Skip to main content

“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”

ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่

............

ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต

จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ เป็นความอ้างว้างที่สุดเท่าที่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต

อ้างว้างเสียจนกระทั่งพ่อเองก็ไม่อยากอยู่บ้าน  เขาพาฉันนั่งรถไปเยี่ยมพี่ชายที่ต่างอำเภอ แล้วพูดจาชักชวนพี่ชายให้กลับบ้าน ชายหนุ่มตัวเล็กยืนยันเวลานั้นว่า เขากำลังสร้างครอบครัวที่นี่  ผืนดินที่เหยียบอยู่เป็นเมืองแปลกหน้าในอดีต แต่ปัจจุบันนั่นคือบ้านของเขา

เราสองคนพ่อลูกนั่งรถกลับมายังบ้านหลังเดิม คืนนั้น ต่างคนต่างหลับ อยู่กับความเงียบของคืนข้างแรม บนท้องฟ้ามีดาวพราวพราย แต่ฉันเห็นน้ำตาของพ่อซึมไหลผ่านใบหน้าเหี่ยวย่น

เขาคิดอะไร ฉันไม่รู้ เพียงแต่ในเวลาต่อมาไม่นาน พ่อก็พาใครคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้าน บอกสั้นๆว่าจะแต่งงาน ฉันย้อนคิดภาพเหล่านั้นอยู่เสมอๆ และน่าจะเป็นคำตอบได้ว่า พ่อคงไม่อยากย้ายไปไหนแล้ว  ฉันจึงไม่ได้ถามพ่ออีก

จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาเองต้องเป็นฝ่ายยืนส่งฉันหน้าบ้าน โบกมือและรับไหว้

“ทุกคนมีวิถีของตนเอง” เขาบอกเมื่อฉันกลายร่างเป็นนกอีกตัว ที่ต้องจรจากหมู่บ้านไป เขาปล่อยฉันหอบเสื้อผ้าไปอย่างเงียบๆ ในกระเป๋ามีเสื้อผ้า 2 ชุด สมุดบันทึก หนังสือ 2 เล่มกับเงินนิดหน่อย

ฉันเดินทางไปหาพี่สาวที่กรุงเทพฯ ไม่รู้อนาคตล่วงหน้า ไปเพื่อเรียนต่อ หางานทำ หรือแสวงหาใครสักคนในชีวิต ฉันไม่รู้

รู้เพียงเวลาต่อมา จวบจนบัดนี้ ฉันคือคนที่ยังไม่ได้กลับบ้าน พเนจรไปอาศัยตรงนั้น ตรงนี้ ข้ามเมืองหลวง กลับมาเมืองเดิม แต่ก็ยังไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อหรือทดแทนคืนวันที่ขาดหาย

“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”

ฉันกลับมาถามเขาอีกครั้ง ตราชั่งความคิดกำลังทำงาน ระหว่างต่างคนต่างไป กับ การใช้ชีวิตร่วมกัน เมื่อตระหนักว่าชายชราตรงหน้า  มีร่างกายร่วงโรยตามสังขาร มีความอ่อนไหวเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคน ฉันควรกลับมาหาเขา หรือ ไม่ เขาก็ควรไปอยู่กับฉัน

ผิดก็เสียแต่ว่าฉันยังไม่มีบ้านของตัวเอง

การย้ายบ้านครั้งนี้ก็เพียงไปขอเช่าที่สวนกับบ้านร้างเก่าๆ หลังหนึ่งไว้อยู่อาศัย ความรู้สึกผิดบางอย่างยังวูบไหวมาเป็นระยะ เมื่อคิดว่าการดิ้นรนนั้นทำเพื่อตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ฉันอยากถามเขาอีกครั้ง หากฉันมีบ้านของตัวเอง เขาจะมาอยู่กับฉันไหม

ชายชราหัวเราะหึๆ มาตามสายโทรศัพท์ เขาบอกแต่ว่าจะฝากผ้ายันต์ติดเสาบ้านมาให้ เป็นของขวัญบ้านหลังใหม่
“แก่ๆ ก็มาอยู่ด้วยกันนะ”

