหมคะ”
ฉันถามไปตามประสา พ่อส่งสายตาบางอย่างมาให้ ยายน้อยยกมือเหี่ยวย่นขึ้นลูบบนใบหน้า จากนั้นฉันก็ต้องตกใจเมื่อเห็นแกโผเข้ามากอดฉันเอาไว้

น้ำตาหยดลงบนชามแกง เรื่องจริงหรือเท็จ ฉันไม่อาจทราบได้ รู้แต่แกกอดฉันแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเขามา มากันเกือบทุกคน แต่มาโดยไม่มีชีวิต เขาตายกันหมดแล้ว”
ยายน้อยตอบเสียงสั่นๆ ฉันอ้าปากค้าง พ่อช่วยเล่าสั้นๆ เพื่อไม่ให้ยายน้อยต้องสะเทือนใจว่า ผ่านไปนับหลายปีนี้ ลูกหลานแกไม่มาเยี่ยมบ้าน เพิ่งได้ข่าวในปีนี้ว่า จะพาหลานๆ กลับมาเยี่ยมในช่วงสงกรานต์

ยายน้อยตื่นแต่เช้า หุงข้าว เตรียมสำรับ ซักผ้า ถางหญ้า ถูบ้าน ไว้ต้อนรับทุกคน พร้อมใส่เสื้อผ้าใหม่ แต่แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาแจ้งแกที่บ้านว่า รถคันนั้นประสบอุบัติเหตุ ทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส

บ้านหลังนั้นมีโอกาสต้อนรับโลงศพจำนวนหลายใบ ในวันขึ้นปีใหม่

“ยายไม่มีหลานอีกแล้ว ไม่มีแล้ว...”
ยายน้อยคร่ำครวญ ผละจากการกอดฉันแล้วก็ยังจับมือเอาไว้ สิ่งที่อยู่ในน้ำตาและเสียงร้องไห้ มีคำถามและเรื่องราวมากมายที่ต่อให้โลกทั้งโลกผ่านไปนานกว่านี้ เราก็ไม่มีวันเข้าใจ

ฉันกลั้นน้ำตา ลูบบนหลังมือเหี่ยวย่นนั้นเบาๆ
“คิดว่าหลานยังอยู่กับเราใกล้ๆ ก็ได้ค่ะยาย ถ้าอยู่ตรงนี้ยายจะทำอะไรบ้างล่ะ”
“ก็ทำขนมหวานให้กินนะ ยายจะพามาเล่นที่นี่บ่อยๆ จะให้เอากีตาร์มายืมทุกวันเลย ถ้าหนูอยากเล่น”

บางครั้ง อดีตเป็นความหอมหวานมากกว่าปัจจุบันกระมัง สำหรับยายน้อย ความทรงจำได้โอบอุ้มชีวิตที่สวยงามของแกเอาไว้ในเวลานี้ หลายวันที่ฉันอยู่ที่บ้าน มีโอกาสได้รับอาหาร ขนม จากยายน้อยแทบจะทุกมื้อ
ฉันคิดถึงแม่ ทุกครั้งที่เอื้อมมือไปรับสิ่งเหล่านั้น พลางคิดว่า แม่คงไม่ตำหนิอีกต่อไปแล้ว หากฉันจะปล่อยให้หญิงชราผู้นี้ลงมือทำอาหารทุกวันอย่างเหน็ดเหนื่อย  สิ้นเปลืองไปกับสิ่งที่มากเกินกว่าแกคนเดียวจะกินจะใช้

และฉันเพิ่งเข้าใจในวันนี้เอง ว่าการหยิบยื่นให้เราสำหรับคนบางคนนั้น เขามีความสุขกับสิ่งที่เขาได้รับ มากกว่าที่เราเห็น

มากมายนัก.

...................

หมายเหตุ : ภาพชุดนี้อาจไม่เกี่ยวกับในเรื่องโดยตรง แต่ได้ภาพมาจากการทำบุญเวียนเทียนค่ะ

 

20080521 บางอย่างเผาไหม้ เพื่อส่งไปถึง
บางอย่างเผาไหม้ เพื่อส่งไปถึง

20080521 ตัวแทนของการคารวะแห่งจิตวิญญาณ
ตัวแทนของการคารวะแห่งจิตวิญญาณ
20080521 ภาพอันคุ้นตา และสาระอันคุ้นใจ
ภาพอันคุ้นตา และสาระอันคุ้นใจ
20080521 (4)
20080521 (5)
20080521 (6)




บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ได้กินเห็ดถอบหรือยังลูก"คำถามแรกจากหญิงวัยใกล้ชราซึ่งเอื้อนเอ่ยแข่งกับเสียงฝนตกเปาะแปะอยู่นอกชานเรือน เธอเป็นแม่คนที่สองของฉัน ที่รักใคร่เอ็นดูเหมือนแม่แท้ๆ กวักมือเรียกให้ไปช่วยดาขันโตก แม้ฉันจะทำท่าแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไปเยือนบ้านเกิดวันนี้ตั้งใจจะไปกินข้าวมื้อกลางวันกับพ่อ แต่ทำยังไงได้ในเมื่ออาหารการกินสำรับเตรียมไว้เพียบพร้อม ฉันนึกถึงคำของแม่แท้ๆ ที่บอกว่าถ้าผู้ใหญ่ชวนทานข้าว ก็อย่าได้ทำให้เขาเสียใจ
วาดวลี
  1."ผมชอบรถคันนั้นจริงๆ"เพื่อนชายวัย 33 ปีของฉันบอก หลังจากนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นานหลายชั่วโมง ภาพเวบไซต์แห่งหนึ่งปรากฏภาพรถคันเล็กๆ สีขาวทั้งคัน เป็นรถเฟี๊ยสที่ฉันจำปี พ.ศ.และรุ่นไม่ได้ รู้แต่ว่ามันน่าจะมีอายุเกือบเท่าๆ เขาด้วยซ้ำ
วาดวลี
  ท้องทุ่งแห่งความทรงจำ มีกลิ่นอบอวลด้วยดอกไม้ ทุ่งหญ้า และกลิ่นชื้นของที่ดินริมแม่น้ำ พ่อของฉันตื่นนอนก่อนลูกๆ ในเช้าก่อนวันสงกรานต์ เขาส่งเสียงร้องเอื้อนเอ่ยเป็นทำนองของค่าวซอบนเก้าอี้ไม้ หันหน้าไปหาแม่น้ำและดวงอาทิตย์ ในมือถือกระดาษมีเส้น บรรจุตัวอักษรที่เขาเขียนแต่งขึ้นมาเอง และเนื้อหาในนั้นก็กำลังกล่าวถึงวันคืนของปีเก่าที่ผ่านไปและปีใหม่เมือง ที่กำลังจะมา
วาดวลี
"บนท้องฟ้านั้นมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง"  ฉันไม่รู้ว่าจำประโยคนี้มาจากไหน  แล้วก็มีคนเคยเห็นด้วยอย่างปักใจว่าบางทีท้องฟ้าก็โกหกเราได้  สีฟ้าแบบนี้ไม่ควรจะมีฝน  ประกายสีส้มจากดวงตะวันแบบนั้น  มองเผินๆ  คล้ายเตือนว่าพายุจะมา  แต่สุดท้ายก็เหลือแค่อากาศร้อนอบอ้าว
วาดวลี
 
