Skip to main content

001

1.
ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว


ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกัน

วางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน

“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”
เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง
“รกจะตาย” เธอว่า ฉันหัวเราะคิกคัก แค่เดินฝ่าเข้าไปก็ยากแล้ว  

002

2.
ฉันเป็นคนไม่ชอบเหยียบต้นหญ้า  


อย่าว่าแต่สนามกว้างๆ ของใครต่อใครเลย  แม้จะข้างถนน ที่มีทางลัดไปยังที่ต้องการได้ใกล้กว่า ฉันจะเดินอ้อมเสมอ เมื่อครั้งไปเที่ยวในอุทยานแห่งหนึ่ง  มีร้านอาหารอยู่ไกลมาก เขาคงทำทางเดินไว้ให้คนออกกำลังกายกระมัง แต่ยามหิว คนคงไม่อยากคิดอย่างอื่น แค่ลัดต้นหญ้าไปเขายังว่าไกล

มีฉันคนเดียวที่เดินอ้อมก็ยังถูกหาว่าบ้า
“บ้าก็บ้านะ” ฉันยอมรับเสียในตอนนั้น

แล้วก็กลับมาพิจารณาดอกหญ้าสีขาวตรงหน้า ชาวสวนมือใหม่ดึงจอบขึ้นสูง ทิ้งน้ำหนักลงไป ต้นเล็กต้นน้อยถูกตัดขาด บางต้นถูกถากออกมาพร้อมราก นี่คงหนักกว่าการเหยียบดอกหญ้าอีก ก็ฆ่ามันให้ตายอยู่นินะ แต่ก็แปลกดีจัง ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลย

เวลาเหยียบสนามหญ้าทีไรรู้สึกผิดกว่านี้เยอะ หรือเพราะมันมีเจ้าของ เพราะมันเติบโตจากความตั้งใจของคนอื่น มันร้องขอการมีชีวิตที่ควรทะนุถนอมจากแรงงานที่ถ่ายเทลงไป

แต่ดอกหญ้าไม่มีสิทธิ์ร้องขอแบบนั้นใช่ไหมนะ
ดูสิ ถางไปเกือบหมดแล้ว!

 

004

3.
“จบศิลป์เกษตรมาเหรอ”

คนข้างๆ แซว ทำเอางงไปชั่วครู่ สมัยมัธยมมีแต่วิชาเลือก ศิลป์-ภาษา และศิลปะ-คำนวณ

ฉันทำหน้าเลิกลั่ก
“มีด้วยเหรอวิชานี้”
“ไม่มีหรอก ก็นึกว่าทำไม่ได้ไง แต่พอหยิบจอบเท่านั้นแหละ ดูสิ นี่มันมืออาชีพชัดๆ ไปเอาแรงมาจากไหนเยอะแยะ”

เขาหัวเราะร่วน ฉันหันไปมองรอบๆ ถางหญ้าไปเยอะแล้ว ไล่เก็บก้อนหินออก จากนั้นก็ขุดดินให้ลึกๆ แล้วพรวนให้ดินร่วน พลิกฟื้นดินสีดำด้านล่างให้ขึ้นมาอยู่ด้านบน
“อ๋อ ตอนเด็กๆ เคยทำน่ะ นึกว่าจะทำไม่เป็นแล้วเหมือนกัน วิญญาณแม่เข้าสิง”

ดูคนข้างๆ จะอึ้งยิ่งกว่าเดิม เมื่อฉันเริ่มพลิกดินให้นูน ทำเป็นแปลงๆ วาดดินมากองให้เป็นสามเหลี่ยม จากนั้นก็ทำร่องตรงกลาง เพื่อรดน้ำและใส่ปุ๋ย เป็นไงล่ะ ท่วงท่าไม่น้อยหน้าใครเลยล่ะ

“เรายังไม่ต้องใส่ปุ๋ยดีไหม เป็นการทดสอบดิน เราว่าที่ใกล้น้ำแบบนี้ ปลูกอะไรก็ขึ้น ไม่งั้นดอกหญ้าจะงามขนาดนี้เหรอ ว่าปะ”

