Skip to main content

 

เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2555 นิสิตรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเชิญไปร่วมกิจกรรมจุฬาวิชาการ โดยให้ไปวิจารณ์บทความนิสิตปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ 4 ชิ้น 1) ว่าด้วยเบื้องหลังทางการเมืองของการก่อตั้งองค์การอาเซียน 2) ว่าด้วยบทบาทและการต่อรองระหว่างประเทศในอาเซียน 3) ว่าด้วยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าของธุรกิจเอกชนไทยในคู่ค้าอาเซียน และ 4) ว่าด้วยนโยบายชนกลุ่มชาติพันธ์ุในพม่า ข้างล่างนี้คือบันทึกบทวิจารณ์
 
เกร่ินนำ
 
ก่อนอื่น ขอชื่นชมผลงานนิสิตทุกชิ้น (ไม่ค่อยคุ้นกับการใช้คำว่านิสิตเท่าไรนัก) หากให้ผมเป็นอาจารย์ผู้สอน ผมให้ A ทุกชิ้นแน่นอน บางชิ้นผมว่าทำดีเกินกว่างานนักศึกษาปริญญาเอกที่ผมเคยอ่านจากสถาบันต่างๆ ด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้น งานแต่ละชิ้นยังให้ความรู้ใหม่แก่ผมมากมาย อย่างน้อยเอกสารอ้างอิงที่ค่อนข้างครบถ้วน ก็ช่วยให้สามารถไปค้นคว้าต่อได้
 
แต่หากจะยอกันไปก็คงไม่เกิดความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ดี ขอให้เข้าใจว่า ผมเพียงต้องการชวนคิดต่อจากที่นำเสนอมา ขออย่าคิดว่าการวิจารณ์นี้จะไปลดทอนคุณภาพของงานที่มีสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้วก็แล้วกันครับ นอกจากนั้น เนื่องจากผมจะใช้มาตรฐานในการวิจารณ์แบบเดียวกับที่ผมใช้วิจารณ์งานวิชาการทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาหรือศาสตราจารย์ผมก็ใช้มาตรฐานนี้ ฉะนั้นไม่ต้องตกใจหากจะพูดอะไรดูรุนแรง แต่ควรภูมิใจว่า ผมใช้มาตรฐานเดียวกับงานวิชาการทั่วไป
 
ก่อนอื่น ขอให้ความเห็นต่อกรอบของการจัดงานว่า การนำผลงานของนิสิตปริญญาตรีมาเสนอนั้นน่าชื่นชมมาก เพราะมีงานจำนวนมากที่มีคุณภาพ ให้ข้อมูลใหม่ๆ มีมุมมองเฉพาะตัว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเวทีแสดงออกของตนเอง
 
แต่ก็จะขอตั้งคำถามท้ิงไว้นิดหนึ่งว่า ทำไมไม่มีบทความของนิสิตหญิงเลย แล้วทำไมมีแต่งานทางสังคมศาสตร์ ไม่มีงานทางมนุษยศาสตร์ (แม้ว่าจะเป็นคณะรัฐศาสตร์ก็ตาม) เรื่องวรรณกรรม ศิลปะ ศาสนา ปรัชญาหายไปไหน ที่สำคัญคือ นี่อาจมีส่วนในการจำกัดกรอบและวิธีวิทยาของการศึกษา (นิสิตผู้จัดตอบว่า มีผลงานส่งมาน้อยมาก และนี่เป็นการจัดครั้งแรก จึงขาดตกบกพร่อง)
 
ขอวิจารณ์รวมๆ กันใน 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ กรอบการศึกษา วิธีการศึกษา และจุดยืนของการศึกษา
 
(1) กรอบการศึกษา
 
งานแต่ละชิ้นอาศัยกรอบที่หลากหลายก็จริง แต่จะทำอย่างไรที่จะหากรอบซึ่งพัฒนาความรู้อาเซียนแบบใหม่ๆ ขึ้นมา เช่น การเข้าใจองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้ จะต้องเข้าใจอะไรเป็นพิเศษ แตกต่างจากการศึกษาการรวมตัวขององค์การร่วมมือระหว่างประเทศอื่นๆ ในโลกนี้หรือเปล่า
 
บางทีปัจจัยทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจะตอบได้ เช่น การมีสถาบันกษัตริย์ (ซึ่งน่าจะช่วยอธิบายบทบาทของการใช้เคร่่ืองมือเชิงอุดมการณ์ในภูมิภาค อันเป็นส่วนสำคัญในความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค และการสร้างเครือข่ายการเมืองระหว่างประเทศ) การมีสถาบันการเมืองที่ต่อต้านอาณานิคมตะวันตก (อย่างในประเทศอื่นๆ รอบๆ ไทย อาจมีส่วนในการทำความเข้าใจเงื่อนไขเฉพาะของแต่ละประเทศในการร่วม ไม่ร่วมอาเซียนแต่แรก) หรือปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์การเมืองในแต่ละประเทศ อาจช่วยให้เข้าใจอะไรมากขึ้น
 
ดังนั้น ถ้าตั้งคำถามใหม่ เช่น การที่ถนัด คอมันตร์ผลักดันให้เกิดการก่อตั้งอาเซียนเพื่อชิงการนำจากทหารคงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น การที่ถนัดถูกกันออกไปเมื่อพยายามมีบทบาทล้ำหน้าสหรัฐ ไปเจรจากับจีน ชวนให้คิดว่า เงื่อนไขภายนอกยังเป็นเงื่อนไขสำคัญ
 
หากตั้งโจทย์ใหม่ว่า ถนัดเป็นตัวแทนฝ่ายชนชั้นนำพลเรือน ที่พยายามมีบทบาทในเวทีโลกหรืออย่างน้อยคือเวทีภูมิภาคหรือเปล่า แล้วเมื่อเราดูเทียบกับประเทศอื่นๆ ก็อาจจะพบโครงสร้างเดียวกัน เพราะขณะนั้น สหรัฐเลี้ยงทหารไปหมดทั่วทั้งอุษาคเนย์ ฉะนั้น นี่อาจเป็นหน่อของการเติบโตของอำนาจต่อรองจากพลเรือนในภูมิภาคก็ได้ การก่อตั้งอาเซียนอาจแสดงถึงการเติบโตของภาคธุรกิจเอกชน ที่ต้องการออกจากโครงครอบของการเมืองแบบสงครามเย็น ที่เน้นเฉพาะบทบาทของกำลังทหาร ในอีกทางหนึ่ง มันสะท้อนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจโดยรวมในภูมิภาคด้วย
 
สำหรับบทความเรื่องสิทธิประโยชน์ทางการค้าและเรื่องการต่อรองระหว่างประเทศอาเซียน เงื่อนไขที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลสำหรับเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิคและทฤษฎีเกม อาจไม่ใช่ปัญหาสำคัญเท่ากับเงื่อนไขเชิงสถาบัน หรือเงื่อนไขเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองต่างหากที่มีผลต่อการตัดสินใจ ลำพังการคิดในกรอบของการตัดสินใจส่วนตน จะไม่ช่วยให้เราเข้าใจการตัดสินใจในระดับองค์รวม
 
การศึกษาการตัดสินใจจึงขัดกับข้อเสนอเชิงวิพากษ์ที่เรียกร้องการมีส่วนร่วมของประชาชนที่บทความเรื่องการต่อรองในเวทีอาเซียนเรียกร้อง การเข้าใจการตัดสินใจของประชาชนจะใช้กรอบทฤษฎีเกมที่เอาประเทศเป็นหน่วยเชิงปัจเจกวิเคราะห์ไม่ได้เด็ดขาด
 
หากต้องการเข้าใจปรากฏการณ์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือของภูมิภาคอุษาคเนย์ เราจะสร้างกรอบใหม่ๆ ให้แก่การเข้าใจอุษาคเนย์อย่างไรได้บ้าง ผมเคยลองเสนอเรื่อง “เพื่อนบ้านศึกษา” คืออุษาคเนย์ศึกษาที่พัฒนาขึ้นมาในภูมิภาคเอง ทำอย่างไรจะไปพ้นจากการศึกษาแต่ประเทศตนเอง ไปสู่ชายขอบและเพื่อนบ้าน ทำอย่างไรจะนำเอาความเข้าใจร่วมกันและความเข้าใจที่ละเอียดอ่อนกว่าของคนไกล มาพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเพื่อนบ้าน และทำอย่างไรจึงจะทำให้ความรู้เพื่อนบ้าน ตอบโจทย์เชิงประยุกต์ ตอบผลประโยชน์ของคนรากหญ้าในอาเซียนได้ดีขึ้น เป็นต้น
 
