Skip to main content

อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว

ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน  ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน

ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน

คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ
"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"
เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน
เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆ
แล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น

"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง"
"อากาศวิปริต"
"จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี"
"เฮ้ย ยังไม่ถึง"
ฯลฯ

ฉันยืนนิ่งๆ  พร้อมห่ออาหารในมือ สายตามองดูเม็ดฝน หูก็ฟังพวกเขาคุยกัน
คุณลุงคนหนึ่งขี่จักรยานฝ่าสายฝนมา จอดรถเสร็จ ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินอาดเข้ามาหายาย
"ลาบดิบมีไหม ข้าวเหนียวด้วยเน้อ"

แกนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ ซึ่งมีอยู่โต๊ะเดียวในร้าน ยายทำตาแลมอง แล้วเดินเข้าไปใกล้
"ฝนตกซิกๆ แบบนี้จะกินลาบดิบเหรอ เอาแกงอ่อมอุ่นๆ หน่อยไหม"

ยายไม่กลัวเลย ว่าจะขายของไม่ได้ เสนอเมนูแกงอ่อมร้อนๆ น่ากินนัก
"แกงอ่อมไม่เอา เอาเบียร์ช้างขวดหนึ่ง" ลุงตะโกนตอบ
"ปาดโทะ จะกินแต่เช้าเลยเหรอ"
คุณยายอดแสดงความเห็นไม่ได้ แต่ก็เดินไปทำกับข้าวแต่โดยดี

เปิดฝาถังแช่ หยิบหมูที่สับไว้แล้ว ตักใช่กะละมัง จากนั้นก็ตักน้ำพริกลาบ คลุกเคล้าผสม เติมเครื่องเทศ หยอดเลือดสดๆ เข้าไป คลุกๆ แล้วก็เติมเต็มด้วยเครื่องในหั่นเป็นชิ้นๆ

ลุงผู้ชายคงเปรี้ยวปากน่าดู ขออนุญาตเดินไปหยิบเบียร์เอง แล้วก็นั่งรอ
"อากาศแบบนี้ ฝนซิกๆ ครึ้มอกครึ้มใจเหรออ้าย"

ใครบางคนตะโกนถาม ลุงผู้ชายส่ายหัวแทนคำตอบ
"ฝนตกแบบนี้ มันก็อยากกิน กินแก้เครียด  อ้ายตากตอกเอาไว้ มันชื้นมาหลายวันแล้วไม่มีแดด มาวันนี้ฝนตก เก็บแล้วก็ยังขึ้นรา"
"ก็ดีแล้ว  ได้พักผ่อนสักวัน"
ยายให้กำลังใจอย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องหนักหนา ขณะโรยหน้าลาบรสเด็ดด้วยต้นหอม ผักชี แล้วยกมาเสริ์ฟ

ลุงตักลาบใส่ปาก ตามด้วยเบียร์อีกคำ หน้าตาชื่นอกชื่นใจ
"จะว่าไป ฝนตกก็ดี มันแล้งเกินไป ต้นไม้เหลืองหมด ดูน้ำในคลองสิ ถึงเข่า"
เขาหมายถึงน้ำปิงน้อยที่ไหลผ่านข้างหมู่บ้าน ที่ตอนนี้เดินไปลงเล่นได้โดยไม่ต้องกลัวจม

ยายฟังแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
"ก็เห็นพากันไปจับปลาสบายใจอยู่นี่วันก่อน"
"ก็น้ำมันแห้ง ปลาจะตายเอา จับก็ง่าย ได้ไปหลายมื้อใหญ่"
"แล้วไม่ดีเรอะ" ยายทำเสียงแหลม
"ไม่ดีน่ะสิ จับกันทีสิบคน รอบเดียวหมดคลอง ฮ่าๆ"
คุยไปหัวเราะไป ไม่รู้ว่าเพราะเขาเป็นคนอารมณ์ดี หรือเพราะฟ้าฝนเป็นแบบนี้