ฉันลองเกริ่นไปแบบนั้น ชายชราหัวเราะอีก นึกทบทวนไปยังพื้นที่รอบบ้านของพ่อ เขามีเพื่อนที่ผูกพันกันมา มีกิจกรรมในชุมชน เขาปลูกสมุนไพร ทำยาบดเพื่อแจกจ่ายชาวบ้าน เป็นคนประกอบพิธีกรรมศาสนาและเขียนบทกวีเกี่ยวกับคนตาย เพื่ออ่านในงานศพ

การพรากเขาจากที่นั่นมา คงเป็นเรื่องไม่เข้าท่า ฉันจึงกระอักกระอ่วน ที่จะบอกพ่อไปว่า
“คงยังไม่ได้กลับไปอยู่บ้านหรอกนะ”
“หา..อะไรนะ..”

ใช่แล้ว เขาหูไม่ดี ฟังอะไรไม่ถนัด ฉันพูดดังๆ อีกรอบ จนแทบเป็นตะโกน แต่สุดท้าย ชายชราก็หัวเราะเสียงดัง
“ได้ยินแล้ว ตะกี้ไม่ได้ยินจริงๆ ตอนนี้แกล้งไม่ได้ยิน”
“อ้าว พ่อนี่ แล้วที่ถามตอนแรกได้ยินไหม”

ฉันยังนึกถึงประโยคนั้น เขาคิดจะย้ายจากที่นั่นมาอยู่กับฉันไหม ชายชราผู้รู้ทันเอ่ยกับฉันเบาๆว่า

“อยากอยู่ที่ไหนก็อยู่ไปเถิดลูก อย่าไปคิดมาก แต่ก่อนพ่อก็ไม่ใช่คนบ้านนี้ ปู่ทวดเราก็ไม่ใช่คนที่นี่ เราต่างย้ายมากันทั้งนั้น ข้ามภูเขาเป็นลูกๆ มาตั้งรกราก นกยังอพยพข้ามประเทศมาเลย อยู่ที่ไหนที่ใจมีสุขก็พอ ไม่ต้องกังวลว่ามันไม่ใช่บ้านเกิด”
เขาพูดอย่างช้าๆ ส่วนฉันก็นิ่งเพื่อตั้งใจฟัง น้ำเสียงที่ยังคงท่วงทำนองการพูดอันคุ้นเคยเหมือนในอดีต

ฉันเผลอยิ้มให้กับประโยคเหล่านั้น ก่อนจะเอ่ยสวัสดีและล่ำลากัน
ได้ยินแว่วๆ มาในประโยคสุดท้าย ที่ชายชราบอกไว้ว่า
“ไว้แก่กว่านี้พ่อจะค่อยคิดใหม่ ว่าจะย้ายไปไหนอีกหรือเปล่า”

* หมายเหตุ ขอบคุณภาพลำดับ 6 นกเขาคู่รักหลังหลังตึกและต้นสักในเมืองใหญ่  จากคุณปิยนาถ ประยูร