(2) วิธีวิทยาศึกษาอาเซียน
 
แต่ละบทความใช้การศึกษาหลายวิธี แต่วิธีไหนที่จะทำให้เราเข้าใจความเป็นภูมิภาคได้บ้าง วิธีแบบเศรษฐมิติที่บทความหนึ่งใช้ บางทีไม่สามารถตอบคำถามในเชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ บางคำถามอาจไม่ต้องเสียเวลาวัดเชิงปริมาณ เนื่องจากหลักเหตุผลมันตอบอยู่แล้ว แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือ “ทำไม” ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมมันไม่สัมพันธ์กันแบบที่พบในบริบทอื่น คำถามแบบนี้ตอบไม่ได้ด้วยเศรษฐมิติเท่านั้น ส่วนวิธีวิจัยเชิงเอกสารและวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ บางทีก็ถูกจำกัดด้วยกรอบที่ใหญ่กว่า คือการยังติดกับดักการศึกษาในระดับรัฐเดี่ยว
 
ปัญหาใหญ่คือ งานแทบทุกชิ้นยังเน้นประเทศใดประเทศหนึ่ง เป็น methodological nationalism บางชิ้นเป็น methodological individualism ด้วยซ้ำ จะมีก็แต่ชิ้นเดียวคือชิ้นที่ว่าด้วยบทบาทอาเซียนและการเจารจาระกว่างประเทศอาเซียน ที่พูดถึงภูมิภาคโดยรวม แต่ก็ยังขาดมิติที่เชื่อมโยงระดับนโยบายกับผู้คน นอกจากนั้น บทความนี้ยังมองประเทศเป็นหน่วยเดียว ราวกับเป็นปัจเจกชนคนเดียว มาเล่นเกมต่อรองกันในทฤษฎีเกม ทั้งๆ ที่ประเทศหนึ่งมีผู้รับผลประโยชน์ ผู้รับผลกระทบ ผู้ต่อรองภายในประเทศที่แตกต่างกันมากมาย
 
ส่วนชิ้นที่ว่าด้วยเบื้องหลังการก่อตั้งอาเซียนนั้น ส่วนแรกพูดถึงปัจจัยระดับภูมิภาคก็จริง แต่พอมาถึงส่วนหลัง ปัจจัยภายในที่อธิบายกลายเป็นปัจจัยส่วนบุคคล เน้นปัจเจกมากเกินไป ในแง่หนึ่งอาจใช่ แต่ต้องดูให้ไกลกว่านั้นหน่อย ไม่อย่างนั้นจะอธิบายประเทศฟิลิปินส์ มาเลเชีย อินโดนิเชีย สิงค์โปรได้อย่างไร หรือจะต้องดูเงื่อนไขเชิงปัจเจกของประเทศเหล่านั้นด้วย แม้ว่าจะบอกว่าบทความสั้น ทำไม่ได้หมด แต่หากจะไล่อธิบายแต่ละประเทศจริงๆ ก็จะเห็นเงื่อนไขที่กระจัดกระจาย จนอาจช่วยให้เข้าใจมิติเชิงโครงสร้างขึ้นมา หรือถ้าอย่างนั้นจะอธิบายการเข้าร่วมอาเซียนของเวียดนามและพม่าได้อย่างไร เนื่องจากปัจจัยภายในของสองประเทศหลังที่เข้าร่วมอาเซียน มาจากปัจจัยเชิงนโยบายของรัฐเป็นหลัก
 
ชิ้นที่ว่าด้วยพม่าและชิ้นที่ศึกษาการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า มีร่องรอยของการเชื่อมโยงเกินกว่าประเทศเดียว แต่ทำผ่านทฤษฎีเรื่องกลุ่มชาติพันธ์ุกับรัฐ และการศึกษาประเด็นเดียวกันนี้ในประเทศในเอเชีย อย่างไรก็ตาม หากยังมองไม่เห็นข้อเท็จจริงที่แตกต่าง แล้วก็จะขาดความเข้าใจหรือขาดการตั้งคำถามต่อไปว่า ทำไมรัฐพม่าจึงจัดการปัญหาชนกลุ่มน้อยไม่เหมือนที่อื่นๆ ในอาเซียน หรือเหมือน ทำไมเหมือน หรือในงานเรื่องสิทธิประโยชน์ ทำไมผู้ประกอบการไทยและรัฐไทยจัดการปัญหาการใช้สิทธิประโยชน์ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ ในเอเชีย
 
