Skip to main content

 

เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2555 นิสิตรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเชิญไปร่วมกิจกรรมจุฬาวิชาการ โดยให้ไปวิจารณ์บทความนิสิตปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ 4 ชิ้น 1) ว่าด้วยเบื้องหลังทางการเมืองของการก่อตั้งองค์การอาเซียน 2) ว่าด้วยบทบาทและการต่อรองระหว่างประเทศในอาเซียน 3) ว่าด้วยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าของธุรกิจเอกชนไทยในคู่ค้าอาเซียน และ 4) ว่าด้วยนโยบายชนกลุ่มชาติพันธ์ุในพม่า ข้างล่างนี้คือบันทึกบทวิจารณ์
 
เกร่ินนำ
 
ก่อนอื่น ขอชื่นชมผลงานนิสิตทุกชิ้น (ไม่ค่อยคุ้นกับการใช้คำว่านิสิตเท่าไรนัก) หากให้ผมเป็นอาจารย์ผู้สอน ผมให้ A ทุกชิ้นแน่นอน บางชิ้นผมว่าทำดีเกินกว่างานนักศึกษาปริญญาเอกที่ผมเคยอ่านจากสถาบันต่างๆ ด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้น งานแต่ละชิ้นยังให้ความรู้ใหม่แก่ผมมากมาย อย่างน้อยเอกสารอ้างอิงที่ค่อนข้างครบถ้วน ก็ช่วยให้สามารถไปค้นคว้าต่อได้
 
แต่หากจะยอกันไปก็คงไม่เกิดความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ดี ขอให้เข้าใจว่า ผมเพียงต้องการชวนคิดต่อจากที่นำเสนอมา ขออย่าคิดว่าการวิจารณ์นี้จะไปลดทอนคุณภาพของงานที่มีสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้วก็แล้วกันครับ นอกจากนั้น เนื่องจากผมจะใช้มาตรฐานในการวิจารณ์แบบเดียวกับที่ผมใช้วิจารณ์งานวิชาการทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาหรือศาสตราจารย์ผมก็ใช้มาตรฐานนี้ ฉะนั้นไม่ต้องตกใจหากจะพูดอะไรดูรุนแรง แต่ควรภูมิใจว่า ผมใช้มาตรฐานเดียวกับงานวิชาการทั่วไป
 
ก่อนอื่น ขอให้ความเห็นต่อกรอบของการจัดงานว่า การนำผลงานของนิสิตปริญญาตรีมาเสนอนั้นน่าชื่นชมมาก เพราะมีงานจำนวนมากที่มีคุณภาพ ให้ข้อมูลใหม่ๆ มีมุมมองเฉพาะตัว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเวทีแสดงออกของตนเอง
 
แต่ก็จะขอตั้งคำถามท้ิงไว้นิดหนึ่งว่า ทำไมไม่มีบทความของนิสิตหญิงเลย แล้วทำไมมีแต่งานทางสังคมศาสตร์ ไม่มีงานทางมนุษยศาสตร์ (แม้ว่าจะเป็นคณะรัฐศาสตร์ก็ตาม) เรื่องวรรณกรรม ศิลปะ ศาสนา ปรัชญาหายไปไหน ที่สำคัญคือ นี่อาจมีส่วนในการจำกัดกรอบและวิธีวิทยาของการศึกษา (นิสิตผู้จัดตอบว่า มีผลงานส่งมาน้อยมาก และนี่เป็นการจัดครั้งแรก จึงขาดตกบกพร่อง)
 
ขอวิจารณ์รวมๆ กันใน 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ กรอบการศึกษา วิธีการศึกษา และจุดยืนของการศึกษา
 
(1) กรอบการศึกษา
 
งานแต่ละชิ้นอาศัยกรอบที่หลากหลายก็จริง แต่จะทำอย่างไรที่จะหากรอบซึ่งพัฒนาความรู้อาเซียนแบบใหม่ๆ ขึ้นมา เช่น การเข้าใจองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้ จะต้องเข้าใจอะไรเป็นพิเศษ แตกต่างจากการศึกษาการรวมตัวขององค์การร่วมมือระหว่างประเทศอื่นๆ ในโลกนี้หรือเปล่า
 
บางทีปัจจัยทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจะตอบได้ เช่น การมีสถาบันกษัตริย์ (ซึ่งน่าจะช่วยอธิบายบทบาทของการใช้เคร่่ืองมือเชิงอุดมการณ์ในภูมิภาค อันเป็นส่วนสำคัญในความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค และการสร้างเครือข่ายการเมืองระหว่างประเทศ) การมีสถาบันการเมืองที่ต่อต้านอาณานิคมตะวันตก (อย่างในประเทศอื่นๆ รอบๆ ไทย อาจมีส่วนในการทำความเข้าใจเงื่อนไขเฉพาะของแต่ละประเทศในการร่วม ไม่ร่วมอาเซียนแต่แรก) หรือปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์การเมืองในแต่ละประเทศ อาจช่วยให้เข้าใจอะไรมากขึ้น
 
ดังนั้น ถ้าตั้งคำถามใหม่ เช่น การที่ถนัด คอมันตร์ผลักดันให้เกิดการก่อตั้งอาเซียนเพื่อชิงการนำจากทหารคงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น การที่ถนัดถูกกันออกไปเมื่อพยายามมีบทบาทล้ำหน้าสหรัฐ ไปเจรจากับจีน ชวนให้คิดว่า เงื่อนไขภายนอกยังเป็นเงื่อนไขสำคัญ
 
หากตั้งโจทย์ใหม่ว่า ถนัดเป็นตัวแทนฝ่ายชนชั้นนำพลเรือน ที่พยายามมีบทบาทในเวทีโลกหรืออย่างน้อยคือเวทีภูมิภาคหรือเปล่า แล้วเมื่อเราดูเทียบกับประเทศอื่นๆ ก็อาจจะพบโครงสร้างเดียวกัน เพราะขณะนั้น สหรัฐเลี้ยงทหารไปหมดทั่วทั้งอุษาคเนย์ ฉะนั้น นี่อาจเป็นหน่อของการเติบโตของอำนาจต่อรองจากพลเรือนในภูมิภาคก็ได้ การก่อตั้งอาเซียนอาจแสดงถึงการเติบโตของภาคธุรกิจเอกชน ที่ต้องการออกจากโครงครอบของการเมืองแบบสงครามเย็น ที่เน้นเฉพาะบทบาทของกำลังทหาร ในอีกทางหนึ่ง มันสะท้อนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจโดยรวมในภูมิภาคด้วย
 
สำหรับบทความเรื่องสิทธิประโยชน์ทางการค้าและเรื่องการต่อรองระหว่างประเทศอาเซียน เงื่อนไขที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลสำหรับเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิคและทฤษฎีเกม อาจไม่ใช่ปัญหาสำคัญเท่ากับเงื่อนไขเชิงสถาบัน หรือเงื่อนไขเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองต่างหากที่มีผลต่อการตัดสินใจ ลำพังการคิดในกรอบของการตัดสินใจส่วนตน จะไม่ช่วยให้เราเข้าใจการตัดสินใจในระดับองค์รวม
 
การศึกษาการตัดสินใจจึงขัดกับข้อเสนอเชิงวิพากษ์ที่เรียกร้องการมีส่วนร่วมของประชาชนที่บทความเรื่องการต่อรองในเวทีอาเซียนเรียกร้อง การเข้าใจการตัดสินใจของประชาชนจะใช้กรอบทฤษฎีเกมที่เอาประเทศเป็นหน่วยเชิงปัจเจกวิเคราะห์ไม่ได้เด็ดขาด
 
หากต้องการเข้าใจปรากฏการณ์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือของภูมิภาคอุษาคเนย์ เราจะสร้างกรอบใหม่ๆ ให้แก่การเข้าใจอุษาคเนย์อย่างไรได้บ้าง ผมเคยลองเสนอเรื่อง “เพื่อนบ้านศึกษา” คืออุษาคเนย์ศึกษาที่พัฒนาขึ้นมาในภูมิภาคเอง ทำอย่างไรจะไปพ้นจากการศึกษาแต่ประเทศตนเอง ไปสู่ชายขอบและเพื่อนบ้าน ทำอย่างไรจะนำเอาความเข้าใจร่วมกันและความเข้าใจที่ละเอียดอ่อนกว่าของคนไกล มาพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเพื่อนบ้าน และทำอย่างไรจึงจะทำให้ความรู้เพื่อนบ้าน ตอบโจทย์เชิงประยุกต์ ตอบผลประโยชน์ของคนรากหญ้าในอาเซียนได้ดีขึ้น เป็นต้น
 
