Skip to main content

เชียงใหม่ในวันที่ฝนซา เพื่อนที่แวะมาเยี่ยมต่อสายบอกว่ากลับถึงบางกอกเรียบร้อยดีแล้ว

เสียงอึกทึกครึกโครมที่รายล้อมตัวเธอบอกฉันว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพังขณะคุยโทรศัพท์ ฉันแซวเธอเล่นๆ ว่ากำลังอยู่ในถิ่นอโคจรหรือเปล่านะ ก็เราคุยกันแทบจะไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเพลง เสียงรถ และเสียงคนมากมาย

เธอหัวเราะชอบใจ แล้วตอบว่า "ใช่ ฉันอยู่ในถิ่นอะโคจร" แล้วย้อนสวนมาว่า
"ก็ดีกว่าอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเธอ"

25_06_1
ดอกหญ้าในสวนหลังบ้าน รกร้าง แต่ก็สวยงามในความรู้สึก 


ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้พูดเกินเลยเท่าไหร่ เพราะบ้านร้างในสวนของฉันนับวันจะมีเพื่อนตัวเล็กตัวน้อย เข้ามาอยู่ในบ้านมากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นอึ่งอ่าง ตะเข็บ ตะขาบ กิ้งกือ จิ้งเหลน รวมไปถึงกระทั่ง งู!

สองวันซ้อนในฤดูฝน ที่แมงป่องขนาดใหญ่ สีดำสนิท เดินอาดๆ เข้าบ้านมา จากที่ไม่อยากฆ่าสัตว์ เลยต้องทุบมันจนตัวบิดเบี้ยว พร้อมสับๆ ออกเป็นชิ้นๆ ฉันเพิ่งเข้าใจว่าความกลัวทำให้ความรุนแรงเข้าครอบงำได้ แม้จะไม่ใช่คนใจดีนักแต่ก็ฆ่าสัตว์ไม่ค่อยเป็น จนกระทั่งมันแอบไต่เข้ามาในที่นอน ผ่านช่องเล็กๆ ใต้ประตูเข้ามา

แล้วก็ต่อยจี้ดเข้ายังบริเวณท้องของคนข้างตัว
!
เขาลุกขึ้นด้วยความเจ็บจี้ด จากเจ็บเป็นจุก ชาตั้งแต่บริเวณท้องไปจนถึงต้นขา

ยามดึกและไกลเมือง จึงรักษาอาการด้วยการกดเอาเหล็กในออก จากนั้นทายาหม่อง ทำตามขั้นตอนการปฐมพยาบาลพื้นฐาน ดูว่าอาการจะเป็นยังไง หากไม่ดีขึ้นช่วงเช้าเราก็คงต้องพบแพทย์
โชคดีนักหนาว่า เหล็กในยังไม่ทันเข้ามาในตัว มันยังคาอยู่ตรงหางที่สั่นกระแด่วๆ ตอนเราทุบมัน

คิดแล้วก็ขนลุก แล้วก็รู้สึกกลัวจนหวาดผวาไปพักหนึ่ง นอนๆ แล้วก็ต้องตื่นเพราะรู้สึกว่ามีอะไรไต่ขา จนกระทั่งฉันใช้เวลา 2 วัน ในการตัดผ้าให้เป็นสี่เหลี่ยม อุดช่องต่างๆ ของบ้านให้หมดทุกช่อง ก่อนนอนต้องตรวจตราว่ามีช่องที่ปิดแล้ว นั่นล่ะ ถึงจะเข้านอนได้โดยสนิทใจ