เออออ ห่อหมก เอาเอง แล้วก็วางจอบไปคว้าบัวรดน้ำมารดๆ เอาไว้  เพื่อปรับปรุงความชื้นให้ดิน ทิ้งไว้ไม่นาน เราก็คงจะหยอดเมล็ดพืชลงไปได้แล้ว ผักที่ฉันเลือกปลูกมีคะน้า ผักชีลาว และพาสเลย์ ดูเหมือนไม่เข้ากันเลย แต่ทำไงได้ล่ะ อยากปลูกนินา

 

005

4.
ในบรรดาคนชอบกินผักทั้งหลาย ไม่มีใครเกินพี่นก

แฟนสาวของเพื่อน เห็นหน้ากันทีไร เธอชวนทำกับข้าวกินเอง หมูกระทะ เอาหมูน้อยๆ ผักเยอะๆ หรือเวลาไปกินข้าวกัน เธอจะบอกว่า ขอผักเพิ่มอีก 1 จาน เสมอๆ

ดูเธอจะตื่นเต้นกว่าฉันอีก เมื่อฉันบอกว่าเริ่มปลูกผักไว้แล้ว
“ผักบุ้งปลูกเยอะๆ นะ ขึ้นง่าย ผักกาดขาวอีก พี่ชอบกินมากๆ  คะน้าก็กินได้นะ ว่าแต่มันอายุเท่าไหร่เหรอ ถึงจะโตพอ”
“ก็ข้างซองเขาบอกว่า 7 วันก็เห็นต้นแล้วนะ มันโตเร็ว อีก 3  สัปดาห์เราก็น่าจะกินได้”


อย่าให้ได้ยินน้ำเสียงของฉันเลย โอ้อวดเสียยังกับเป็นเจ้าของสวนผักขนาดใหญ่ แถมยังอวดอ้างสรรพคุณไปด้วยว่า
“เป็นผักปลอดสารพิษ เราจะได้กินสบายใจ นี่ถ้ามันขึ้นเยอะๆ กินไม่ทันนะ ก็จะแบ่งให้ชาวบ้านแถวนั้นมาเก็บได้เลย เราจะได้บอกเขาว่าผักนี้มันดียังไง”

“ไม่ขายเหรอ” พี่ผู้หญิงท้วงถาม
“เอ่อ ก็ถ้าเขาจะซื้อก็ได้นะ ก็อาจเก็บเงินนิดหน่อย พอซื้อเมล็ดพืชต่อ”
ฉันมุ่งมาดไว้แบบนั้น ดวงตาคงปิดไม่มิด ใครต่อใครพากันยิ้มแป้น ให้กำลังใจพร้อมนัดแนะว่าอีก 2 สัปดาห์ เราจะมาปาร์ตี้ผักกินกันที่บ้าน

 

006

5.
“เธอว่ามันคือคะน้าไหม”

ไม่รู้ทำไม คนข้างๆ ทำหูทวนลม เวลาที่ฉันถามเรื่องนี้ ต้นกล้าจำนวนหนึ่งขึ้นมาแล้ว บนแปลงผักทั้งหมด แต่หน้าตาของคะน้า ผักชี และพาสเลย์ เหมือนกันไม่มีผิด

“ตอนมันเด็ก ดูยากว่าเป็นต้นอะไร มันคงขึ้นแล้วแหละ”
จากคนที่สบประมาทเอาไว้ ว่าฉันปลูกผักไม่เป็น กลับกลายเป็นคนให้กำลังใจ

ฉันเพียรรดน้ำแปลงผักทั้งเช้า และเย็น เอาไม้จิ้มๆ พรวนดินไปตามประสา จนผ่านไปหลายสัปดาห์ ต้นกล้าเหล่านั้นก็ประจานการไม่ใส่ปุ๋ยด้วยการทำตัวแคระแกรนเสียจนน่าสงสาร
“ก็มันหมักปุ๋ยไม่ทันนินา เราอยากใช้ปุ๋ยชีวภาพ”
“เขาก็มีขายไม่ใช่เหรอ ถุงน้อยๆ คิดว่าอาหารคงไม่พอ ก็โตช้าหน่อย”


ฮื่อ นี่เป็นบทเรียนนินะ แปลงผักทดลองออกผลได้ขนาดนี้ก็ดีใจแล้ว เอาล่ะ รดน้ำเข้าไป ปล่อยไว้อย่างนั้น
จวบจนเช้าวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ต้นกล้าก็ออกสะพรั่งเต็มแปลงผัก
“ดูสิๆๆ มันโตแล้ว มากมาย น่ารักจังเลย ใบมันหยักๆ คงเป็นพาสเลย์ ส่วนต้นโตนี่คงคะน้า”

ฉันตื่นเต้น ระหว่างถือบัวรดน้ำที่อยู่ตั้งไกล เดินมารดไปหลายๆ รอบ คนข้างๆ คงสงสาร จึงมีไอเดียว่า เราน่าจะต่อน้ำจากแม่น้ำหลังบ้าน เข้ามารดผัก โดยใช้เครื่องสูบน้ำขนาดเล็ก จะได้ไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้
“ไหนๆ ไปดูท่าน้ำหน่อย ต้องดึงสายมาไกลไหม”

 

008

6.
พากันฝ่าดงหญ้าที่เหลือเข้าไปในสวน ก่อนจะคำนวณระยะสายยาง และราคาเครื่องสูบนั้น


สายตาก็เหลือบไปเห็น ต้นกล้ากะจิดริดที่งอกงามผลิใบอยู่ริมตลิ่ง
“เอ เธอว่าหน้าตามันคุ้นๆ ปะ”

ฉันเอียงคอ นั่งยองๆ ลงใกล้ต้นไม้เหล่านั้น
“ไม่คุ้น แต่เหมือนเลย เหมือนในแปลงผักเลย”
เขาว่า ฉันก็อึ้งๆ ไป
“แสดงว่า ในแปลงผัก มันก็คือต้นนี้สินะ มันคือต้นหญ้า”
ใช่แล้ว มันคือหญ้าทั้งนั้น ที่เติบโตสวยงามท่ามกลางการดูแลของฉันตั้งแต่เช้าจรดเย็น
“อยากปลูกแปลงหญ้าก็ไม่บอก” เขาหัวเราะเบาๆ
ฉันไม่หัวเราะตาม ทำหน้าสลดไปชั่วครู่ ไม่สิ ไม่ได้เสียใจ แต่ก็ยอมรับว่าผิดหวังกับการทดลองของตัวเอง

คนใกล้ชิดเอื้อมมือมาลูบหัว ใบหน้ากลั้นหัวเราะเต็มที
“เคยบอกว่าทุกที่มีครูสอนไม่ใช่เหรอ ปลูกผักแต่ได้ต้นหญ้า แสดงว่ายังไงนะ”
เขาเล่นต่อคำอีกแล้ว ฉันหายใจยาวๆ นิดหน่อย ก่อนจะยืดตัวขึ้นมาอีกครั้ง

“อืม ใช่ เขาสอนเราว่า บางทีปลูกผักก็ได้หญ้า เหมือนอะไรที่หวังผลอีกอย่างแต่ได้อีกอย่าง ก็แบบนี้แหละนะ โลกนี้ใช่มีอะไรตามคาดเสมอไป”
ฉันสรุปเสียอย่างดูดี ได้ยินเขาคนนั้นทวนคำย้ำๆ ไปมา
“ไม่มีอะไรตามคาดเสมอไป อืมมม”...