วิธีวิทยาที่สำคัญในการศึกษาภูมิภาคคือ ต้องดูทั้งระดับโครงสร้าง (ไม่ใช่เฉพาะปัจเจก) และควรเปรียบเทียบข้ามรัฐ ไม่ใช่ว่่จะต้องหาลักษณะทั่วไป แต่เพื่อสร้างข้อเปรียบเทียบว่าในเงื่อนไขเดียวกัน แต่ละประเทศจัดการอย่างไร ในเงื่อนไขต่างกัน ทำไมบางทีเหมือนบางทีต่าง บางทีควรเปรียบเทียบข้ามภูมิภาค อย่างคำถามเรื่องการปรับปรุงองค์การอาเซียน น่าจะชี้ข้อเปรียบเทียบกับที่อื่น เช่น อียู
 
(3) จุดยืนเชิงวิพากษ์
 
เมื่ออ่าาจากผลงานของนักวิชาการปัจจุบัน เหมือนกับนักศึกษาจะเลิกสนใจเรื่องจุดยืนทางวิชาการกันไปแล้ว งานบางชิ้นทำเสร็จแล้ว หลังศึกษาจบ ผู้เขียนจะได้งานทำแน่นอน แต่เราจะไปรับใช้ใคร จะรับใช้คนด้อยโอกาส หรือรับใช้รัฐ จะรับใช้ทุนหรือรับใช้ประชาชน จะยืนอยู่ตรงไหน ถ้าตอบได้ งานจะชัดขึ้น แต่เหนืออื่นใด ในฐานะนักวิชาการ จะยืนอยู่ตรงไหน หากรู้ตัว เราจะจัดวางความสัมพันธ์ของเรากับสังคมได้ดีขึ้น เราไม่ควรทำงานวิชาการโดยไม่รู้จุดยืน เพราะถึงอย่างไรเราก็หนีการมีอคติไปไม่พ้น
 
บทความทั้ง 4 ขาดจุดยืนที่ชัดเจน ทั้งๆ ที่ที่จริงแต่ละชิ้นมีจุดยืน แต่มีเพียงชิ้นเรื่องชนกลุ่มน้อยในพม่าเท่านั้นที่แสดงจุดยืนชัดเจน ส่วนชิ้นอื่นๆ ดูจะมีจุดยืนในเชิงวิพากษ์นโยบายรัฐและนโยบายอาเซียน เช่น ชิ้นที่ถามถึงการเชื่อมโยงองค์การอาเซียนกับประชาชน เลขาธิการอาเซียนยังเป็นตัวแทนรัฐมากกว่าตัวแทนประชาชน เสนอว่าควรมีรัฐสภาอาเซียนที่สะท้อนหารเป็นตัวแทนประชาชน
 
งานอีกชิ้น แม้จะมีจุดยืนในการวิพากษ์นโยบายของรัฐอยู่ แต่การไม่ได้ถามคำถามเชิงโครงสร้าง เช่น การเมืองของการใช้สิทธิประโยชน์เป็นอย่างไร เอื้อประโยชน์ใคร ความลักลั่นของการให้สิทธิประโยชน์การเอื้อประโยชน์ ส่งผลต่อปราะชาชนรากหญ้าอย่างไร
 
ส่วนงานที่ว่าด้วยเบื้องหลังการก่อตั้งอาเซียน ดูเหมือนจะมีจุดยืนวิพากษ์ประเทศมหาอำนาจ แต่เมื่อพิจารณาลงมาในระดับในประเทผสไทยแล้ว ทำให้มองไม่เห็นว่างานนี้พยายามวิพากษ์อะไร ผลประโยชน์ส่วนตนของนักการเมือง หรืออย่างไร
 