วาดวลี
   ๑.หัวเราะกับความแยบยลของชีวิตที่บางครั้งตกหลุมพรางความหยาบกระด้างเมื่อรู้สึกได้กับความละเอียดอ่อนก็เห็นค่าจนไม่อยากจะสูญเสีย
วาดวลี
 ฉันนั่งมองกลีบดอกไม้สีชมพูที่หน้าตาเหมือนๆ กัน ผ่านทางกระจกรถ ขณะคิดในใจว่า เดือนกุมภาพันธ์ที่ฉันรักได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เดือนที่อากาศเย็นแสนทรมานจะค่อยๆ คลายตัวลงเป็นเย็นสบายกำลังดี ดอกไม้สีเหลือง สีขาว สีส้ม และสีชมพูจะบานสะพรั่งเต็มต้น เรียงรายตลอดถนน แสงแดดเช้าและบ่ายนั้นสวยงาม เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่โปร่งใส มีก้อนเมฆสีขาวฟูฟ่องลอยไปมาแต่ความเป็นจริงเวลานี้คือวิทยุกำลังประกาศซ้ำๆ เรื่องมลภาวะเป็นพิษเพราะหมอกควัน และเน้นย้ำให้เราป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น
วาดวลี
ชายชรายิ้มหวานให้ฉัน ทันทีที่เขารู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว ยิ้มบนริมฝีปากเบี้ยวๆ หนังตากระตุก ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่ฉันรู้สึกได้ในตอนนั้นว่าเป็นยิ้มที่แสนหวานกว่าใครๆ ทีเดียว และเชื่อว่าเป็นยิ้มแรกของวันนี้ก่อนหน้านี้หลายนาที เขาพาตาช้ำๆ ย่างก้าวมาอย่างเซๆ ออกจากห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ตอนที่เจอกันฉันยกมือไหว้ สวมกอดเขาหลวมๆ พาเขาไปนั่งลงตรงระเบียง เขาพยายามสื่อสารทั้งที่อาการไม่หายดีนัก เขาเล่าว่าวันนี้ตื่นแต่เช้ามืดเช่นทุกวัน นึ่งข้าวทิ้งไว้แล้วก็มาบริหารร่างกาย จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ แล้วจบท้ายที่การบริหารอีกรอบ แต่อยู่ๆ แขนขาซีกหนึ่งก็ไม่มีแรง เบานุ่นเหมือนสำลี…
วาดวลี
“จะทำอะไรบ้างคะน้อง...” พี่ช่างผมคนใหม่ยิ้มกริ่ม เมื่อต้อนรับลูกค้าอย่างฉันแล้วพาไปนอนบนเปลสระผมในบ่ายแก่ๆ ของวันหยุด ฉันยิ้มให้เขา หยุดคิดในใจนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบไปเบาๆ ว่า “ช่วยตัดเล็มปลายผมแค่นั้นก็พอค่ะ” “แล้วสระกับไดร์ด้วยไหม” ฉันพยักหน้า เธอตอบรับด้วยท่าทางคล่องแคล่ว จากนั้นก็โน้มศีรษะฉันให้ลงพอดีกับอ่าง เปิดน้ำจากสายยางเย็นเจี๊ยบราดรดลงไปบนศีรษะ เธอจับเส้นผมฉันเบาๆ อย่างเกรงใจ แล้วกระซิบมาข้างๆ หู “ถ้าแรงไปก็บอกนะ พี่มักจะเผลอตัว ถ้าไม่ให้นวดหัวก็บอกได้”
วาดวลี
"ยี่เป็ง” เป็นชื่อแมวของฉันเอง ซึ่งตั้งให้แมวตัวสีขาวลายสีเทา ทรงหน้าเหลี่ยม หางกุด ตัวเท่ากำปั้น ที่กระโดดขึ้นมาอยู่บนตักขณะกินจิ้มจุ่มในวันลอยกระทงเมื่อ 2 ปีก่อน และจากนั้นมาอีก 1 ชั่วโมง ฉันก็ถามตัวเองอีกครั้งว่า เราจะมีลูกแมวเลี้ยงเพิ่มอีกหนึ่งตัวหรือนี่ ทั้งที่การมีแมวแสนไฮเปอร์ชื่อ “พี่แม้ว” แค่ตัวเดียวนั้นยังรับมือแทบจะไม่ไหว แต่นั่นเป็นการถามตัวเองเมื่อกลับมาถึงบ้านโดยมียี่เป็งในอ้อมแขน
วาดวลี
ในฐานะที่ต้นพืชต้นนี้ถูกฉันเรียกว่าเป็น “ถั่ววิเศษ” หากมันพูดได้ มันคงสงสัยในตัวฉันว่า จะคอยจับจ้องมันไปถึงไหน ทั้งเช้าทั้งเย็น นอกจากวนเวียนรดน้ำแล้วก็ยังแอบถ่ายรูป สังเกตสังกา พาเพื่อนมาชมแปลงถั่ว เฝ้าจับจ้องแมลงตัวน้อยนิดที่บินมาเกาะ มากัดกิน พลางครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้กิ่งใบของมันเสียหายก่อนเวลาอันสมควร ถั่ววิเศษอาจกำลังสอนฉันว่า อย่าคาดหวังในตัวมันมากเกินไปกระมัง ในแปลงผักแปลงเดียว เมล็ดพันธุ์ที่หยอดหว่านลงไปนั้น กำลังเติบโตได้อย่างแตกต่างกัน บางต้น อวบอิ่ม สีเขียวสด ยืดลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 10 เซนติเมตรได้ ขยายใบเล็กๆ นั้นกลายเป็นใบกว้าง เติบใหญ่อย่างมีสุขภาพดี
วาดวลี
  ปีนี้ฉันได้ของขวัญปีใหม่เป็นเมล็ดถั่วมันเป็นเมล็ดแห้งๆ ที่นอนเรียงตัวอยู่ในฝักสีน้ำตาล ห่อมาในถุงพลาสติกใช้แล้วยับยู่ยี่ คนที่ยื่นให้บอกฉันว่าด้วยแววตาล้อเลียนว่า "มันเป็นถั่ววิเศษ"