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ปีใหม่ไปเที่ยวไหนบ้างหรือเปล่าคะ"พี่สาวข้างบ้านไม่ตอบคำถามฉันเลย  แต่คลี่ยิ้มแล้วเดินพาฉันไปหยุดอยู่ตรงเสื่อผืนนั้น  เสื่อที่ปูบนลานซีเมนต์โล่งๆ หน้าบ้าน  ข้างกายมีกองผักกาดขนาดใหญ่  จำนวนนับร้อยต้น ข้างๆ  มีถังน้ำ  มีกะละมัง  มีเครื่องปั่นเสียบไฟฟ้า และมีถุงพลาสติกกองอยู่"พี่กำลังทำโปรเจ็คใหม่"แกบอกด้วยสายตาโอ้อวด  โปรเจ็คที่ว่าคือหนึ่งในอาชีพใหม่ที่แกเพิ่งริเริ่มทำ นั่นก็คือการทำ "น้ำผัก" ขาย
วาดวลี
   บุ้งตัวนี้คงมีพิษร้ายมาก ฉันรู้สึกอย่างนั้น จากหนามแหลมๆ ที่พวงพุ่งออกมารอบตัวมัน และจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่เคยเอามือไปโดนตัวบุ้ง แล้วคันคะเยอไปทั้งสัปดาห์ แถมมือยังบวม แสบๆ อีกด้วยตอนเด็กๆ แม่จึงพร่ำสอนเสมอ บุ้งหน้าตาแบบนี้มีพิษร้าย มันกินไม่ได้ จับมาเล่นไม่ได้ และสำคัญที่สุดให้หลีกเลี่ยงระวังอย่าได้สัมผัส เมื่อจำมาตลอด ดังนั้นฉันจึงระวังที่สุดที่จะเดินย่องเข้าไปขอถ่ายรูปในระยะใกล้ เจ้าบุ้งจากที่นิ่งๆ อยู่ คงรู้สึกได้ถึงคนแปลกหน้า มันยิ่งพองตัวอวดหนามให้ตั้งชูชันขึ้นมาอีก ความซุ่มซ่ามของฉันที่เอาตัวไปโดนกิ่งไม้ให้ไหวๆ เผลอทำให้มันตกใจมากกว่าเดิม พอมันขยับหันหัวมา…
วาดวลี
การเดินทางตามใครสักคนไป คงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเดินทางตามฝูงมด ที่มันเคลื่อนที่ช้ากว่าเราหลายเท่าตัว ฉันเองก็นึกไม่ถึงว่าจะมีเวลามากพอที่จะเฝ้าสังเกตมดสักตัว หรือสักฝูง แล้วยังมีมดหลายชนิดให้ต้องแยกแยะอุปนิสัยอีกด้วยแต่ลองคิดกลับกันดู หากมดจะเดินทางตามเราบ้าง นั่นคงเป็นเรื่องลำบากยิ่งกว่า ก็แค่เดินสัก 2 ก้าว มดก็ตามเราไม่ทันแล้ว
วาดวลี
  หากนี่เป็นสนามรบสักแห่งหนึ่ง รังเล็กๆ ที่สร้างจากไยแมงมุมมองดูคล้ายกับดักขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ ที่สามารถสร้างความตื่นเต้น วิตก ให้กับศัตรูและเหยื่อได้มาก แถมยังประจานผู้พ่ายแพ้ต่อหน้าประชาชนอย่างเห็นกันโจ้งๆในกับดักนั้นประกอบด้วยสรรพสิ่งที่เป็นซากชีวิต ไม่ว่าจะเป็นตัวหนอน ผีเสื้อ มดแดง มดดำ แมลงวัน พวกมันตายหมดแล้ว เป็นสุสานขนาดใหญ่ที่ห้อยโหนโตงเตงด้วยแรงยึดไยแมงมุม แขวนไว้กับต้นไม้ในเช้าวันหนึ่งของฤดูหนาวฉันบอกกับตัวเองว่า นี่มันช่างน่าอัศจรรย์ดีจัง ตอนเด็กๆ ฉันทั้งเกลียดและกลัวแมงมุม ขณะเดียวกันแม่ซึ่งพยายามเอาชนะแมงมุมด้วยการกินมัน ก็สร้างเมนูรสเลิศด้วยการเอาแมงมุมไปย่างไฟ…
วาดวลี