มองไปบนท้องฟ้า ฝนซาลงบ้างแล้ว ฉันขยับตัว เตรียมออกไป
ยายมีแก่ใจเป็นห่วง เอื้อมไปหยิบถุงพลาสติกเก่าๆ ส่งให้ใบหนึ่ง
"เอาคลุมหัวไว้หนู"
ไม่อยากรับ แต่ก็ไม่อยากขัดใจยาย เอ่ยขอบคุณแล้ว ก็ได้ยินเสียงยายรำพึงเบาๆ
"ไม่รู้มันจะตกอีกกี่วัน ยายจะได้ตุนของเอาไว้ ไม่งั้นออกไปตลาดไม่ได้ จะไม่มีของขายเอา"
"อ๋อค่ะ ลำบากหน่อยเนอะ"
ฉันพูดได้แค่นั้น  ยายพยักหน้า ก่อนจะตามด้วยประโยคที่ว่า
"ฝนหลงฤดู คนก็ต้องปรับเปลี่ยนตาม"

นี่เป็นบทสรุปจากเจ้าของแผงผักเล็กๆ และคนทำลาบขาย
บางทีบทสรุปนั้น อาจเผื่อแผ่ไปยังคุณลุงที่นั่งเคี้ยวลาบตุ้ยๆ อยู่ หรือคุณป้าอีกหลายคน ที่พากันติดฝน และเลือกซื้อข้าวของอยู่

บางคนเหลือบมองเวลา ที่จะออกไปจัดการธุระ สลับกับมองสายฝน
บางคนคิดแผนใหม่ ว่าจะทำอะไรดีในวันนี้
และบางคนคิดเลยไกลออกไปถึงอีกหลายๆ วัน ของฤดูกาลข้างหน้า

ฉันขี่รถฝ่าสายฝนมา พลางคิดในใจว่า อย่างน้อย ขอให้เป็นแค่สายฝนที่หลงฤดู อย่ามีอะไรหนักหนาให้ถึงกับต้องเปลี่ยนชีวิตบางด้านต้องหลงทางไปด้วย

หรือก็ไม่แน่ว่า...
บางที ฤดูกาล ก็แค่มาเตือนให้รู้ว่า มนุษย์เราหลงทางไปล่วงหน้า ตั้งนานแล้ว

ก็ไม่รู้.

20080130 เรื่องเล่าริมทางเดิน (1)

20080130 เรื่องเล่าริมทางเดิน (2)

20080130 เรื่องเล่าริมทางเดิน (3)

20080130 เรื่องเล่าริมทางเดิน (4)

20080130 เรื่องเล่าริมทางเดิน (5)

20080130 เรื่องเล่าริมทางเดิน (6)