ประเด็นใหญ่ประเด็นหนึ่งที่ควรให้ความสนใจต่อบทบาทของประชาคมอาเซียนในอนาคตคือเรื่องสิทธิมนุษยชน ล่าสุด การประชุมกันที่กัมพูชาเพื่อร่างประกาศสิทธิมนุษยชนอาเซียนมีข่าวออกมาว่า ในประกาศมีข้อยกเว้นมากมาย เรียกได้ว่าเราจะได้ประกาศสิทธิมนุษยชนในมาตรฐานอาเซียน ไม่ใช่มาตรฐานสากล เนื่องจากยังมีคำว่า “public morality” และ “national and regional particularity” (คำพวกนี้ฟังดูคุ้นๆ นะครับ) ในขณะเดียวกัน การประชุมอาเซียนคู่ขนานขององค์กรประชาชนในกัมพูชาเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา ก็ถูกกีดกันจากรัฐบาลกัมพูชา
 
ทำให้ยิ่งต้องตั้งคำถามว่า อาเซียนคงไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนทั่วไปขึ้นมาได้ ข้อนี้แตกต่างอย่างยิ่งกับอียู ซึ่งประชาชนสามารถฟ้องรัฐที่ละเมิดสิทธิตนเองได้ (ดู http://prachatai.com/journal/2011/03/33607)
 