24_06_2
ต้นไม้ใหม่บนผืนดิน ไม่เคยหยุดการเจริญเติบโต

เพื่อนของฉันหัวเราะคิกๆ เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เธอจึงย้ำในครั้งนี้อีกทีว่า
"บ้านเธอมันแดนสนธยาชัดๆ"
"มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะ" ฉันพยายามเถียง แม้ต้องยอมรับว่าฉันอยู่ในหมู่บ้านที่เงียบสงบมาก เกือบทุกคนเข้านอนตอน 2 ทุ่ม หากมัวทำงานไม่ออกไปหาอะไรกินในเวลาเดียวกับคนอื่น จะพบว่าแค่ 3 ทุ่มเท่านั้น ออกมายืนหน้าบ้านมองไปจะเหลือแต่ไฟถนน ไม่มีผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตผ่านมา ไม่มีอะไรให้ซื้อกิน แถมเริ่มมีหมาหอนในคืนพระจันทร์เต็มดวงอีกด้วย

"ฉันไม่อยากไปบ้านเธอแล้ว ไม่รู้มีผีด้วยหรือเปล่า มื๊ดมืด"
เพื่อนของฉันสารภาพ เรายังคุยกันออกรสชาติ  เวลานั้นฉันจึงขอตัวสักครู่ เสียบสายหูฟัง สำหรับการคุยนานๆ เปล่า ฉันไม่ได้ว่างหรอก แต่ฉันจะได้ใช้มือทั้งสองอย่างในการทำอย่างอื่น
"เดินไปไหนเหรอ" เธอถาม
ฉันหยิบกาละมัง เดินเข้าสวน
"ไปเก็บมะนาว" ฉันบอกเธอ หลังลมแรงเมื่อวาน มะนาวหลังบ้านฉันกองร่วงเต็มพื้นไปหมด เก็บได้ทีละไม่ต่ำกว่า 10 ลูก

24_06_3
มะนาวมากมายที่ไม่ต้องสอย ร่วงหล่นลงพื้นเวลามีลมพัดแรง

"ระวังงูล่ะ" เธอบอก ระหว่างนั้นฉับเหลือบไปเห็นลูกกระท้อนน้อยใหญ่หล่นร่วงจากต้นเช่นกัน มีลูกขนาดเล็กที่ยังสีไม่สดเท่าไหร่ คงร่วงเพราะแรงลม แล้วก็มีลูกโตๆ สีเหลืองสวยน่ากิน บางลูกคงหล่นนานแล้ว มีรอยช้ำ แต่บางลูกแค่หยิบมาดมก็ได้กลิ่นเหมือนเพิ่งเด็ดจากต้น

"แป๊บนะ กำลังเก็บกระท้อน"
ฉันรายงานสดไปด้วย เพราะรู้ว่าเพื่อนมีเวลาคุยไม่มาก หลังจากนี้เธอต้องเดินทางไกล อีกนานกว่าจะได้คุยกันอีก
"อย่าบอกนะว่ามุดเข้าไปใกล้รั้วรกๆ นั่น" เธอว่า ฉันหัวเราะเบาๆ ดูเธอจะจำภาพบ้านของฉันได้ดี

ฉันทำอย่างที่เธอว่านั่นแหละ มุดไปขอบรั้ว เก็บกระท้อนและมะนาวจนเกือบเต็มกะละมัง เพื่อนฉันถามว่า จะเอามันไปทำอะไรเหรอ นั่นสิ ฉันยังนึกไม่ออก กินคนเดียวก็คงไม่หมดแน่
 "นั่นสิ ว่าจะเอาไปแบ่งข้างบ้าน แต่เขาก็มีเหมือนกัน เยอะกว่าบ้านเราอีกนะ"

25_06_4
มะนาวและกระท้อนที่เก็บได้ของวันนี้

ฉันเล่าให้เธอฟัง เช่นเดียวกับขนุนลูกใหญ่ที่สุกงอมจนร่วงจากต้นลงมา กลิ้งตกไปยังหลังคาคนข้างบ้าน ทำเอากระเบื้องเขาแตก เป็นรู ฉันจึงต้องจ่ายเงินหาคนมาตัดกิ่งไม้และเอ่ยปากช่วยซ่อมหลังคา แต่ว่าเขาปฏิเสธ เห็นว่าเป็นเรื่องปกติและสุดวิสัย และกระเบื้องนั้นก็มีอายุมากแล้ว
"แล้วขนุนลูกนั้นนะ ก็ใหญ่มาก สุก หอมด้วยล่ะ แต่ไม่มีใครกินเลย"