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ได้กินเห็ดถอบหรือยังลูก"คำถามแรกจากหญิงวัยใกล้ชราซึ่งเอื้อนเอ่ยแข่งกับเสียงฝนตกเปาะแปะอยู่นอกชานเรือน เธอเป็นแม่คนที่สองของฉัน ที่รักใคร่เอ็นดูเหมือนแม่แท้ๆ กวักมือเรียกให้ไปช่วยดาขันโตก แม้ฉันจะทำท่าแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไปเยือนบ้านเกิดวันนี้ตั้งใจจะไปกินข้าวมื้อกลางวันกับพ่อ แต่ทำยังไงได้ในเมื่ออาหารการกินสำรับเตรียมไว้เพียบพร้อม ฉันนึกถึงคำของแม่แท้ๆ ที่บอกว่าถ้าผู้ใหญ่ชวนทานข้าว ก็อย่าได้ทำให้เขาเสียใจ
วาดวลี
  1."ผมชอบรถคันนั้นจริงๆ"เพื่อนชายวัย 33 ปีของฉันบอก หลังจากนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นานหลายชั่วโมง ภาพเวบไซต์แห่งหนึ่งปรากฏภาพรถคันเล็กๆ สีขาวทั้งคัน เป็นรถเฟี๊ยสที่ฉันจำปี พ.ศ.และรุ่นไม่ได้ รู้แต่ว่ามันน่าจะมีอายุเกือบเท่าๆ เขาด้วยซ้ำ
วาดวลี
  ท้องทุ่งแห่งความทรงจำ มีกลิ่นอบอวลด้วยดอกไม้ ทุ่งหญ้า และกลิ่นชื้นของที่ดินริมแม่น้ำ พ่อของฉันตื่นนอนก่อนลูกๆ ในเช้าก่อนวันสงกรานต์ เขาส่งเสียงร้องเอื้อนเอ่ยเป็นทำนองของค่าวซอบนเก้าอี้ไม้ หันหน้าไปหาแม่น้ำและดวงอาทิตย์ ในมือถือกระดาษมีเส้น บรรจุตัวอักษรที่เขาเขียนแต่งขึ้นมาเอง และเนื้อหาในนั้นก็กำลังกล่าวถึงวันคืนของปีเก่าที่ผ่านไปและปีใหม่เมือง ที่กำลังจะมา
วาดวลี
"บนท้องฟ้านั้นมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง"  ฉันไม่รู้ว่าจำประโยคนี้มาจากไหน  แล้วก็มีคนเคยเห็นด้วยอย่างปักใจว่าบางทีท้องฟ้าก็โกหกเราได้  สีฟ้าแบบนี้ไม่ควรจะมีฝน  ประกายสีส้มจากดวงตะวันแบบนั้น  มองเผินๆ  คล้ายเตือนว่าพายุจะมา  แต่สุดท้ายก็เหลือแค่อากาศร้อนอบอ้าว
วาดวลี
 
วาดวลี
   ๑.หัวเราะกับความแยบยลของชีวิตที่บางครั้งตกหลุมพรางความหยาบกระด้างเมื่อรู้สึกได้กับความละเอียดอ่อนก็เห็นค่าจนไม่อยากจะสูญเสีย
วาดวลี
 ฉันนั่งมองกลีบดอกไม้สีชมพูที่หน้าตาเหมือนๆ กัน ผ่านทางกระจกรถ ขณะคิดในใจว่า เดือนกุมภาพันธ์ที่ฉันรักได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เดือนที่อากาศเย็นแสนทรมานจะค่อยๆ คลายตัวลงเป็นเย็นสบายกำลังดี ดอกไม้สีเหลือง สีขาว สีส้ม และสีชมพูจะบานสะพรั่งเต็มต้น เรียงรายตลอดถนน แสงแดดเช้าและบ่ายนั้นสวยงาม เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่โปร่งใส มีก้อนเมฆสีขาวฟูฟ่องลอยไปมาแต่ความเป็นจริงเวลานี้คือวิทยุกำลังประกาศซ้ำๆ เรื่องมลภาวะเป็นพิษเพราะหมอกควัน และเน้นย้ำให้เราป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น
วาดวลี
ชายชรายิ้มหวานให้ฉัน ทันทีที่เขารู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว ยิ้มบนริมฝีปากเบี้ยวๆ หนังตากระตุก ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่ฉันรู้สึกได้ในตอนนั้นว่าเป็นยิ้มที่แสนหวานกว่าใครๆ ทีเดียว และเชื่อว่าเป็นยิ้มแรกของวันนี้ก่อนหน้านี้หลายนาที เขาพาตาช้ำๆ ย่างก้าวมาอย่างเซๆ ออกจากห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ตอนที่เจอกันฉันยกมือไหว้ สวมกอดเขาหลวมๆ พาเขาไปนั่งลงตรงระเบียง เขาพยายามสื่อสารทั้งที่อาการไม่หายดีนัก เขาเล่าว่าวันนี้ตื่นแต่เช้ามืดเช่นทุกวัน นึ่งข้าวทิ้งไว้แล้วก็มาบริหารร่างกาย จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ แล้วจบท้ายที่การบริหารอีกรอบ แต่อยู่ๆ แขนขาซีกหนึ่งก็ไม่มีแรง เบานุ่นเหมือนสำลี…
วาดวลี
“จะทำอะไรบ้างคะน้อง...” พี่ช่างผมคนใหม่ยิ้มกริ่ม เมื่อต้อนรับลูกค้าอย่างฉันแล้วพาไปนอนบนเปลสระผมในบ่ายแก่ๆ ของวันหยุด ฉันยิ้มให้เขา หยุดคิดในใจนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบไปเบาๆ ว่า “ช่วยตัดเล็มปลายผมแค่นั้นก็พอค่ะ” “แล้วสระกับไดร์ด้วยไหม” ฉันพยักหน้า เธอตอบรับด้วยท่าทางคล่องแคล่ว จากนั้นก็โน้มศีรษะฉันให้ลงพอดีกับอ่าง เปิดน้ำจากสายยางเย็นเจี๊ยบราดรดลงไปบนศีรษะ เธอจับเส้นผมฉันเบาๆ อย่างเกรงใจ แล้วกระซิบมาข้างๆ หู “ถ้าแรงไปก็บอกนะ พี่มักจะเผลอตัว ถ้าไม่ให้นวดหัวก็บอกได้”
วาดวลี
"ยี่เป็ง” เป็นชื่อแมวของฉันเอง ซึ่งตั้งให้แมวตัวสีขาวลายสีเทา ทรงหน้าเหลี่ยม หางกุด ตัวเท่ากำปั้น ที่กระโดดขึ้นมาอยู่บนตักขณะกินจิ้มจุ่มในวันลอยกระทงเมื่อ 2 ปีก่อน และจากนั้นมาอีก 1 ชั่วโมง ฉันก็ถามตัวเองอีกครั้งว่า เราจะมีลูกแมวเลี้ยงเพิ่มอีกหนึ่งตัวหรือนี่ ทั้งที่การมีแมวแสนไฮเปอร์ชื่อ “พี่แม้ว” แค่ตัวเดียวนั้นยังรับมือแทบจะไม่ไหว แต่นั่นเป็นการถามตัวเองเมื่อกลับมาถึงบ้านโดยมียี่เป็งในอ้อมแขน
วาดวลี
ในฐานะที่ต้นพืชต้นนี้ถูกฉันเรียกว่าเป็น “ถั่ววิเศษ” หากมันพูดได้ มันคงสงสัยในตัวฉันว่า จะคอยจับจ้องมันไปถึงไหน ทั้งเช้าทั้งเย็น นอกจากวนเวียนรดน้ำแล้วก็ยังแอบถ่ายรูป สังเกตสังกา พาเพื่อนมาชมแปลงถั่ว เฝ้าจับจ้องแมลงตัวน้อยนิดที่บินมาเกาะ มากัดกิน พลางครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้กิ่งใบของมันเสียหายก่อนเวลาอันสมควร ถั่ววิเศษอาจกำลังสอนฉันว่า อย่าคาดหวังในตัวมันมากเกินไปกระมัง ในแปลงผักแปลงเดียว เมล็ดพันธุ์ที่หยอดหว่านลงไปนั้น กำลังเติบโตได้อย่างแตกต่างกัน บางต้น อวบอิ่ม สีเขียวสด ยืดลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 10 เซนติเมตรได้ ขยายใบเล็กๆ นั้นกลายเป็นใบกว้าง เติบใหญ่อย่างมีสุขภาพดี
วาดวลี
  ปีนี้ฉันได้ของขวัญปีใหม่เป็นเมล็ดถั่วมันเป็นเมล็ดแห้งๆ ที่นอนเรียงตัวอยู่ในฝักสีน้ำตาล ห่อมาในถุงพลาสติกใช้แล้วยับยู่ยี่ คนที่ยื่นให้บอกฉันว่าด้วยแววตาล้อเลียนว่า "มันเป็นถั่ววิเศษ"