ฉันไม่รู้ว่าทำไมหอยทากหลายตัวชอบมาซ่อนอยู่ในรองเท้า แม้จะเคาะรองเท้าก่อนแล้ว หากไม่ดูดีๆ ก็อาจจะเผลอเหยียบเข้าไปเต็มๆ เพราะความเหนียวของลำตัวที่เกาะติดอยู่กับผนังรองเท้าผ้าเวลานี้เข้าฤดูหนาวเต็มที่แล้ว หรือเปลือกหอยจะไม่สามารถกันความหนาวให้มันได้เพียงพอ ทั้งที่พอรู้มาบ้างว่า หอยทากเป็นสัตว์ที่อดทนมาก มีชีวิตได้ทั้งที่แห้ง ที่ป่าชื้น หรือบนภูเขาสูง นอกจากในรองเท้าแล้ว ซอกมุมเล็กๆ ในบ้าน หลังชั้นหนังสือ หรือแม้แต่ใต้เบาะจักรยาน ฉันก็ยังพบหอยทากมาเล่นซ่อนแอบเป็นประจำ จากที่เคยรู้สึกกึ่งรังเกียจ กึ่งขยะแขยง…
วาดวลี
๑. ผีเสื้อติฉินดอกไม้ ว่ามีน้ำหวานน้อยเกินไป ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนปลูก ชาวสวนลุกมาพรวนดิน เผลอเคืองขุ่นแมลงหิวโหย แม่บ้านบ่นกับเม็ดฝน ที่ทำให้น้ำยาปรับผ้านุ่มไร้ความหมาย นิมิตกลายเป็นความโศก เมื่อล็อตเตอรี่ไม่ตรงกับที่ตีความมา
วาดวลี
เพลงคุ้นเคยหลายเพลงดังแว่วมาจากวิทยุข้างบ้าน สลับกับการเล่าเรื่องของดีเจ เธอบอกว่าเทศกาลลอยกระทงปีนี้ไม่คึกคักอย่างปีก่อนๆ คงเพราะบรรยากาศทางการเมือง บวกกับงานราชพิธีและผลจากพิษเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวจึงบางตา ประเพณีจึงไม่สวยงามอย่างเคยเป็นแต่นั่นเป็นเรื่องที่สวนทางกับภาพที่ฉันกำลังได้เห็นคุณลุงบรรจงทำซุ้มอย่างช้าๆ สบายๆ กับแดดยามสายคุณลุงข้างบ้านตื่นแต่เช้า เช่นเดียวกับทุกวัน แต่วันนี้ลุงไม่ไปทำงานในไร่ เช่นเดียวกับพี่สาวบ้านตรงข้ามที่ปกติออกไปขายเสื้อผ้าแต่เช้ามืด พวกเขามายืนผิงแดดอุ่นอยู่หน้าบ้าน แล้วทำความตกลงเจรจาแลกเปลี่ยนทรัพยากรจากสวนหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นก้านมะพร้าว ดอกดาวเรือง…
วาดวลี
ว่ากันว่า บนหน้าผาสูงใหญ่แห่งนี้ในอดีตกาลชายหญิงคู่หนึ่ง เดินทางมาหยุดมองหุบเหวกว้างใหญ่ในเวลาดึกสงัด  เบื้องลึกเป็นผืนน้ำ ด้านข้างเป็นโขดหินกัดเซาะขรุขระน่ากลัว พวกเขาคงรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบและเวิ้งว้างไปจนสุดขั้วหัวใจ ถ้าเผลอตกลงไป อย่าหวังว่าชีวิตจะเหลือรอดให้กลับบ้านหากแต่บางที การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความรักนั้น  บางทีอาจเวิ้งว้างยิ่งกว่าหรือมีรักแต่ไม่สมหวัง อาจเจ็บปวดกว่าการจากโลกนี้ไป
วาดวลี