24_06_7
ขนุนบนต้น ลูกใหญ่ใกล้สุก

ฉันเล่าอย่างออกรสชาติ เพื่อนหัวเราะชอบใจ เธอบอกฉันให้ผ่าแล้วล้าง ลอกออกมาเป็นชิ้นๆ ใส่ถุงแล้วก็วางขายหน้าบ้าน เธอบอกว่าคงได้กำไรดีทีเดียว
"คงไม่มีใครซื้อหรอก" ฉันบอก

ก็คนแถวนี้มีขนุนกันเกือบทุกบ้าน ฉันตะโกนถามใครก็ไม่มีใครเอา บอกว่ากินกันแทบไม่ทันอยู่แล้ว แม้จะเอามะนาวไปแลกขนุนเขาก็ยังให้มาฟรีๆ อีกตั้งมาก จนมีคนบอกว่าให้หอบเอาไปแลกกับลิ้นจี่บ้านท้ายสวนน่าจะดีกว่า เพราะบ้านหลังนั้นไม่มีขนุน ฉันก็จึงได้แต่บ้าเก็บผลหมากรากไม้เหล่านี้ใส่ตู้เย็นไว้ รอว่าถ้าออกไปข้างนอกวันไหน ก็จะได้แวะแบ่งให้พี่สาว หรือคนที่รู้จัก กระจายกันไปตามๆ กัน

"บางทีเราอาจจะเอากระท้อนพวกนี้มาดองหรือทำแช่อิ่มไว้"
ฉันเล่าแผนการให้เพื่อนฟัง เธอถอนหายใจยาวๆๆ แล้วแซวมาว่า
"นี่แหละน้า อยากไปอยู่บ้านสวน ต้องทำอะไรมากมาย ไหนจะต้องตัดกิ่งไผ่ที่ล้ม ดองผัก เก็บผลไม้ ทำเหมือนยังกับมีเวลามากงั้นแหละ"

24_06_5


24_06_6
ตำลึงริมรั้วที่งอกงาม

ฉันรู้ว่าเธอพูดเล่น ก็จริงที่เวลาไม่ได้มีมากนัก  แต่นอกจากเสียดายแล้ว ฉันก็ยังอยากทำอยู่ดี

ยังไม่นับกับการเก็บตำลึงที่กองริมรั้วกินแทบไม่ทัน ลำไยลูกโตๆ ที่เจ้าของไม่เคยมาเยี่ยมมันเลยสักครั้ง แล้วก็ยังมีมะม่วงริมแม่น้ำนั่นอีก พอสุกงอมแล้วไม่รู้ทำมะม่วงแผ่นมันจะอร่อยหรือเปล่า

"เฮ้อ ฉันต้องไปแล้วล่ะ หิวข้าวแล้ว ต้องรีบไปซื้อเพราะเดี๋ยวคนมันจะเยอะมากๆๆๆ แต่ร้านแถวนี้อร่อยที่สุด ต้องรีบแย่งนะไม่งั้นหมด เราต้องซื้อก่อนพวกออฟฟิศจะออกจากตึก อยากให้เธอมากินขาหมูมากๆ ไม่เกินเที่ยงก็เกลี้ยงแล้ว ถ้าพูดไม่ถูกหูแม่ค้าก็ไม่ขายด้วยนะ แกหยิ่ง..."
เธอพูดยืดยาวด้วยความเร็วสูง ฉันพอจะนึกภาพระหว่างมื้อในเมืองหลวงออก คงต่างกันลิบลับ กับความเงียบและสภาพที่ฉันกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บกะท้อนอยู่ในป่าดงดิบเช่นตอนนี้