(2) วิธีวิทยาศึกษาอาเซียน
 
แต่ละบทความใช้การศึกษาหลายวิธี แต่วิธีไหนที่จะทำให้เราเข้าใจความเป็นภูมิภาคได้บ้าง วิธีแบบเศรษฐมิติที่บทความหนึ่งใช้ บางทีไม่สามารถตอบคำถามในเชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ บางคำถามอาจไม่ต้องเสียเวลาวัดเชิงปริมาณ เนื่องจากหลักเหตุผลมันตอบอยู่แล้ว แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือ “ทำไม” ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมมันไม่สัมพันธ์กันแบบที่พบในบริบทอื่น คำถามแบบนี้ตอบไม่ได้ด้วยเศรษฐมิติเท่านั้น ส่วนวิธีวิจัยเชิงเอกสารและวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ บางทีก็ถูกจำกัดด้วยกรอบที่ใหญ่กว่า คือการยังติดกับดักการศึกษาในระดับรัฐเดี่ยว
 
ปัญหาใหญ่คือ งานแทบทุกชิ้นยังเน้นประเทศใดประเทศหนึ่ง เป็น methodological nationalism บางชิ้นเป็น methodological individualism ด้วยซ้ำ จะมีก็แต่ชิ้นเดียวคือชิ้นที่ว่าด้วยบทบาทอาเซียนและการเจารจาระกว่างประเทศอาเซียน ที่พูดถึงภูมิภาคโดยรวม แต่ก็ยังขาดมิติที่เชื่อมโยงระดับนโยบายกับผู้คน นอกจากนั้น บทความนี้ยังมองประเทศเป็นหน่วยเดียว ราวกับเป็นปัจเจกชนคนเดียว มาเล่นเกมต่อรองกันในทฤษฎีเกม ทั้งๆ ที่ประเทศหนึ่งมีผู้รับผลประโยชน์ ผู้รับผลกระทบ ผู้ต่อรองภายในประเทศที่แตกต่างกันมากมาย
 
ส่วนชิ้นที่ว่าด้วยเบื้องหลังการก่อตั้งอาเซียนนั้น ส่วนแรกพูดถึงปัจจัยระดับภูมิภาคก็จริง แต่พอมาถึงส่วนหลัง ปัจจัยภายในที่อธิบายกลายเป็นปัจจัยส่วนบุคคล เน้นปัจเจกมากเกินไป ในแง่หนึ่งอาจใช่ แต่ต้องดูให้ไกลกว่านั้นหน่อย ไม่อย่างนั้นจะอธิบายประเทศฟิลิปินส์ มาเลเชีย อินโดนิเชีย สิงค์โปรได้อย่างไร หรือจะต้องดูเงื่อนไขเชิงปัจเจกของประเทศเหล่านั้นด้วย แม้ว่าจะบอกว่าบทความสั้น ทำไม่ได้หมด แต่หากจะไล่อธิบายแต่ละประเทศจริงๆ ก็จะเห็นเงื่อนไขที่กระจัดกระจาย จนอาจช่วยให้เข้าใจมิติเชิงโครงสร้างขึ้นมา หรือถ้าอย่างนั้นจะอธิบายการเข้าร่วมอาเซียนของเวียดนามและพม่าได้อย่างไร เนื่องจากปัจจัยภายในของสองประเทศหลังที่เข้าร่วมอาเซียน มาจากปัจจัยเชิงนโยบายของรัฐเป็นหลัก
 
ชิ้นที่ว่าด้วยพม่าและชิ้นที่ศึกษาการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า มีร่องรอยของการเชื่อมโยงเกินกว่าประเทศเดียว แต่ทำผ่านทฤษฎีเรื่องกลุ่มชาติพันธ์ุกับรัฐ และการศึกษาประเด็นเดียวกันนี้ในประเทศในเอเชีย อย่างไรก็ตาม หากยังมองไม่เห็นข้อเท็จจริงที่แตกต่าง แล้วก็จะขาดความเข้าใจหรือขาดการตั้งคำถามต่อไปว่า ทำไมรัฐพม่าจึงจัดการปัญหาชนกลุ่มน้อยไม่เหมือนที่อื่นๆ ในอาเซียน หรือเหมือน ทำไมเหมือน หรือในงานเรื่องสิทธิประโยชน์ ทำไมผู้ประกอบการไทยและรัฐไทยจัดการปัญหาการใช้สิทธิประโยชน์ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ ในเอเชีย
 
วิธีวิทยาที่สำคัญในการศึกษาภูมิภาคคือ ต้องดูทั้งระดับโครงสร้าง (ไม่ใช่เฉพาะปัจเจก) และควรเปรียบเทียบข้ามรัฐ ไม่ใช่ว่่จะต้องหาลักษณะทั่วไป แต่เพื่อสร้างข้อเปรียบเทียบว่าในเงื่อนไขเดียวกัน แต่ละประเทศจัดการอย่างไร ในเงื่อนไขต่างกัน ทำไมบางทีเหมือนบางทีต่าง บางทีควรเปรียบเทียบข้ามภูมิภาค อย่างคำถามเรื่องการปรับปรุงองค์การอาเซียน น่าจะชี้ข้อเปรียบเทียบกับที่อื่น เช่น อียู
 
(3) จุดยืนเชิงวิพากษ์
 
เมื่ออ่าาจากผลงานของนักวิชาการปัจจุบัน เหมือนกับนักศึกษาจะเลิกสนใจเรื่องจุดยืนทางวิชาการกันไปแล้ว งานบางชิ้นทำเสร็จแล้ว หลังศึกษาจบ ผู้เขียนจะได้งานทำแน่นอน แต่เราจะไปรับใช้ใคร จะรับใช้คนด้อยโอกาส หรือรับใช้รัฐ จะรับใช้ทุนหรือรับใช้ประชาชน จะยืนอยู่ตรงไหน ถ้าตอบได้ งานจะชัดขึ้น แต่เหนืออื่นใด ในฐานะนักวิชาการ จะยืนอยู่ตรงไหน หากรู้ตัว เราจะจัดวางความสัมพันธ์ของเรากับสังคมได้ดีขึ้น เราไม่ควรทำงานวิชาการโดยไม่รู้จุดยืน เพราะถึงอย่างไรเราก็หนีการมีอคติไปไม่พ้น
 
บทความทั้ง 4 ขาดจุดยืนที่ชัดเจน ทั้งๆ ที่ที่จริงแต่ละชิ้นมีจุดยืน แต่มีเพียงชิ้นเรื่องชนกลุ่มน้อยในพม่าเท่านั้นที่แสดงจุดยืนชัดเจน ส่วนชิ้นอื่นๆ ดูจะมีจุดยืนในเชิงวิพากษ์นโยบายรัฐและนโยบายอาเซียน เช่น ชิ้นที่ถามถึงการเชื่อมโยงองค์การอาเซียนกับประชาชน เลขาธิการอาเซียนยังเป็นตัวแทนรัฐมากกว่าตัวแทนประชาชน เสนอว่าควรมีรัฐสภาอาเซียนที่สะท้อนหารเป็นตัวแทนประชาชน
 
งานอีกชิ้น แม้จะมีจุดยืนในการวิพากษ์นโยบายของรัฐอยู่ แต่การไม่ได้ถามคำถามเชิงโครงสร้าง เช่น การเมืองของการใช้สิทธิประโยชน์เป็นอย่างไร เอื้อประโยชน์ใคร ความลักลั่นของการให้สิทธิประโยชน์การเอื้อประโยชน์ ส่งผลต่อปราะชาชนรากหญ้าอย่างไร
 
ส่วนงานที่ว่าด้วยเบื้องหลังการก่อตั้งอาเซียน ดูเหมือนจะมีจุดยืนวิพากษ์ประเทศมหาอำนาจ แต่เมื่อพิจารณาลงมาในระดับในประเทผสไทยแล้ว ทำให้มองไม่เห็นว่างานนี้พยายามวิพากษ์อะไร ผลประโยชน์ส่วนตนของนักการเมือง หรืออย่างไร
 
ประเด็นใหญ่ประเด็นหนึ่งที่ควรให้ความสนใจต่อบทบาทของประชาคมอาเซียนในอนาคตคือเรื่องสิทธิมนุษยชน ล่าสุด การประชุมกันที่กัมพูชาเพื่อร่างประกาศสิทธิมนุษยชนอาเซียนมีข่าวออกมาว่า ในประกาศมีข้อยกเว้นมากมาย เรียกได้ว่าเราจะได้ประกาศสิทธิมนุษยชนในมาตรฐานอาเซียน ไม่ใช่มาตรฐานสากล เนื่องจากยังมีคำว่า “public morality” และ “national and regional particularity” (คำพวกนี้ฟังดูคุ้นๆ นะครับ) ในขณะเดียวกัน การประชุมอาเซียนคู่ขนานขององค์กรประชาชนในกัมพูชาเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา ก็ถูกกีดกันจากรัฐบาลกัมพูชา
 
ทำให้ยิ่งต้องตั้งคำถามว่า อาเซียนคงไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนทั่วไปขึ้นมาได้ ข้อนี้แตกต่างอย่างยิ่งกับอียู ซึ่งประชาชนสามารถฟ้องรัฐที่ละเมิดสิทธิตนเองได้ (ดู http://prachatai.com/journal/2011/03/33607)
 
