Skip to main content

เชียงใหม่ในวันที่ฝนซา เพื่อนที่แวะมาเยี่ยมต่อสายบอกว่ากลับถึงบางกอกเรียบร้อยดีแล้ว

เสียงอึกทึกครึกโครมที่รายล้อมตัวเธอบอกฉันว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพังขณะคุยโทรศัพท์ ฉันแซวเธอเล่นๆ ว่ากำลังอยู่ในถิ่นอโคจรหรือเปล่านะ ก็เราคุยกันแทบจะไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเพลง เสียงรถ และเสียงคนมากมาย

เธอหัวเราะชอบใจ แล้วตอบว่า "ใช่ ฉันอยู่ในถิ่นอะโคจร" แล้วย้อนสวนมาว่า
"ก็ดีกว่าอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเธอ"

25_06_1
ดอกหญ้าในสวนหลังบ้าน รกร้าง แต่ก็สวยงามในความรู้สึก 


ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้พูดเกินเลยเท่าไหร่ เพราะบ้านร้างในสวนของฉันนับวันจะมีเพื่อนตัวเล็กตัวน้อย เข้ามาอยู่ในบ้านมากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นอึ่งอ่าง ตะเข็บ ตะขาบ กิ้งกือ จิ้งเหลน รวมไปถึงกระทั่ง งู!

สองวันซ้อนในฤดูฝน ที่แมงป่องขนาดใหญ่ สีดำสนิท เดินอาดๆ เข้าบ้านมา จากที่ไม่อยากฆ่าสัตว์ เลยต้องทุบมันจนตัวบิดเบี้ยว พร้อมสับๆ ออกเป็นชิ้นๆ ฉันเพิ่งเข้าใจว่าความกลัวทำให้ความรุนแรงเข้าครอบงำได้ แม้จะไม่ใช่คนใจดีนักแต่ก็ฆ่าสัตว์ไม่ค่อยเป็น จนกระทั่งมันแอบไต่เข้ามาในที่นอน ผ่านช่องเล็กๆ ใต้ประตูเข้ามา

แล้วก็ต่อยจี้ดเข้ายังบริเวณท้องของคนข้างตัว
!
เขาลุกขึ้นด้วยความเจ็บจี้ด จากเจ็บเป็นจุก ชาตั้งแต่บริเวณท้องไปจนถึงต้นขา

ยามดึกและไกลเมือง จึงรักษาอาการด้วยการกดเอาเหล็กในออก จากนั้นทายาหม่อง ทำตามขั้นตอนการปฐมพยาบาลพื้นฐาน ดูว่าอาการจะเป็นยังไง หากไม่ดีขึ้นช่วงเช้าเราก็คงต้องพบแพทย์
โชคดีนักหนาว่า เหล็กในยังไม่ทันเข้ามาในตัว มันยังคาอยู่ตรงหางที่สั่นกระแด่วๆ ตอนเราทุบมัน

คิดแล้วก็ขนลุก แล้วก็รู้สึกกลัวจนหวาดผวาไปพักหนึ่ง นอนๆ แล้วก็ต้องตื่นเพราะรู้สึกว่ามีอะไรไต่ขา จนกระทั่งฉันใช้เวลา 2 วัน ในการตัดผ้าให้เป็นสี่เหลี่ยม อุดช่องต่างๆ ของบ้านให้หมดทุกช่อง ก่อนนอนต้องตรวจตราว่ามีช่องที่ปิดแล้ว นั่นล่ะ ถึงจะเข้านอนได้โดยสนิทใจ

24_06_2
ต้นไม้ใหม่บนผืนดิน ไม่เคยหยุดการเจริญเติบโต

เพื่อนของฉันหัวเราะคิกๆ เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เธอจึงย้ำในครั้งนี้อีกทีว่า
"บ้านเธอมันแดนสนธยาชัดๆ"
"มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะ" ฉันพยายามเถียง แม้ต้องยอมรับว่าฉันอยู่ในหมู่บ้านที่เงียบสงบมาก เกือบทุกคนเข้านอนตอน 2 ทุ่ม หากมัวทำงานไม่ออกไปหาอะไรกินในเวลาเดียวกับคนอื่น จะพบว่าแค่ 3 ทุ่มเท่านั้น ออกมายืนหน้าบ้านมองไปจะเหลือแต่ไฟถนน ไม่มีผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตผ่านมา ไม่มีอะไรให้ซื้อกิน แถมเริ่มมีหมาหอนในคืนพระจันทร์เต็มดวงอีกด้วย