โดยสรุป
 
หากจะศึกษาปรากฏการณ์อาเซียน เราน่าจะพิจารณากรอบการศึกษา วิธิวิทยา และจุดยืนเชิงวิพากษ์ ให้เหมาะสมกับการศึกษาในระดับภูมิภาคให้มากขึ้น ข้อวิจารณ์นี้ไม่ได้พุ่งไปที่นิสิตที่เสนองานเท่านั้น แต่ยังมุ่งหมายให้แวดวงวิชาการที่สนใจเรื่องอาเซียน เรื่องอุษาคเนย์ เข้าใจมิติเชิงโครงสร้าง มิติของความเป็นภูมิภาค และแสดงจุดยืนปกป้องสิทธิของผู้คนในอาเซียน เพื่อสร้่างอาเซียนยุคต่อไปให้เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ ให้คนได้อยู่อย่างเสมอหน้ากันในภูมิภาค
 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลายคนคงเป็นแบบผม คือพยายามข่มอารมณ์ฝ่าฟันการสบถของท่านผู้นำ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตั้งแต่ที่ผมรู้จักงานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์มา มีปีนี้เองที่ผมคิดว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่มีความหมาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ปี 2558 เป็นปีที่คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีอายุครบ 50 ปี นับตั้งแต่เริ่มเป็นแผนกอิสระในคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มาตั้งแต่ปี 2508
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เปิดภาคการศึกษานี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นคือ วันแรกที่ไปสอน (ผมสอนอังคาร, พฤหัสบดี ครั้งละ 1 ชั่วโมง 15 นาที) มีนักเรียนมาเต็มห้อง เขากำหนดโควต้าไว้ที่ 34 คน แต่หลังจากผมแนะนำเค้าโครงการบรรยาย คงเพราะงานมาก จุกจิก ก็มีคนถอนชื่อออกไปจำนวนหนึ่ง คืนก่อนที่จะไปสอนครั้งที่สอง ผมก็เลยฝันร้าย คือฝันว่าวันรุ่งขึ้นมีนักเรียนมาเรียนแค่ 3 คน แล้วเรียนๆ ไปนักเรียนหนีหายไปเหลือ 2 คน แต่พอตื่นไปสอนจริง ยังมีนักเรียนเหลืออีก 20 กว่าคน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อได้ทราบว่าอาจารย์เก่งกิจทำวิจัยทบทวนวรรณกรรมด้านชนบทศึกษา โดยลงแรงส่วนหนึ่งอ่านงาน “ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย” (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “ทบทวนภูมิทัศน์ฯ”) (อภิชาต ยุกติ นิติ 2556) ที่ผมมีส่วนร่วมกับนักวิจัยในทีมทั้งหมด 6 คนในตอนแรก และ 9 คนในช่วงทำวิจัยใหญ่ [1] ผมก็ตื่นเต้นยินดีที่นานๆ จะมีนักวิชาการไทยอ่านงานนักวิชาการไทยด้วยกันเองอย่างเอาจริงเอาจังสักที 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จะให้ผมเขียนเรื่องอุปสรรคขัดขวางโลกวิชาการไทยต่อการก้าวขึ้นสู่ความเป็นเลิศในระดับนานาชาติไปอีกเรื่อยๆ น่ะ ผมก็จะหาประเด็นมาเขียนไปได้อีกเรื่อยๆ นั่นแหละ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ถ้านับย้อนกลับไปถึงช่วงปีที่ผมเริ่มสนใจงานวิชาการจนเข้ามาทำงานเป็นอาจารย์ ก็อาจนับได้ไปถึง 25 ปีที่ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงในโลกวิชาการไทย ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่สำคัญคือการบริหารงานในมหาวิทยาลัย แต่ขอยกเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เพราะหากค่อยๆ ดูเรื่องย่อยๆ ไปเรื่อยๆ แล้วก็น่าจะช่วยให้เห็นอะไรมากขึ้นว่า การบริหารงานวิชาการในขณะนี้วางอยู่บนระบบแบบไหน เป็นระบบที่เน้นสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการในเชิงปริมาณหรือคุณภาพกันแน่ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
บอกอีกครั้งสำหรับใครที่เพิ่งอ่านตอนนี้ ผมเขียนเรื่องนี้ต่อเนื่องกันมาชิ้นนี้เป็นชิ้นที่ 5 แล้ว ถ้าจะไม่อ่านชิ้นอื่นๆ (ซึ่งก็อาจชวนงงได้) ก็ขอให้กลับไปอ่านชิ้นแรก ที่วางกรอบการเขียนครั้งนี้เอาไว้แล้ว อีกข้อหนึ่ง ผมยินดีหากใครจะเพิ่มเติมรายละเอียด มุมมอง หรือประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป แต่ขอให้แสดงความเห็นแบบ "ช่วยกันคิด" หน่อยนะครับ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อันที่จริงวิทยานิพนธ์เป็นส่วนน้อยๆ ของโลกวิชาการอันกว้างใหญ่ และเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเป็นนักวิชาการ แต่วิทยานิพนธ์ก็เป็นผลงานที่อาจจะดีที่สุดของนักวิชาการส่วนใหญ่ แต่สังคมวิชาการไทยกลับให้คุณค่าด้อยที่สุด พูดอย่างนี้เหมือนขัดแย้งกันเอง ขอให้ผมค่อยๆ อธิบายก็แล้วกันครับ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ก่อนเริ่มพูดเรื่องนี้ ผมอยากชี้แจงสักหน่อยนะครับว่า ที่เขียนนี่ไม่ใช่จะมาบ่นเรื่อยเปื่อยเพื่อขอความเห็นใจจากสังคม แต่อยากประจานให้รู้ว่าระบบที่รองรับงานวิชาการไทยอยู่เป็นอย่างไร ส่วนจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร อย่าถามผมเลย เพราะผมไม่มีอำนาจ ไม่ต้องมาย้อนบอกผมด้วยว่า "คุณก็ก้มหน้าก้มตาทำงานไปให้ดีที่สุดก็แล้วกัน" เพราะถ้าไม่เห็นว่าสิ่งที่เล่าไปเป็นประเด็นก็อย่าสนใจเสียเลยดีกว่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมขอเริ่มที่เรืองซึ่งถือได้ว่าเป็นยาขมที่สุดของแวดวงมหาวิทยาลัยไทยเลยก็แล้วกัน ที่จริงว่าจะเขียนเรื่องการผลิตความรู้ก่อน แต่หนีไม่พ้นเรื่องการสอน เพราะนี่เป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการทำงานวิชาการในไทยมากถึงมากที่สุดเลยก็ว่าได้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อผมมาสอนหนังสือถึงได้รู้ว่า วันครูน่ะ เขามีไว้ปลอบใจครู ก็เหมือนกับวันสตรี เอาไว้ปลอบใจสตรี วันเด็กเอาไว้หลอกเด็กว่าผู้ใหญ่ให้ความสำคัญ แต่ที่จริงก็เอาไว้ตีกินปลูกฝังอะไรที่ผู้ใหญ่อยากได้อยากเป็นให้เด็ก ส่วนวันแม่กับวันพ่อน่ะอย่าพูดถึงเลย เพราะหากจะช่วยเป็นวันปลอบใจแม่กับพ่อก็ยังจะดีเสียกว่าที่จะให้กลายเป็นวันฉวยโอกาสของรัฐไทยอย่างที่เป็นอยู่นี้