001

002

003

004

005

006

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ได้กินเห็ดถอบหรือยังลูก"คำถามแรกจากหญิงวัยใกล้ชราซึ่งเอื้อนเอ่ยแข่งกับเสียงฝนตกเปาะแปะอยู่นอกชานเรือน เธอเป็นแม่คนที่สองของฉัน ที่รักใคร่เอ็นดูเหมือนแม่แท้ๆ กวักมือเรียกให้ไปช่วยดาขันโตก แม้ฉันจะทำท่าแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไปเยือนบ้านเกิดวันนี้ตั้งใจจะไปกินข้าวมื้อกลางวันกับพ่อ แต่ทำยังไงได้ในเมื่ออาหารการกินสำรับเตรียมไว้เพียบพร้อม ฉันนึกถึงคำของแม่แท้ๆ ที่บอกว่าถ้าผู้ใหญ่ชวนทานข้าว ก็อย่าได้ทำให้เขาเสียใจ
วาดวลี
  1."ผมชอบรถคันนั้นจริงๆ"เพื่อนชายวัย 33 ปีของฉันบอก หลังจากนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นานหลายชั่วโมง ภาพเวบไซต์แห่งหนึ่งปรากฏภาพรถคันเล็กๆ สีขาวทั้งคัน เป็นรถเฟี๊ยสที่ฉันจำปี พ.ศ.และรุ่นไม่ได้ รู้แต่ว่ามันน่าจะมีอายุเกือบเท่าๆ เขาด้วยซ้ำ
วาดวลี
  ท้องทุ่งแห่งความทรงจำ มีกลิ่นอบอวลด้วยดอกไม้ ทุ่งหญ้า และกลิ่นชื้นของที่ดินริมแม่น้ำ พ่อของฉันตื่นนอนก่อนลูกๆ ในเช้าก่อนวันสงกรานต์ เขาส่งเสียงร้องเอื้อนเอ่ยเป็นทำนองของค่าวซอบนเก้าอี้ไม้ หันหน้าไปหาแม่น้ำและดวงอาทิตย์ ในมือถือกระดาษมีเส้น บรรจุตัวอักษรที่เขาเขียนแต่งขึ้นมาเอง และเนื้อหาในนั้นก็กำลังกล่าวถึงวันคืนของปีเก่าที่ผ่านไปและปีใหม่เมือง ที่กำลังจะมา
วาดวลี
"บนท้องฟ้านั้นมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง"  ฉันไม่รู้ว่าจำประโยคนี้มาจากไหน  แล้วก็มีคนเคยเห็นด้วยอย่างปักใจว่าบางทีท้องฟ้าก็โกหกเราได้  สีฟ้าแบบนี้ไม่ควรจะมีฝน  ประกายสีส้มจากดวงตะวันแบบนั้น  มองเผินๆ  คล้ายเตือนว่าพายุจะมา  แต่สุดท้ายก็เหลือแค่อากาศร้อนอบอ้าว
วาดวลี
 
วาดวลี
   ๑.หัวเราะกับความแยบยลของชีวิตที่บางครั้งตกหลุมพรางความหยาบกระด้างเมื่อรู้สึกได้กับความละเอียดอ่อนก็เห็นค่าจนไม่อยากจะสูญเสีย
วาดวลี
 ฉันนั่งมองกลีบดอกไม้สีชมพูที่หน้าตาเหมือนๆ กัน ผ่านทางกระจกรถ ขณะคิดในใจว่า เดือนกุมภาพันธ์ที่ฉันรักได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เดือนที่อากาศเย็นแสนทรมานจะค่อยๆ คลายตัวลงเป็นเย็นสบายกำลังดี ดอกไม้สีเหลือง สีขาว สีส้ม และสีชมพูจะบานสะพรั่งเต็มต้น เรียงรายตลอดถนน แสงแดดเช้าและบ่ายนั้นสวยงาม เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่โปร่งใส มีก้อนเมฆสีขาวฟูฟ่องลอยไปมาแต่ความเป็นจริงเวลานี้คือวิทยุกำลังประกาศซ้ำๆ เรื่องมลภาวะเป็นพิษเพราะหมอกควัน และเน้นย้ำให้เราป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น
วาดวลี
ชายชรายิ้มหวานให้ฉัน ทันทีที่เขารู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว ยิ้มบนริมฝีปากเบี้ยวๆ หนังตากระตุก ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่ฉันรู้สึกได้ในตอนนั้นว่าเป็นยิ้มที่แสนหวานกว่าใครๆ ทีเดียว และเชื่อว่าเป็นยิ้มแรกของวันนี้ก่อนหน้านี้หลายนาที เขาพาตาช้ำๆ ย่างก้าวมาอย่างเซๆ ออกจากห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ตอนที่เจอกันฉันยกมือไหว้ สวมกอดเขาหลวมๆ พาเขาไปนั่งลงตรงระเบียง เขาพยายามสื่อสารทั้งที่อาการไม่หายดีนัก เขาเล่าว่าวันนี้ตื่นแต่เช้ามืดเช่นทุกวัน นึ่งข้าวทิ้งไว้แล้วก็มาบริหารร่างกาย จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ แล้วจบท้ายที่การบริหารอีกรอบ แต่อยู่ๆ แขนขาซีกหนึ่งก็ไม่มีแรง เบานุ่นเหมือนสำลี…
วาดวลี
“จะทำอะไรบ้างคะน้อง...” พี่ช่างผมคนใหม่ยิ้มกริ่ม เมื่อต้อนรับลูกค้าอย่างฉันแล้วพาไปนอนบนเปลสระผมในบ่ายแก่ๆ ของวันหยุด ฉันยิ้มให้เขา หยุดคิดในใจนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบไปเบาๆ ว่า “ช่วยตัดเล็มปลายผมแค่นั้นก็พอค่ะ” “แล้วสระกับไดร์ด้วยไหม” ฉันพยักหน้า เธอตอบรับด้วยท่าทางคล่องแคล่ว จากนั้นก็โน้มศีรษะฉันให้ลงพอดีกับอ่าง เปิดน้ำจากสายยางเย็นเจี๊ยบราดรดลงไปบนศีรษะ เธอจับเส้นผมฉันเบาๆ อย่างเกรงใจ แล้วกระซิบมาข้างๆ หู “ถ้าแรงไปก็บอกนะ พี่มักจะเผลอตัว ถ้าไม่ให้นวดหัวก็บอกได้”
วาดวลี
"ยี่เป็ง” เป็นชื่อแมวของฉันเอง ซึ่งตั้งให้แมวตัวสีขาวลายสีเทา ทรงหน้าเหลี่ยม หางกุด ตัวเท่ากำปั้น ที่กระโดดขึ้นมาอยู่บนตักขณะกินจิ้มจุ่มในวันลอยกระทงเมื่อ 2 ปีก่อน และจากนั้นมาอีก 1 ชั่วโมง ฉันก็ถามตัวเองอีกครั้งว่า เราจะมีลูกแมวเลี้ยงเพิ่มอีกหนึ่งตัวหรือนี่ ทั้งที่การมีแมวแสนไฮเปอร์ชื่อ “พี่แม้ว” แค่ตัวเดียวนั้นยังรับมือแทบจะไม่ไหว แต่นั่นเป็นการถามตัวเองเมื่อกลับมาถึงบ้านโดยมียี่เป็งในอ้อมแขน
วาดวลี
ในฐานะที่ต้นพืชต้นนี้ถูกฉันเรียกว่าเป็น “ถั่ววิเศษ” หากมันพูดได้ มันคงสงสัยในตัวฉันว่า จะคอยจับจ้องมันไปถึงไหน ทั้งเช้าทั้งเย็น นอกจากวนเวียนรดน้ำแล้วก็ยังแอบถ่ายรูป สังเกตสังกา พาเพื่อนมาชมแปลงถั่ว เฝ้าจับจ้องแมลงตัวน้อยนิดที่บินมาเกาะ มากัดกิน พลางครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้กิ่งใบของมันเสียหายก่อนเวลาอันสมควร ถั่ววิเศษอาจกำลังสอนฉันว่า อย่าคาดหวังในตัวมันมากเกินไปกระมัง ในแปลงผักแปลงเดียว เมล็ดพันธุ์ที่หยอดหว่านลงไปนั้น กำลังเติบโตได้อย่างแตกต่างกัน บางต้น อวบอิ่ม สีเขียวสด ยืดลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 10 เซนติเมตรได้ ขยายใบเล็กๆ นั้นกลายเป็นใบกว้าง เติบใหญ่อย่างมีสุขภาพดี
วาดวลี
  ปีนี้ฉันได้ของขวัญปีใหม่เป็นเมล็ดถั่วมันเป็นเมล็ดแห้งๆ ที่นอนเรียงตัวอยู่ในฝักสีน้ำตาล ห่อมาในถุงพลาสติกใช้แล้วยับยู่ยี่ คนที่ยื่นให้บอกฉันว่าด้วยแววตาล้อเลียนว่า "มันเป็นถั่ววิเศษ"