Skip to main content

เมื่อวาน (24 ธันวาคม 2555) กสทช.เชิญให้ผมไปร่วมแสดงความเห็นในเวทีเสวนาสาธารณะ “1 ปี กสทช. กับความ (ไม่) สมหวังของสังคมไทย” ทีแรกผมไม่คิดว่าตนเองจะสามารถไปวิจารณ์อะไรกสทช.ได้ แต่ผู้จัดยืนยันว่าต้องการมุมมองแบบมานุษยวิทยา ผมจึงตกปากรับคำไป 

ซึ่งนั่นก็น่ายินดี เพราะทำให้ผมได้ความรู้จากวิทยากรหลายๆ ท่าน ในส่วนของผม ขอสรุปประเด็นที่ผมนำเสนอ (อาจจะไม่ตรงกับคำพูดในเวลาเพียงประมาณ 20 นาที) ดังนี้

 

1) ด้านที่มาขององค์กร

 

การเกิดขึ้นของกสทช.สอดคล้องกับความต้องการของสังคมไทย ที่การก้าวเข้าสู่ระบบโลกในปัจจุบัน จำเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องให้สิทธิเสรีภาพแก่ด้านการสื่อสารในทุกๆ ด้านแก่ประชาชน การมีองค์กรอิสระเพื่อดูแลจัดการด้านนี้โดยเฉพาะ ย่อมเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับทิศทางที่ประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายเลือกกระทำ

 

ในกรณีของสังคมไทย กสทช.กำเนิดขึ้นมาในบริบทเดียวกับ “องค์กรอิสระ” ทั้งหลายแหล่ เพียงแต่กสทช.เป็นองค์กรอิสระล่าสุดที่ได้รับการจัดตั้งขึ้น แต่ก็ดูจะมีบทบาทโดดเด่นอย่างยิ่ง เนื่องจากเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มหาศาลของประเทศ ในบริบทนี้ กสทช.เกิดมาจากความไม่ไว้วางใจต่อนักการเมืองและบริษัทเอกชนและรัฐวิสาหกิจ ในการบริหารจัดการช่องทางการสื่อสาร 

 

อย่างไรก็ดี ดังที่เราได้เห็นกันมาแล้วว่า องค์กรอิสระหลายองค์กรกลับมิได้เป็นอิสระอย่างแท้จริง ยังมีอำนาจเร้นลับ อำนาจนอกระบบ หรืออคติเอนเอียงทางการเมือง ที่เข้ามาแทรกแซงองค์กรอิสระ ทำให้เกิดการบิดเบืนอหลักการสำคัญๆ ขององค์กรอิสระหลายองค์อย่างเห็นได้ชัด (ผมไม่ได้กล่าวไปในเวทีเสวนาว่า ยกตัวอย่างเช่นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ)

 

ในแง่นี้ กสทช.ก็ไม่ได้พ้นเงื้อมมือของอำนาจนอกระบบ ดังจะเห็นได้ว่า ที่มาของกสทช. ก็มาจากการสรรค์หาของวุฒิสมาชิก ซึ่งกว่าครึ่งไม่ได้มีความยึดโยงกับอำนาจอธิปไตยของประชาชน ยิ่งกว่านั้น การที่กสทช.ถือกำเนิดมาจากรัฐธรรมนูญที่เป็นดอกผลของคณะรัฐประหาร 2549 ทำให้เกิดรอบด่างพร้อยแก่คณะกรรมการกสทช.ชุดนี้ รอบด่างพร้อยที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการกสทช. ซึ่งมีประวัติเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่ 2549-2550 มาก่อน จึงนับได้ว่าสร้างจุดด่างพร้อยแก่กสทช.ว่าเป็นผู้รับใช้ระบอบทหารนิยม ระบอบรัฐประหาร ระบอบอนุรักษ์นิยม

 

ด้วยที่มาดังนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า หากจะต้องเลือกเอาระหว่างความมั่นคงของชาติ ตามอุดมการณ์แบบทหารนิยม/รัฐประหารนิยม/อนุรักษ์นิยม กับสิทธิเสรีภาพของประชาชนแล้ว กสทช.ชุดนี้จะเลือกเอาอะไรกันแน่ กสทช. จะแสดงบทบาทปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้คลื่นวิทยุ โทรทัศน์ และคลื่นความถี่อย่างไร หากคลื่นเหล่านี้ถูกคุกคามโดยรัฐ

 

2) ด้านอุดมการณ์

 

