ฤดูหนาวยามสาย
แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น
ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า
ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย
รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ มะพร้าวเผาในถังแช่ถูกมือล้วงผ่านความเย็นเฉียบจับขึ้นมา เจาะรู แล้วใส่หลอด สตอเบอรี่ที่ผ่าแล้วโยนใส่ถังล้าง ไม่นานก็ปรากฏอยู่ในถ้วยโรยน้ำตาลดูน่ากิน ดอกบัวที่มัดติดกับธูปเทียนถูกยื่นไปยังมือผู้ที่มุ่งมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แทบไม่ขาดสายตา
จุดพักระหว่างขั้นบันไดขึ้นพระธาตุ จึงมีทั้งคนกำลังขึ้นไปและกลับลง เหมือนภาพเคลื่อนไหวซ้ำๆ ชักช้า รีบเร่ง สลับกันไป
แต่สำหรับฉันแล้ว เมื่อลองหยุดอยู่นิ่งๆ สักพัก ก็มองเห็นได้ว่า ในภาพซ้ำเหล่านี้ แท้จริงแล้วไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลยสักนิด
“ขายดีจังนะ”
หญิงวัยกลางคนที่ขายเครื่องประดับจากหิน เงยหน้าไปทักทายคนขายมะพร้าวเผา
“ตัวก็ขายได้นินา” คนตอบมองไปยังสร้อยคอ แหวน กำไลที่พร่องลงไปจากแผงอยู่บ้าง
เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้นตอบมา
“ขายไม่ค่อยได้หรอก แต่ก็ดีกว่าช่วงก่อนนะ อย่างเราๆ ต้องรอช่วงนี้แหละ ไม่เหมือนนักท่องเที่ยวเขามีเงินเดือนทั้งปี”
แม่ค้าสร้อยรำพึงก่อนจะหันมาสนใจลูกค้าที่กำลังเลือกดูข้าวของ รอยยิ้มอัตโนมัติทำหน้าที่เชิญชวนพร้อมความหวังเรืองรองอยู่ในดวงตา และไม่อาจปิดได้มิดถึงความรู้สึกบางอย่าง ที่คิดว่าตัวเองแตกต่างจากผู้คนข้างหน้า คนที่มีเงินซื้อกล้องราคานับแสน เดินทางได้ทั่วโลก หรือมีนัดกินข้าวมื้อเย็นที่ร้านอาหารหรูหราด้านล่าง
ฉันมองแววตาคู่นั้นอยู่นาน และไม่ได้แตกต่างจากดวงตาอีกหลายคู่บนบันไดพระธาตุ
หากแต่ใครจะรู้ว่าบนแววตาของนักท่องเที่ยวบางคน กลับจมนิ่งอยู่กับบรรยากาศการขายของที่ระลึก มีของใช้สอย ของฝากมากมาย ในร้านเล็กๆ บนดอย ที่แวดล้อมไปด้วยอากาศหนาวและแสงแดดอุ่น
“อยากออกจากงานจริงๆ นะ” ชายหนุ่มรำพึงเบาๆ
“อยากมาทำร้านกาแฟ ขายของไปด้วย ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเข้าตอกบัตร”
หนุ่มสาววัยทำงานสนทนากัน แล้วหยุดพักเหนื่อยหย่อนตัวนั่งบนขั้นบันได
“คนที่นี่น่ารัก มีน้ำใจ พูดเพราะ ยิ้มแย้มตลอดเวลา อยากมาอยู่จริงๆ ปีหน้าออกจากงานดีกว่า อยากมีชีวิตอิสระเสียจริง”
แม้ไม่รู้ว่าจริงหรือเล่น หนุ่มสาวกลุ่มนั้นก็ตอบรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แลกเปลี่ยนความฝันและทอดสายตาเป็นประกายแก่เมืองนี้ ก่อนจะรวมตัวกันถ่ายรูปคู่กับพระยานาคบนราวบันได
ส่วนฉัน ปล่อยสายตาผ่านเลนส์ให้ทำงานไปอย่างช้าๆ กล้องเก่าๆ เล็กๆ ยังทำงานได้ดี พอที่จะเก็บสีสันเสื้อผ้า ใบหน้าผู้คน และบรรยากาศเท่าที่จะเก็บได้
พลางสลับกับก้มลงมองพื้น
มองแสงเงาที่ทาบผ่าน ทั้งนิ่งงันและเคลื่อนไหว เงาสีดำที่ไม่อาจปรากฏสีหน้า ความงาม หรือราคาเครื่องประดับอยู่บนนั้น
เงาที่ไม่อาจปรากฏถึงดวงตาแห่งการคาดเดา ว่าคนที่เดินผ่านกันไปบนที่แห่งนี้ ใครจะมีความสุขมากกว่า หรือชีวิตที่ดีกว่ากัน
และสุดท้ายฉันก็คิดเล่นๆ ว่า ในความปรารถนาเหล่านั้น บางที
คนที่รู้ได้ดีที่สุด ก็คือเงาของตัวเราเองที่ปรากฏอยู่บนเงาแดดกับเราคนเดียว
เท่านั้น.