โดยสรุป
 
หากจะศึกษาปรากฏการณ์อาเซียน เราน่าจะพิจารณากรอบการศึกษา วิธิวิทยา และจุดยืนเชิงวิพากษ์ ให้เหมาะสมกับการศึกษาในระดับภูมิภาคให้มากขึ้น ข้อวิจารณ์นี้ไม่ได้พุ่งไปที่นิสิตที่เสนองานเท่านั้น แต่ยังมุ่งหมายให้แวดวงวิชาการที่สนใจเรื่องอาเซียน เรื่องอุษาคเนย์ เข้าใจมิติเชิงโครงสร้าง มิติของความเป็นภูมิภาค และแสดงจุดยืนปกป้องสิทธิของผู้คนในอาเซียน เพื่อสร้่างอาเซียนยุคต่อไปให้เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ ให้คนได้อยู่อย่างเสมอหน้ากันในภูมิภาค
 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
คำถามที่ว่า "นายสุเทพ เทือกสุบรรณและพรรคประชาธิปัตย์ได้รับสัญญาณอะไรพิเศษหรือไม่จึงกล้าบ้าบิ่นได้ขนาดนี้?" คำถามที่ว่า "เครือข่ายชนชั้นนำเก่าฉวยโอกาสตีตลบหลังเครือข่ายทักษิณ ผ่านอำนาจตุลาการและองค์กรอิสระต่างๆ ด้วยหรือไม่" นั้น ผมไม่มีปัญญาตอบ ขอติดตามการวิเคราะห์ของผู้อื่นที่เข้าถึงข้อมูลแปลกๆ หรือมีทฤษฎีวิเคราะห์การเมืองไทยจากมุมชนชั้นนำทางการเมืองมาเล่าเองดีกว่า ส่วนตัวผมอยากทำความเข้าใจมวลชน หรืออย่างน้อยอยากเข้าใจเพื่อนๆ มากกว่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ขอตั้งข้อสังเกตต่อสถานการณ์ขณะนี้ 3 ข้อ ว่าด้วย ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ฝ่ายหนุนรัฐบาล และความเสี่ยงของประเทศ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ชีวิตคนมีหลายด้าน คนหลายกลุ่มไม่ได้หมกมุ่นวุ่นวายเรื่องใดเรื่องเดียวกับเรา ผมอยากเขียนถึงคนที่แม่สอด ไม่ใช่เพื่อหลีกลี้หนีจากความวุ่นวายในกรุงเทพ แต่เพื่อบันทึกความประทับใจจากการพบปะผู้คนที่เพิ่งได้ไปเจอมา 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จดหมายเปิดผนึกของคณาจารย์ธรรมศาสตร์เป็นตัวอย่างของการคัดค้านพรบ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยเหมาเข่งอย่างคับแคบ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"พี่จะไปเวียดนามครั้งแรก มีอะไรแนะนำมั่ง" เพื่อนคนหนึ่งเขียนมาถามอย่างนั้นพร้อมส่งโปรแกรมการเดินทางที่กลุ่มเขาจะเดินทางด้วยมาให้ดู ผมเลยตอบไปคร่าวๆ ข้างล่างนี้ เพื่อนยุให้นำมาเผยแพร่ต่อที่นี่ ยุมาก็จัดไปครับ เผื่อเป็นไอเดียสำหรับใครที่จะไปเวียดนามเหนือช่วงนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คงมีใครเคยอธิบายเรื่องนี้ไปแล้วอย่างเป็นระบบและมีการอ้างอิงอย่างเป็นวิชาการอย่างที่สุด แต่ผมก็ยังอยากเขียนเรื่องนี้อย่างย่นย่อในวันนี้อีกอยู่ดี 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
แว่บแรกที่ฟังจบ ผมอุทานในใจว่า "ปาฐกถาเสกสรรค์โคตรเท่!" ผมไม่คาดคิดเลยว่าปาฐกถา อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุลในวาระ 40 ปี 14 ตุลาจะเท่ขนาดนี้ ผมว่ามีประเด็นมากมายที่ไม่ต้องการการสรุปซ้ำ เพราะมันชัดเจนในตัวของมันเอง อย่างน้อยในหูและหัวของผม 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข่าวครม.ผ่านร่างพรบ.ว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ชวนให้ผู้เขียนเศร้าใจจนกลายเป็นโกรธและสมเพชรัฐบาลอย่างเกินเวทนา ผู้บริหารประเทศนี้ชักจะบ้าจี้กันไปใหญ่แล้ว ความจริงไม่ใช่นักการเมืองบ้าอำนาจหรอก แต่นักการเมืองประเทศนี้เกรงกลัวสถาบันหลักต่างๆ อย่างไร้สติกันเกินไปแล้ว จนกระทั่งออกกฎหมายป้อยอ ปกป้องกันจนจะบิดเบือนธรรมชาติของสังคมกันไปใหญ่แล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หลังยุค 14 ตุลา 16, 6 ตุลา 19 คนหนุ่มสาวรุ่นหลังมักถูกตั้งคำถามเสมอว่า "นักศึกษาหายไปไหน" กระทั่งสรุปกันไปเลยว่า "ขบวนการนักศึกษาตายแล้ว" แต่ใครจะถามบ้างไหมว่าที่ผ่านมาร่วม 40 ปีน่ะ สังคมไทยมันไม่เปลี่ยนไปบ้างเลยหรืออย่างไร แล้วจะให้ความคิดนักศึกษาหยุดอยู่นิ่งๆ คอยจ้องหาเผด็จการแบบเมื่อ 40 ปีที่แล้วอยู่ได้อย่างไร 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"นี่หรือธรรม..ธรรมศาสตร์ นี่แหละคือธรรม..ธรรมศาสตร์" กร๊ากๆๆ ขำจะตายอยู่แล้ว พวกคุณถามว่าทำไมนักศึกษาสมัยนี้สนใจเรื่องจิ๊บจ๊อย ไม่สนใจเรื่องใหญ่โต แล้วนี่พวกคุณทำอะไร เขาเถียงกันอยู่ว่าจะสร้างเขื่อนแม่วงก์ดีไหม องค์กรซ้อนรัฐไหนกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างเขื่อน ใครกันที่สำรวจเรื่องเขื่อนแล้วสรุปให้สร้างซึ่งพอสร้างแล้วเงินก็เข้ากระเป๋าเขาเอง..
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เอ่อ.. คือ.. ผมก็เบื่อเรื่องนี้นะ อยากให้จบสักที แต่มันก็ไม่จบง่ายๆ มีอาจารย์ใส่เครื่องแบบถ่ายภาพตัวเอง มีบทสัมภาษณ์ มีข่าวต่อเนื่อง มีเผจล้อเลียน มีโพลออกมา มีคนโต้เถียง ฯลฯลฯ แต่ที่เขียนนี่ อยากให้นักศึกษาที่อึดอัดกับการต่อต้านการแต่งเครื่องแบบนักศึกษาอ่านมากที่สุดนะครับ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทำไมปรากฏการณ์แฟรงค์ เนติวิทย์ และอั้ม เนโกะจึงทำให้สังคมไทยดิ้นพล่าน