ผมอ่านในระดับสัญลักษณ์แล้วเห็นว่า กสทช.ชุดนี้มีอุดมการณ์ชายเป็นใหญ่ อำนาจนิยม และราชการนิยม ลักษณะดังกล่าวนี้สามารถ “ถอดรหัส” ได้จากรายงานประจำปีของกสทช. และเว็บไซต์ของ กสทช. เอง 

 

เห็นได้ชัดว่า สัดส่วนของคณะกรรมการกสทช.มีผู้หญิงเพียงคนเดียว จากกสทช. 11 คน และในคณะกรรมการย่อย ยังมีผู้ชายเป็นหัวหน้า ผู้หญิงเพียงคนเดียวนี้ยังมีบทบาทรอง ข้อสังเกตนอกเหนือจากนั้นที่ผมตั้งไว้ในเวทีเสวนาคือ การที่ผู้หญิงกลายเป็นเพียงเสียงเจี้ยวจ้าวที่ระเบ็งเซ็งแซ่มาคอยวิพากษ์วิจารณ์การใช้อำนาจของพวกผู้ชาย 

 

อันที่จริง ข้อที่ผมไม่ทันได้พูดไปในการเสวนาคือการที่สังคมกสทช.ไม่เพียงเป็นสังคมชายเป็นใหญ่ แต่ยังเป็นสังคมที่มีประธานเป็นชาย “นั่ง” เป็นใหญ่อยู่ จากรูปถ่ายในรายงานประจำปี มีเพียงประธานคนเดียวที่นั่ง นอกจากนั้นยืนกันหมด ภาพลักษณ์ “ประธานนั่ง” ส่อถึงการเป็น “ผู้นำที่ไม่ต้องแบกรับภาระในเชิงปฏิบัติการอะไร” นอกจากคอยสั่งการ หรือไม่ก็เป็นเพียงสัญลักษณ์เชิงอำนาจซึ่งสืบทอดมาจากคณะรัฐประหารเท่านั้น

 

ลักษณะชายเป็นใหญ่สอดคล้องกับลักษณะอำนาจนิยม ดังที่เราเห็นได้ชัดว่า ในจำนวนกสทช. 11 คนนี้ เป็นทหารและตำรวจถึง 6 คน สัดส่วนนี้ไม่ได้สะท้อนภาพของสังคมไทย หากแต่สะท้อนการเกาะกลุ่มกันของผู้มีอำนาจในสังคมไทยในขณะนี้ นั่นคือการที่องค์กรอิสระถูกตั้งขึ้นมาจากผลพวงของการรัฐประหาร 2549 และจึงทำให้สัดส่วนของผู้นำแบบอำนาจนิยม/ทหารนิยม/อนุรักษ์นิยม ก้าวเข้ามาในสัดส่วนที่สูง 

 

ประเด็นที่ผมไม่ได้พูดไปคือ กรณีของกสทช.บางคนที่เราเห็นกันอยู่ว่าเขาจะเข้ามาช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้ภาคประชาชน ก็ยังน่าสงสัยว่า หากเขาไม่ได้เป็นผู้หนึ่งที่ขัดขืน วิพากษ์ผู้มีอำนาจจนถูกผู้นำรัฐบาลนั้นข่มเหงอย่างรุนแรงแล้ว เขาจะได้รับคัดเลือกมาเป็นกสทช.หรือไม่

 

ดูจากรูปถ่ายของคณะกรรมการแล้ว แม้ว่ากสทช.จะพยายามแสดงภาพลักษณ์แบบ CEO ของบริษัทชั้นนำ แต่วัฒนธรรมองค์กรของกสทช.ยังยึดโยงอยู่กับภาพลักษณ์แบบราชการ สังเกตได้จากการเปิดหน้ารายงานประจำปีด้วย “พระบรมราชโองการ” และมีตราครุฑเหนือเอกสารหน้าเว้นหน้า รวมทั้งประกาศต่างๆ ที่แสดงในเว็บไซต์ก็มีตราครุฑแทบทั้งสิ้น การส่งสารเชิงสัญลักษณ์เช่นนี้ไม่ใช่เป็นเพียงภาพลักษณ์ที่ปรากฏภายนอก แต่มันยังมีผลต่อพฤติกรรม ทั้งของพฤติกรรมขององค์กรเอง และพฤติกรรมของประชาชนที่มองและปฏิบัติต่อกสทช. 

 

การมีภาพลักษณ์ที่เป็นเจ้าคนนายคน หลุดลอยอยู่เหนือแต่ส่งอิทธิพลต่อชาวบ้าน จากเบื้องบน เป็นการผลิตซ้ำวัฒนธรรมราชการ ที่ทำให้กสทช.ไม่เข้าถึงประชาชน และยังมองตนเองว่าเป็นผู้มีอำนาจเหนือประชาชน ความรู้ความสามารถเฉพาะทางที่จำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกสทช.เป็นความจำเป็นอยู่แล้วที่กสทช.จะต้องแตกต่างจากประชาชนทั่วไป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กสทช.จะต้องอยู่เหนือประชาชน ด้วยการอิงอำนาจตนเองกับ “พระบรมราชโองการ” ไม่ใช่หรือ

 

ดังนั้น แทนที่องค์กรอิสระนี้จะเกิดขึ้นมาเพื่อรับใช้ประชาชน คุ้มครองสิทธิเสรภาพของประชาชน กลับกลายเป็นว่าจะมาเป็นอำนาจรัฐนอกการกำกับของรัฐบาล และไม่มีความยึดโยงกับอำนาจของปวงชนเสียมากกว่า

 

3) การปฏิบัติหน้าที่

 

ผมตั้งคำถาม 2 ประการกับกสทช. คือเรื่องบทบาทต่อคนชั้นกลางระดับล่าง และบทบาทการเซ็นเซอร์เนื้อหา 

 

ต่อประเด็นแรก หากสังเกตจากเนื้อหาของการเสวนาในวันนั้น และเสียงวิจารณ์ของสังคม ที่โดยมากพุ่งไปยังบทบาทกสทช.ต่อกิจการหรือการคุ้มครองผู้บริโภคในเมือง และผู้บริโภคชนชั้นกลางระดับกลางถึงระดับบน ไม่ว่าจะเป็นการประมูล 3G การปรับผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ หรือการคุ้มครองผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งก็มีผู้บริโภคที่เป็นปัจเจกชน หากแต่มีการพูดถึงสื่อชุมชนน้อยมาก 

 

เหล่านี้ทำให้ตั้งข้อสังเกตได้ว่า หากสังคมหรือกลุ่มผู้วิพากษ์กสทช.เองไม่ค่อยได้สนใจปกป้องผลประโยชน์ของคนชั้นกลางระดับล่าง หรือคนในชนบท ในต่างจังหวัดแล้ว ก็อาจจะเป็นเพราะว่ากสทช.เองนั่นแหละ ที่ก็ไม่ไดให้ความสำคัญต่อคนเหล่านี้เพียงพอ จึงทำให้ไม่มีเสียงสะท้อนต่อการทำงานด้านนี้ของกสทช.

 

ปัญหาที่เห็นได้ชัดคือ การที่สัญญาณส่งคลื่น “ฟรีทีวี” นั้น กระจุกตัวอยู่ในเขตเมือง ในเขตผู้มีรายได้เพียงพอที่จะจ่ายให้กับสัญญาณดาวเทียมหรือสัญญาณเคเบิลทีวี แต่กลับกลายเป็นว่าผู้มีรายได้น้อยต้องจ่ายเงินซื้อจานดาวเทียม เนื่องจากสัญญาณฟรีทีวีในต่างจังหวัดแย่มาก ทำให้ฟรีทีวีฟรีเฉพาะกับคนที่มีรายได้มาก ฟรีกับคนที่ไม่ต้องการฟรีทีวีมากกว่า หรือกรณีโทรศัพท์ทางไกล ที่ราคาแพงมาก ในขณะที่คนกรุงเทพฯ ใช้โทรศัพท์ราคาถูกกว่ามาเนิ่นนานแล้ว กสทช.มีนโยบายอย่างไรกับการปรับปรุงสิทธิการเข้าถึงตรงนี้หรือไม่ ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดนัก

 

นอกจากนั้น เรื่องวิทยุชุมชน มีเสียงสะท้อนจากข่าวว่าประกาศของกสทช.เรื่อง “หลักเกณฑ์การอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ. 2555” ที่อาจมีผลกีดกันการเข้าถึงสื่อ เช่นมีข้อกำหนดที่ให้ผู้เข้ารับการอบรมประกอบกิจการวิทยุชุมชน จะต้องจบปริญญาตรีสาขาสื่อสารมวลชนด้านวิทยุ-โทรทัศน์ (ดูข่าว “วิทยุชุมชนฟ้อง กสทช. เลือกปฏิบัติ” ใน “คม-ชัด-ลึก” วันที่ 26 ธค. 2555) 

 

หากเป็นดังนั้นจริง ก็จะจำกัดการดำเนินกิจการวิทยุชุมชน ทั้งๆ ที่วิทยุชุมชนมีบทบาทสำคัญต่อความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองของไทยในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้เป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้น ในเมื่อผู้ประกอบกิจการอยู่ในขณะนี้จำนวนหนึ่งไม่ได้จบปริญญาตรี หรือไม่ได้จบสาขานี้โดยตรง เขาก็ยังประกอบกิจการด้านนี้มาได้ แสดงว่าการประกอบกิจการด้านนี้ก็ไม่ได้จำเป็นต้องใช้วุฒิปริญญาตรีสาขาวิทยุ-โทรทัศน์แต่อย่างใด

 

ในทางตรงกันข้าม ดูเหมือนแทนที่กสทช.จะให้การสนับสนุนต่อคลื่นความถี่ลักษณะต่างๆ ที่คนหมู่มาก คนมีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงได้ แต่กลับจำกัดหรือสร้างเงื่อนไขที่ทำให้การเข้าถึงยากเย็น ในขณะช่องทางการสื่อสารหลัก ไม่ว่าจะเป็นวิทยุหรือโทรทัศน์ ซึ่งอยู่ในมือของผู้มีอำนาจ คือทหาร รัฐบาล และบริษัทเอกชน กลับได้รับการโอบอุ้มอะลุ่มอล่วยมากกว่า

 

อีกข่าวหนึ่งที่น่าสนใจคือ ข่าวการปรากฏตัวของอดีตนายกรัฐมนตรีในทีวีช่อง 11  ถูกหยิบยกมาเป็นข้อร้องเรียนต่อกสทช.ว่า ทำไมกสทช.ไม่ควบคุม แม้ว่ากสทช.จะตอบกลุ่มผู้ร้องเรียนว่า การปรากฏตัวของบุคคลดังกล่าวไม่ได้ขัดต่อกฎหมาย แต่กสทช.ยังแสดงท่าทีเสมือนเป็นการเซ็นเซอร์เนื้อหาด้วยการกล่าวว่า “สื่อสารมวลชนโดยเฉพาะช่อง 11 ในภาพกว้าง เวลาทำรายการใดๆ ต้องระมัดระวังว่ารายการนั้นจะไม่ก่อให้เกิดข้อคิด หรือข้อขัดแย้งทางความคิดของคนในสังคม” (ดูข่าว “กสทช.ไม่ฟันทักษิณโผล่ทีวี” ใน “บ้านเมือง” วันที่ 26 ธค. 2555) 

 

ความเห็นนี้จัดได้ว่าเป็นการเซ็นเซอร์เนื้อหาในลักษณะหนึ่ง เนื่องจากกำกับว่าจะต้องมีทิศทางของเนื้อหาไปทางใดทางหนึ่ง นอกจากนั้น ความเห็นนี้ยังวางกรอบที่กำกวมว่า เนื้อหานั้นจะต้องไม่ก่อให้เกิดข้อขัดแย้งในสังคม ใครจะเป็นผู้ตัดสินว่า เนื้อหาใดก่อให้เกิดความขัดแย้ง เนื้อหาใดไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง หากกสทช.เป็นผู้ตัดสิน ก็จะยิ่งตอกย้ำว่า กสทช.เป็น “คุณพ่อรู้ดี” เป็นผู้เผด็จการที่คอยกำหนดกะเกณฑ์ได้ว่า เนื้อหาใดควรนำเสนอออกสื่อ เนื้อหาใดไม่ควร 

 

ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ นี่แสดงว่ากสทช.ไม่เข้าใจลักษณะของสังคมประชาธิปไตยและสังคมสมัยใหม่ว่า เป็นสังคมที่มีความขัดแย้งเป็นธรรมชาติ ตราบใดที่ความขัดแย้งนั้นยังดำเนินไปบนวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย และสามารถจัดการได้ด้วยด้วยกลไกในระบอบประชาธิปไตย ความขัดแย้งใดๆ ก็เป็นที่ยอมรับได้ 

 

ปัญหาเหล่านี้อาจจะไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากปัญหาของที่มาของกสทช.และอุดมการณ์เบื้องหลังกสทช.ดังกล่าว หากแต่ปัญหานี้สะท้อนว่า ที่มาและอุดมการณ์แบบอำนาจนิยม/ทหารนิยม/อนุรักษ์นิยมอาจมีส่วนทำให้ประเด็นเรื่องการกระจายโอกาสการเข้าถึงสื่อไปสู่คนรายได้น้อย และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงสื่อและเสรีภ่พการแสดงออก การแสดงความคิดเห็น ไม่ได้เป็นจุดเน้นของกสทช.ชุดปัจจุบัน

 

ในท้ายที่สุด ผมตั้งคำถามว่า หากแก้รัฐธรรมนูญแล้ว กสทช.ชุดนี้จะแสดงสบิริตประชาธิปไตยด้วยการลาออกหรือไม่

 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมเลี่ยงที่จะอ่านข่าวเกี่ยวกับมติครม.งดเหล้าเข้าพรรษาเพราะไม่อยากหงุดหงิดเสียอารมณ์ ไม่อยากมีความเห็น และไม่อยากต้องโดนด่าหลังแสดงความเห็น
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อต้องกลับมาชวนคนอ่านงานของบรมครูทาง "วัฒนธรรมศึกษา" คนหนึ่ง ที่ผมไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรนัก 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ไปแม่ฮ่องสอนสามวัน ค้างสองคืน เพื่อร่วมงาน "ไทใหญ่ศึกษา" ทั้งๆ ที่ไม่เคยไปมาก่อน ไม่รู้จักวัฒนธรรมไทใหญ่มาก่อน พอจะรู้จากการอ่านงานเรื่อง "ฉาน" เรื่องรัฐไทใหญ่ เรื่องประวัติศาสตร์บ้างนิดหน่อย จึงมิอาจให้ความเห็นใดๆ กับอาหารไทใหญ่ได้ ทำได้แค่เพียงบอกเล่า "ความประทับใจแรกเริ่ม" ในแบบที่นักชาติพันธ์ุนิพนธ์ทั่วไปมักทำกัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ไม่รู้เป็นอะไรกันนักหนากับเครื่องแต่งกายนักศึกษา จะต้องมีการประจาน จะต้องมีการให้คุณค่าบวก-ลบ จะต้องถือเป็นเรื่องจริงจังกันจนบางคณะถึงกับต้องนำเรื่องนี้เข้ามาเป็นวาระ "เพื่อพิจารณา" ในที่ประชุมคณาจารย์
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อาจารย์ชาญวิทย์เกิดวันที่ 6 พฤษภาคม วันที่ 22 มิถุนายนนี้ ลูกศิษย์ลูกหาจัดงานครบรอบ 72 ปีให้อาจารย์ที่คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวานนี้ (12 มิถุนายน 2556) อาจารย์ที่คณะท่านหนึ่งเชิญไปบรรยายในวิชา "มนุษย์กับสังคม" หัวข้อ "สังคมศาสตร์กับความเข้าใจผู้คนและสังคม" ให้นักศึกษาปริญญาตรีชั้นปี 1 ในห้องเรียนมีนักศึกษาราว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อเขียนนี้ถูกเผยแพร่ในอีกพื้นที่หนึ่งไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากเห็นว่าเข้ากับโอกาสของการเปิดภาคการศึกษาของมหาวิทยาลัย จึงขอนำมาเสนออีกครั้งในที่นี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธ์ุอยู่หลากหลายกลุ่ม พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ และร่วมสร้างสังคม สร้างประวัติศาสตร์โบราณและสมัยใหม่อย่างขาดไม่ได้ แต่ประเทศไทยก็ไม่เคยมีนโยบายกลุ่มชาติพันธ์ุมาก่อน (ยาวนะครับ ถ้ายังอยู่ในโลก 8 บรรทัดโปรดอย่าอ่าน)
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 มีคนบ่นว่า "ผ่านมาสามปีแล้ว ทำไมคนเสื้อแดงยังไปรวมตัวกันที่ราชประสงค์กันอีก นี่พวกเขาจะต้องระลึกถึงเหตุการณ์นี้กันไปจนถึงเมื่อไหร่" แล้วลงท้ายว่า "รถติดจะตายอยู่แล้ว ห้างต้องปิดกันหมด ขาดรายได้ นักท่องเที่ยวเดือดร้อน" นั่นสิ น่าคิดว่าทำไมการบาดเจ็บและความตายที่ราชประสงค์เมื่อพฤษภาคม 2553 มีความหมายมากกว่าโศกนาฏกรรมทางการเมืองครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เรียน ศาสตราจารย์ ดร. อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เห็นนักคิดไทยสองคนออกมาเทศนาแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่า "ทำไมนักคิดไทย พอแก่ตัวลงต้องไปจนแต้มที่วิธีคิดแบบพุทธๆ"