"ฉันไม่อยากไปบ้านเธอแล้ว ไม่รู้มีผีด้วยหรือเปล่า มื๊ดมืด"
เพื่อนของฉันสารภาพ เรายังคุยกันออกรสชาติ  เวลานั้นฉันจึงขอตัวสักครู่ เสียบสายหูฟัง สำหรับการคุยนานๆ เปล่า ฉันไม่ได้ว่างหรอก แต่ฉันจะได้ใช้มือทั้งสองอย่างในการทำอย่างอื่น
"เดินไปไหนเหรอ" เธอถาม
ฉันหยิบกาละมัง เดินเข้าสวน
"ไปเก็บมะนาว" ฉันบอกเธอ หลังลมแรงเมื่อวาน มะนาวหลังบ้านฉันกองร่วงเต็มพื้นไปหมด เก็บได้ทีละไม่ต่ำกว่า 10 ลูก

24_06_3
มะนาวมากมายที่ไม่ต้องสอย ร่วงหล่นลงพื้นเวลามีลมพัดแรง

"ระวังงูล่ะ" เธอบอก ระหว่างนั้นฉับเหลือบไปเห็นลูกกระท้อนน้อยใหญ่หล่นร่วงจากต้นเช่นกัน มีลูกขนาดเล็กที่ยังสีไม่สดเท่าไหร่ คงร่วงเพราะแรงลม แล้วก็มีลูกโตๆ สีเหลืองสวยน่ากิน บางลูกคงหล่นนานแล้ว มีรอยช้ำ แต่บางลูกแค่หยิบมาดมก็ได้กลิ่นเหมือนเพิ่งเด็ดจากต้น

"แป๊บนะ กำลังเก็บกระท้อน"
ฉันรายงานสดไปด้วย เพราะรู้ว่าเพื่อนมีเวลาคุยไม่มาก หลังจากนี้เธอต้องเดินทางไกล อีกนานกว่าจะได้คุยกันอีก
"อย่าบอกนะว่ามุดเข้าไปใกล้รั้วรกๆ นั่น" เธอว่า ฉันหัวเราะเบาๆ ดูเธอจะจำภาพบ้านของฉันได้ดี

ฉันทำอย่างที่เธอว่านั่นแหละ มุดไปขอบรั้ว เก็บกระท้อนและมะนาวจนเกือบเต็มกะละมัง เพื่อนฉันถามว่า จะเอามันไปทำอะไรเหรอ นั่นสิ ฉันยังนึกไม่ออก กินคนเดียวก็คงไม่หมดแน่
 "นั่นสิ ว่าจะเอาไปแบ่งข้างบ้าน แต่เขาก็มีเหมือนกัน เยอะกว่าบ้านเราอีกนะ"

25_06_4
มะนาวและกระท้อนที่เก็บได้ของวันนี้

ฉันเล่าให้เธอฟัง เช่นเดียวกับขนุนลูกใหญ่ที่สุกงอมจนร่วงจากต้นลงมา กลิ้งตกไปยังหลังคาคนข้างบ้าน ทำเอากระเบื้องเขาแตก เป็นรู ฉันจึงต้องจ่ายเงินหาคนมาตัดกิ่งไม้และเอ่ยปากช่วยซ่อมหลังคา แต่ว่าเขาปฏิเสธ เห็นว่าเป็นเรื่องปกติและสุดวิสัย และกระเบื้องนั้นก็มีอายุมากแล้ว
"แล้วขนุนลูกนั้นนะ ก็ใหญ่มาก สุก หอมด้วยล่ะ แต่ไม่มีใครกินเลย"

24_06_7
ขนุนบนต้น ลูกใหญ่ใกล้สุก

ฉันเล่าอย่างออกรสชาติ เพื่อนหัวเราะชอบใจ เธอบอกฉันให้ผ่าแล้วล้าง ลอกออกมาเป็นชิ้นๆ ใส่ถุงแล้วก็วางขายหน้าบ้าน เธอบอกว่าคงได้กำไรดีทีเดียว
"คงไม่มีใครซื้อหรอก" ฉันบอก

ก็คนแถวนี้มีขนุนกันเกือบทุกบ้าน ฉันตะโกนถามใครก็ไม่มีใครเอา บอกว่ากินกันแทบไม่ทันอยู่แล้ว แม้จะเอามะนาวไปแลกขนุนเขาก็ยังให้มาฟรีๆ อีกตั้งมาก จนมีคนบอกว่าให้หอบเอาไปแลกกับลิ้นจี่บ้านท้ายสวนน่าจะดีกว่า เพราะบ้านหลังนั้นไม่มีขนุน ฉันก็จึงได้แต่บ้าเก็บผลหมากรากไม้เหล่านี้ใส่ตู้เย็นไว้ รอว่าถ้าออกไปข้างนอกวันไหน ก็จะได้แวะแบ่งให้พี่สาว หรือคนที่รู้จัก กระจายกันไปตามๆ กัน

"บางทีเราอาจจะเอากระท้อนพวกนี้มาดองหรือทำแช่อิ่มไว้"
ฉันเล่าแผนการให้เพื่อนฟัง เธอถอนหายใจยาวๆๆ แล้วแซวมาว่า
"นี่แหละน้า อยากไปอยู่บ้านสวน ต้องทำอะไรมากมาย ไหนจะต้องตัดกิ่งไผ่ที่ล้ม ดองผัก เก็บผลไม้ ทำเหมือนยังกับมีเวลามากงั้นแหละ"

24_06_5


24_06_6
ตำลึงริมรั้วที่งอกงาม

ฉันรู้ว่าเธอพูดเล่น ก็จริงที่เวลาไม่ได้มีมากนัก  แต่นอกจากเสียดายแล้ว ฉันก็ยังอยากทำอยู่ดี

ยังไม่นับกับการเก็บตำลึงที่กองริมรั้วกินแทบไม่ทัน ลำไยลูกโตๆ ที่เจ้าของไม่เคยมาเยี่ยมมันเลยสักครั้ง แล้วก็ยังมีมะม่วงริมแม่น้ำนั่นอีก พอสุกงอมแล้วไม่รู้ทำมะม่วงแผ่นมันจะอร่อยหรือเปล่า

"เฮ้อ ฉันต้องไปแล้วล่ะ หิวข้าวแล้ว ต้องรีบไปซื้อเพราะเดี๋ยวคนมันจะเยอะมากๆๆๆ แต่ร้านแถวนี้อร่อยที่สุด ต้องรีบแย่งนะไม่งั้นหมด เราต้องซื้อก่อนพวกออฟฟิศจะออกจากตึก อยากให้เธอมากินขาหมูมากๆ ไม่เกินเที่ยงก็เกลี้ยงแล้ว ถ้าพูดไม่ถูกหูแม่ค้าก็ไม่ขายด้วยนะ แกหยิ่ง..."
เธอพูดยืดยาวด้วยความเร็วสูง ฉันพอจะนึกภาพระหว่างมื้อในเมืองหลวงออก คงต่างกันลิบลับ กับความเงียบและสภาพที่ฉันกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บกะท้อนอยู่ในป่าดงดิบเช่นตอนนี้

"ไว้คุยกันใหม่นะจ้ะ แม่สาวในแดนสนธยา ส่วนฉันมีเวลา 15 นาทีกินข้าว เดี๋ยวไปธุระต่อไม่ทัน รถจะติดมากๆๆ ไปละ บายจ้ะ"

ฉันวางสายไปแล้ว ยืนสงบนิ่งนิดหนึ่ง พลางนึกสลับภาพไปมาระหว่างถนนกรุงเทพฯ ป้ายรถเมล์หน้าตึก รถไฟฟ้า แสงไฟสว่างไสวของเมืองที่ไม่เคยหลับไป พร้อมหันมาพิจารณาบ้านสวนรกร้างของฉัน ก่อนจะตั้งคำถามเล็กๆ ว่า

ที่ไหนกันแน่นะคือแดนสนธยา สำหรับฉัน ?