"ไว้คุยกันใหม่นะจ้ะ แม่สาวในแดนสนธยา ส่วนฉันมีเวลา 15 นาทีกินข้าว เดี๋ยวไปธุระต่อไม่ทัน รถจะติดมากๆๆ ไปละ บายจ้ะ"

ฉันวางสายไปแล้ว ยืนสงบนิ่งนิดหนึ่ง พลางนึกสลับภาพไปมาระหว่างถนนกรุงเทพฯ ป้ายรถเมล์หน้าตึก รถไฟฟ้า แสงไฟสว่างไสวของเมืองที่ไม่เคยหลับไป พร้อมหันมาพิจารณาบ้านสวนรกร้างของฉัน ก่อนจะตั้งคำถามเล็กๆ ว่า

ที่ไหนกันแน่นะคือแดนสนธยา สำหรับฉัน ?

24_06_8
ซากหอยทากบนพื้น ส่วนหนึ่งของแดนสนธยา : )

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
1.อากาศยามเช้าหนาวไอเย็นแผ่วเบา พัดมาจากภูเขาสูงผ่านทางไกล ใกล้รุ่งฝ่าหมอกคลุ้งสีเทา-เทา
วาดวลี
ฉันกับเพื่อนหย่อนก้นบนเก้าอี้ไม้ริมถนนของเมืองเชียงของ เราสั่งชานม ชามะนาว และกาแฟมากินให้สดชื่นหลังจากนั่งรถมาเป็นชั่วโมง มองดูผู้คนมาเยือนสวนทางกับเจ้าของท้องถิ่นไปมาในวันหยุด"เรากำลังจะไปที่ไหนต่อ"เพื่อนร่วมทางถามฉัน ฉันเหลือบมองเขา ไม่ตอบ แล้วคว้าหนังสืออ่านเล่นในร้านกาแฟมาเปิดอ่าน เราเพิ่งมาถึง แล้วจะไปไหน เธอถามแปลกจัง ฉันอยากตอบเล่นๆ ว่า เดี๋ยวจะพาเธอไปลงว่ายน้ำโขงเล่นก็แล้วกัน"เราต้องไปกินปลาบึกไหม?"เพื่อนถาม ฉันเกือบสำลักชามะนาว “เธออยากกินเหรอ”ฉันถามกลับ เขาทำหน้าไม่ถูก แต่แววตาลังเล “ก็มีคนบอกว่ามาเชียงของต้องกินปลาบึก”ฉันอมยิ้ม ฉันก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้…
วาดวลี
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว…
วาดวลี
1ฤดูหนาวไม่ได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว มันแสดงตัวตน ชัดเจน ผ่านอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า รอยน้ำค้าง ประทับตรงนั้นตรงนี้  แม้กระทั่งบนขนตาของเธอ  หญิงวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมาพร้อมกับข้าวของในมือที่มากจนจักรยานแทบเสียหลัก เธอจอดรถไว้ข้างๆ รั้ว หิ้วของ วางลง และยกมือเช็ดน้ำค้างบนขนตา2“หนาวมากไหม”เธอเอ่ยถามอย่างอาทร ฉันพยักหน้า อดคิดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หากจะคิดถึงฤดูหนาวและการอยู่ร่วมกัน  แค่คิดถึงการซุกตัวใน “ผ้าห่มขี้งา” ร่วมกับแม่ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้ว หน้าหนาวพ่อจะให้ฉันนอนตรงกลาง เพื่อให้อุ่นมากพอ …
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า…
วาดวลี
ฤดูหนาวยามสาย แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ…
วาดวลี
“หนาวไหมครับ”ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อนขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้…
วาดวลี
ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้ โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ” ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้…
วาดวลี
“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่ ............ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ…
วาดวลี
ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวลเมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้านนวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”“แม่เหรอ?”ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก…
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น…
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก…