เชียงใหม่ในวันที่ฝนซา เพื่อนที่แวะมาเยี่ยมต่อสายบอกว่ากลับถึงบางกอกเรียบร้อยดีแล้ว
เสียงอึกทึกครึกโครมที่รายล้อมตัวเธอบอกฉันว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพังขณะคุยโทรศัพท์ ฉันแซวเธอเล่นๆ ว่ากำลังอยู่ในถิ่นอโคจรหรือเปล่านะ ก็เราคุยกันแทบจะไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเพลง เสียงรถ และเสียงคนมากมาย
เธอหัวเราะชอบใจ แล้วตอบว่า "ใช่ ฉันอยู่ในถิ่นอะโคจร" แล้วย้อนสวนมาว่า
"ก็ดีกว่าอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเธอ"
ดอกหญ้าในสวนหลังบ้าน รกร้าง แต่ก็สวยงามในความรู้สึก
ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้พูดเกินเลยเท่าไหร่ เพราะบ้านร้างในสวนของฉันนับวันจะมีเพื่อนตัวเล็กตัวน้อย เข้ามาอยู่ในบ้านมากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นอึ่งอ่าง ตะเข็บ ตะขาบ กิ้งกือ จิ้งเหลน รวมไปถึงกระทั่ง งู!
สองวันซ้อนในฤดูฝน ที่แมงป่องขนาดใหญ่ สีดำสนิท เดินอาดๆ เข้าบ้านมา จากที่ไม่อยากฆ่าสัตว์ เลยต้องทุบมันจนตัวบิดเบี้ยว พร้อมสับๆ ออกเป็นชิ้นๆ ฉันเพิ่งเข้าใจว่าความกลัวทำให้ความรุนแรงเข้าครอบงำได้ แม้จะไม่ใช่คนใจดีนักแต่ก็ฆ่าสัตว์ไม่ค่อยเป็น จนกระทั่งมันแอบไต่เข้ามาในที่นอน ผ่านช่องเล็กๆ ใต้ประตูเข้ามา
แล้วก็ต่อยจี้ดเข้ายังบริเวณท้องของคนข้างตัว !
เขาลุกขึ้นด้วยความเจ็บจี้ด จากเจ็บเป็นจุก ชาตั้งแต่บริเวณท้องไปจนถึงต้นขา
ยามดึกและไกลเมือง จึงรักษาอาการด้วยการกดเอาเหล็กในออก จากนั้นทายาหม่อง ทำตามขั้นตอนการปฐมพยาบาลพื้นฐาน ดูว่าอาการจะเป็นยังไง หากไม่ดีขึ้นช่วงเช้าเราก็คงต้องพบแพทย์
โชคดีนักหนาว่า เหล็กในยังไม่ทันเข้ามาในตัว มันยังคาอยู่ตรงหางที่สั่นกระแด่วๆ ตอนเราทุบมัน
คิดแล้วก็ขนลุก แล้วก็รู้สึกกลัวจนหวาดผวาไปพักหนึ่ง นอนๆ แล้วก็ต้องตื่นเพราะรู้สึกว่ามีอะไรไต่ขา จนกระทั่งฉันใช้เวลา 2 วัน ในการตัดผ้าให้เป็นสี่เหลี่ยม อุดช่องต่างๆ ของบ้านให้หมดทุกช่อง ก่อนนอนต้องตรวจตราว่ามีช่องที่ปิดแล้ว นั่นล่ะ ถึงจะเข้านอนได้โดยสนิทใจ
ต้นไม้ใหม่บนผืนดิน ไม่เคยหยุดการเจริญเติบโต
เพื่อนของฉันหัวเราะคิกๆ เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เธอจึงย้ำในครั้งนี้อีกทีว่า
"บ้านเธอมันแดนสนธยาชัดๆ"
"มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะ" ฉันพยายามเถียง แม้ต้องยอมรับว่าฉันอยู่ในหมู่บ้านที่เงียบสงบมาก เกือบทุกคนเข้านอนตอน 2 ทุ่ม หากมัวทำงานไม่ออกไปหาอะไรกินในเวลาเดียวกับคนอื่น จะพบว่าแค่ 3 ทุ่มเท่านั้น ออกมายืนหน้าบ้านมองไปจะเหลือแต่ไฟถนน ไม่มีผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตผ่านมา ไม่มีอะไรให้ซื้อกิน แถมเริ่มมีหมาหอนในคืนพระจันทร์เต็มดวงอีกด้วย
"ฉันไม่อยากไปบ้านเธอแล้ว ไม่รู้มีผีด้วยหรือเปล่า มื๊ดมืด"
เพื่อนของฉันสารภาพ เรายังคุยกันออกรสชาติ เวลานั้นฉันจึงขอตัวสักครู่ เสียบสายหูฟัง สำหรับการคุยนานๆ เปล่า ฉันไม่ได้ว่างหรอก แต่ฉันจะได้ใช้มือทั้งสองอย่างในการทำอย่างอื่น
"เดินไปไหนเหรอ" เธอถาม
ฉันหยิบกาละมัง เดินเข้าสวน
"ไปเก็บมะนาว" ฉันบอกเธอ หลังลมแรงเมื่อวาน มะนาวหลังบ้านฉันกองร่วงเต็มพื้นไปหมด เก็บได้ทีละไม่ต่ำกว่า 10 ลูก
มะนาวมากมายที่ไม่ต้องสอย ร่วงหล่นลงพื้นเวลามีลมพัดแรง
"ระวังงูล่ะ" เธอบอก ระหว่างนั้นฉับเหลือบไปเห็นลูกกระท้อนน้อยใหญ่หล่นร่วงจากต้นเช่นกัน มีลูกขนาดเล็กที่ยังสีไม่สดเท่าไหร่ คงร่วงเพราะแรงลม แล้วก็มีลูกโตๆ สีเหลืองสวยน่ากิน บางลูกคงหล่นนานแล้ว มีรอยช้ำ แต่บางลูกแค่หยิบมาดมก็ได้กลิ่นเหมือนเพิ่งเด็ดจากต้น
"แป๊บนะ กำลังเก็บกระท้อน"
ฉันรายงานสดไปด้วย เพราะรู้ว่าเพื่อนมีเวลาคุยไม่มาก หลังจากนี้เธอต้องเดินทางไกล อีกนานกว่าจะได้คุยกันอีก
"อย่าบอกนะว่ามุดเข้าไปใกล้รั้วรกๆ นั่น" เธอว่า ฉันหัวเราะเบาๆ ดูเธอจะจำภาพบ้านของฉันได้ดี
ฉันทำอย่างที่เธอว่านั่นแหละ มุดไปขอบรั้ว เก็บกระท้อนและมะนาวจนเกือบเต็มกะละมัง เพื่อนฉันถามว่า จะเอามันไปทำอะไรเหรอ นั่นสิ ฉันยังนึกไม่ออก กินคนเดียวก็คงไม่หมดแน่
"นั่นสิ ว่าจะเอาไปแบ่งข้างบ้าน แต่เขาก็มีเหมือนกัน เยอะกว่าบ้านเราอีกนะ"
มะนาวและกระท้อนที่เก็บได้ของวันนี้
ฉันเล่าให้เธอฟัง เช่นเดียวกับขนุนลูกใหญ่ที่สุกงอมจนร่วงจากต้นลงมา กลิ้งตกไปยังหลังคาคนข้างบ้าน ทำเอากระเบื้องเขาแตก เป็นรู ฉันจึงต้องจ่ายเงินหาคนมาตัดกิ่งไม้และเอ่ยปากช่วยซ่อมหลังคา แต่ว่าเขาปฏิเสธ เห็นว่าเป็นเรื่องปกติและสุดวิสัย และกระเบื้องนั้นก็มีอายุมากแล้ว
"แล้วขนุนลูกนั้นนะ ก็ใหญ่มาก สุก หอมด้วยล่ะ แต่ไม่มีใครกินเลย"
ขนุนบนต้น ลูกใหญ่ใกล้สุก
ฉันเล่าอย่างออกรสชาติ เพื่อนหัวเราะชอบใจ เธอบอกฉันให้ผ่าแล้วล้าง ลอกออกมาเป็นชิ้นๆ ใส่ถุงแล้วก็วางขายหน้าบ้าน เธอบอกว่าคงได้กำไรดีทีเดียว
"คงไม่มีใครซื้อหรอก" ฉันบอก
ก็คนแถวนี้มีขนุนกันเกือบทุกบ้าน ฉันตะโกนถามใครก็ไม่มีใครเอา บอกว่ากินกันแทบไม่ทันอยู่แล้ว แม้จะเอามะนาวไปแลกขนุนเขาก็ยังให้มาฟรีๆ อีกตั้งมาก จนมีคนบอกว่าให้หอบเอาไปแลกกับลิ้นจี่บ้านท้ายสวนน่าจะดีกว่า เพราะบ้านหลังนั้นไม่มีขนุน ฉันก็จึงได้แต่บ้าเก็บผลหมากรากไม้เหล่านี้ใส่ตู้เย็นไว้ รอว่าถ้าออกไปข้างนอกวันไหน ก็จะได้แวะแบ่งให้พี่สาว หรือคนที่รู้จัก กระจายกันไปตามๆ กัน
"บางทีเราอาจจะเอากระท้อนพวกนี้มาดองหรือทำแช่อิ่มไว้"
ฉันเล่าแผนการให้เพื่อนฟัง เธอถอนหายใจยาวๆๆ แล้วแซวมาว่า
"นี่แหละน้า อยากไปอยู่บ้านสวน ต้องทำอะไรมากมาย ไหนจะต้องตัดกิ่งไผ่ที่ล้ม ดองผัก เก็บผลไม้ ทำเหมือนยังกับมีเวลามากงั้นแหละ"
ตำลึงริมรั้วที่งอกงาม
ฉันรู้ว่าเธอพูดเล่น ก็จริงที่เวลาไม่ได้มีมากนัก แต่นอกจากเสียดายแล้ว ฉันก็ยังอยากทำอยู่ดี
ยังไม่นับกับการเก็บตำลึงที่กองริมรั้วกินแทบไม่ทัน ลำไยลูกโตๆ ที่เจ้าของไม่เคยมาเยี่ยมมันเลยสักครั้ง แล้วก็ยังมีมะม่วงริมแม่น้ำนั่นอีก พอสุกงอมแล้วไม่รู้ทำมะม่วงแผ่นมันจะอร่อยหรือเปล่า
"เฮ้อ ฉันต้องไปแล้วล่ะ หิวข้าวแล้ว ต้องรีบไปซื้อเพราะเดี๋ยวคนมันจะเยอะมากๆๆๆ แต่ร้านแถวนี้อร่อยที่สุด ต้องรีบแย่งนะไม่งั้นหมด เราต้องซื้อก่อนพวกออฟฟิศจะออกจากตึก อยากให้เธอมากินขาหมูมากๆ ไม่เกินเที่ยงก็เกลี้ยงแล้ว ถ้าพูดไม่ถูกหูแม่ค้าก็ไม่ขายด้วยนะ แกหยิ่ง..."
เธอพูดยืดยาวด้วยความเร็วสูง ฉันพอจะนึกภาพระหว่างมื้อในเมืองหลวงออก คงต่างกันลิบลับ กับความเงียบและสภาพที่ฉันกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บกะท้อนอยู่ในป่าดงดิบเช่นตอนนี้
"ไว้คุยกันใหม่นะจ้ะ แม่สาวในแดนสนธยา ส่วนฉันมีเวลา 15 นาทีกินข้าว เดี๋ยวไปธุระต่อไม่ทัน รถจะติดมากๆๆ ไปละ บายจ้ะ"
ฉันวางสายไปแล้ว ยืนสงบนิ่งนิดหนึ่ง พลางนึกสลับภาพไปมาระหว่างถนนกรุงเทพฯ ป้ายรถเมล์หน้าตึก รถไฟฟ้า แสงไฟสว่างไสวของเมืองที่ไม่เคยหลับไป พร้อมหันมาพิจารณาบ้านสวนรกร้างของฉัน ก่อนจะตั้งคำถามเล็กๆ ว่า
ที่ไหนกันแน่นะคือแดนสนธยา สำหรับฉัน ?
ซากหอยทากบนพื้น ส่วนหนึ่งของแดนสนธยา : )