  ฉันเพิ่งยอมรับความล้มเหลวอย่างหนึ่งของตัวเองในการปลูกต้นไม้นั่นคือ ปลูกต้นกุหลาบแล้วไม่มีดอกตอนเด็กๆ พ่อของฉันคือคนสอนปลูกต้นไม้คนแรก พ่อขุดดินให้เป็นหลุม หย่อนต้นกล้าลงไป กลบดินแล้วรดน้ำ พ่อบอกด้วยสายตาโอ้อวดว่านี่ไง มันง่ายจะตายไป ที่เหลือเป็นหน้าที่ของดิน น้ำ และแดด จากนั้นให้ฉันทำเหมือนกัน สิบกว่าวันผ่านไป พ่อและฉันยืนมองต้นกุหลาบของเราที่กึ่งรอดกึ่งตาย กิ่งใบเหี่ยวแห้ง ฉันจึงถามพ่อว่า "คนมือร้อน มือเย็นนี่อยู่มีจริงไหม"พ่อเดินไปนั่งบนแคร่ มวนยาเส้น จุดสูบด้วยแววตานักคิด แล้วตอบว่า "ก็จริงอยู่นะ แต่มือเป็นอาวุธของใจ คนใจเย็นปลูกอะไรก็เป็น ใจร้อนก็ปลูกแล้วตาย"พ่อพูดแล้วหัวเราะเบาๆ…
วาดวลี
หลายต่อหลายครั้ง ที่ฉันจดจำภาพของสถานที่ เรื่องราว ผู้คน แม้ไม่เคยรู้จักกัน และไม่เคยไปพบเจอ แต่กลับฝังลึกลงความทรงจำถึงขนาดเก็บไปฝัน แน่นอนฝันนั้นเป็นฝันดี และพอตื่นจากฝัน ก็พบกับความจริงที่ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ไกลเกินไปนักหรอก สิ่งที่พูดถึงความงาม ความพอดี เหมือนหยดน้ำใสบนคลองเล็กๆ ที่เลียบไปกับแม่น้ำใหญ่ หรือบางทีอาจเป็นดอกหญ้าต้นเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ในสวนกุหลาบ แต่แท้จริงเป็นสมุนไพรเยียวยาโลกได้ด้วยซ้ำ สิ่งที่ฉันพูดถึงอยู่นี้ คือชีวิตของเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนชำฆ้อพิทยาคม จังหวัดระยองเด็กน้อยเหล่านี้…
วาดวลี
๑. ประชาธิปไตย สูงใหญ่ ใต้เพดาน เราไต่ เราคลาน เหยียบข้าม ขึ้นคว้าไป เราเรียน เราศึกษา เราค้นหา เราพินิจ เปรียบเทียบ ถูกผิด เท่าที่ เราคิดได้ ในสมุดมีสอน ในกลอนมีให้อ่าน ในหนังสือมีวิจารณ์ เปลี่ยนผ่านไปอย่างไร ในเคเบิ้ลมีรหัส แปลงเห็นเป็นภาพชัด นิ่ง-เลือน-และเคลื่อนไหว เราเก็บเราสะสม เพาะบ่มความคิด เธอว่าถูก-ผิด คิดเห็นเป็นอย่างไร เรารู้-ไม่รู้ เท็จจริง และลวง แต่เราก็ห่วง ห่วงประชาธิปไตย
วาดวลี
ทั้งที่แค่เป็นเวลาบ่าย แต่บ้านของเราไม่มีแสงแดด ก้อนเมฆหนาทึบขนาดมหึมาเคลื่อนเร็วเหมือนคลื่นน้ำ แผ่ความเย็นให้วันธรรมดาในฤดูฝนเย็น ให้จับใจขึ้นไปอีก   แน่นอนว่าคนใต้ฟ้าแถวบ้านฉันไม่ได้กลัวเปียก แต่พวกเขากลัวน้ำท่วม แม้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คนข้างบ้านฉันยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า “ที่นี่น้ำไม่ท่วม” เขาบอกว่าเราเป็นตำบลที่อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำปิงของเชียงใหม่และลำพูน โดยมีจุดชลประทานอยู่เหนือหมู่บ้าน มีประตูน้ำ ดังนั้นหากน้ำมามากเกินไป ก็จะมีการปิดประตูน้ำ ที่บอกว่ากักเก็บน้ำได้มากโข ความจริงฉันเชื่อในระบบชลประทานหมู่บ้าน…