24_06_8
ซากหอยทากบนพื้น ส่วนหนึ่งของแดนสนธยา : )

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
“พี่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ใครจะฟ้องร้องเอาอะไร ก็ไม่มีให้เขา มันเสียไปหมดแล้ว” รถโดยสารของความอึดอัดกำลังเคลื่อนขบวน โดยมีเราอยู่ในนั้น ฉัน และเขา “ผู้เช่าบ้าน” และ “ผู้ให้เช่า” ตามภาษาในเอกสารสัญญาของเรา กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากัน  ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น และอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน..........จำได้ว่าเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรก เขาไขกุญแจรั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายติดประกาศว่า “ให้เช่า” ด้วยท่าทีอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกาย พาฉันเดินเยี่ยมชมอย่างต้อนรับขับสู้ ริมฝีปากนั้นไม่เคยขาดรอยยิ้ม เขาเล่าว่า ทาวเฮาส์หลังนี้ซื้อไว้เมื่อ 10 ปีก่อนเพื่อให้แม่อาศัย…
วาดวลี
----------ภายใต้แสงจันทร์  ที่ริมฝั่งนั้นพี่ยังจำได้ จงกลับคืนมาหารักดังเก่า  ลืมเรื่องร้ายคลายเศร้า เจ้าอย่าทำเมินไฉน พะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา----------“เพลงแปลกหูดีนะ ร้องเพลงอะไรเหรอ” “เพลงของเมืองที่เรากำลังจะไปนี่ไงล่ะ”คนตอบหักพวงมาลัย ซ้ายที ซ้ายที ขณะรถของเรากำลังไต่อยู่บนเส้นทางคดโค้งโอบล้อมไปด้วยภูเขา ฉันพยายามเอียงตัวเพื่อจะถ่ายรูป ฟ้ายามบ่ายสดใสเหมือนไม่มีเค้าฝน ฟังเพลงนั้นอย่างตั้งใจ “อ๋อ เพลงพะเยารอเธอ ใช่ไหม” ฉันถามอีกครั้งให้แน่ใจ คนร้องพยักหน้าหงึกหงัก ความทรงจำเก่าๆ ของเพลงต้นฉบับล่องลอยมาแต่ไกล…
วาดวลี
ระหว่างทุ่งนาเขียวขจีของฤดูฝน หรือ ถนนดินแดงเต็มไปด้วยผงฝุ่นฤดูแล้ง ยามหนึ่งในอดีตกาล ในความนึกคิดวัยเยาว์จำความได้ว่า ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันและเพื่อนต่างจ้ำอ้าวออกจากประตูโรงเรียนแทบไม่คิดชีวิต เปล่าหรอก เราไม่ได้เกลียดโรงเรียนขนาดนั้น ไม่ได้เบื่อคุณครู เพียงแต่เราคิดถึงพื้นที่อิสระ ที่เราไม่ต้องใส่ชุดกระโปรงแล้วกลัวเปื้อน มีที่วิ่งเล่น ได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีขนมกิน  มีคนดูแล และมีหนังสืออ่าน และพื้นที่ที่ว่านั้น ก็คือบ้านของเราเองบ้านของฉันห่างจากโรงเรียนไม่ถึงกิโลเมตร แค่ออกจากบ้านมาสัก 10 ก้าว ก็เห็นเสาธงตั้งโด่เด่ติดกับวัดของหมู่บ้าน ดังนั้น…
วาดวลี
“อีกนานเลยสินะ กว่าจะได้เจอกัน”สุ้มเสียงคนพูดเจือปนความอาวรณ์ ขณะโยนถุงใบเล็กใหญ่ใส่หลังรถกระบะสีขาวเก่าๆ ของเพื่อนผู้มีน้ำใจ เจ้าของรถหยอกเอินในฐานะเพื่อนสนิทว่า“ตอนมามีเสื้อผ้าชุดเดียว ขากลับทำไมมีของเยอะนัก”เขากำลังจะกลับบ้านชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันมาได้ปีกว่าแล้ว เขาเล่าว่า สมัยที่มาอยู่เชียงใหม่แรกๆ เพิ่งเรียนจบมัธยมสาม หางานทำในอำเภอไม่ได้ก็ลองเข้าเมืองมาเสี่ยงโชค เวลานั้น กราบลาพ่อแม่ แล้วนั่งรถโดยสารมาด้วยราคา 45 บาท กับระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตรมาอาทิตย์แรก ตระเวนขออาศัยยังหอพักเพื่อนที่พอรู้จัก จะอยู่บ้านใครนานก็เกรงใจคนอื่น ตะลอนหางานทำ ตั้งแต่พนักงานขนของ…