Skip to main content

เสียงสะท้อนที่รบกวนใจผมอยู่บ้างในระยะนี้ คือคำวิจารณ์ที่เข้ามาสู่หูผมมากขึ้นๆ ทุกวันว่า ผมเป็นพวกบ้าทฤษฎี พวกบ้าศัพท์แสง พวกบ้าวิพากษ์ และพวกคลั่งตะวันตก ซึ่งผมก็น้อมรับด้วยความยินดี

แต่ที่จริงก็นึกเสียดายอยู่บ้างว่า วัฒนธรรมการวิจารณ์ที่ศาสตราจารย์ทางมนุษยศาสตร์ไทยท่านหนึ่งนามเจตนา นาควัชระพยายามสร้างขึ้นนั้น มาได้แค่เพียงผ่านวิธีนินทากาเล ไม่ใช่ด้วยบทความทางวิชาการถกเถียงกัน หรือไม่แม้แต่จะวิจารณ์บอกกล่าวกันซึ่งหน้า แต่ก็นั่นแหละ สังคมที่ยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากันอย่างตรงไปตรงมาก็ต้องอยู่ด้วยการขัดเกลากันลับหลังไปอย่างนี้ 
 
ประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะถกเถียงด้วยคือ สังคมไทยขาดนักวิชาการหอคอยงาช้าง จึงไม่สามารถนำเสนอความรู้อะไรให้โลกวิชาการสากลได้ หรือจะให้พูดด้วยสำนวนภาษาแดกดันแบบในเฟซบุ๊กหรือเว็บบล็อกหน่อยก็คือ 
 
หากคุณไม่ต้องการหอคอยงาช้าง คุณไม่มีทางสร้างสรรค์ภูมิปัญญาจากพื้นถิ่นให้กลายเป็นภูมิปัญญาของโลกได้หรอก หากคุณไม่สนทนากับโลกด้วยภูมิปัญญาของคุณเอง คุณไม่มีทางทำให้โลกนี้รู้จักคุณได้หรอก แล้วหากคุณไม่เข้าใจโลกสากล คุณจะเอาอะไรไปคุยกับเขาแล้วให้เขาฟังคุณได้ ผมเลยอยากจะบอกกล่าวจากเก้าอี้เท้าแขนบนหอคอยงาช้างว่า ทฤษฎี ศัพท์แสง การวิพากษ์ และความ(หลัง)สมัยใหม่ที่(ไม่จำต้อง)เป็นตะวันตก เป็นอย่างไร มีข้อดีของมันที่ควรนำมาพิจารณาอย่างไร ควรมิควรก็ควรรู้ทัศนะแบบนี้ไว้บ้างนั่นแหละ
 
     (1) บ้าทฤษฎี
 

ใครที่รู้จักผม คงพอรู้บ้างว่านอกจากสอนหนังสือ ทำวิจัย เขียนงานวิชาการหนัก ๆ และงานบริหารของคณะ มหาวิทยาลัย และเครือข่ายทางวิชาการของสาขาวิชาตนเองแล้ว ผมพอจะทำอะไรในด้านของการให้บริการแก่สังคมและกระทั่งร่วมการเคลื่อนไหวทางสังคมอะไรอยู่บ้างเช่นกัน ไม่ว่าจะกับกลุ่มนักวิชาการสันติประชาธรรม ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณีเมษา-พฤษภา 53 และคณะรณรงค์แก้ไขม.112 รวมทั้งด้วยการนำเสนอประเด็นวิพากษ์สังคมบ้าง การเมืองบ้าง ผ่านสื่อสาธารณะต่าง ๆ ทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ สื่อออนไลน์ และเฟซบุ๊กก็เคยเล่นมาแล้ว 

หากสิ่งที่ทำเหล่านี้ยังทำให้ผมถูกเรียกว่า อยู่แต่บนหอคอยงาช้าง ไม่นำพากับเรื่องราวสาธารณะ ก็ไม่ทราบว่าจะว่าอย่างไรแล้ว เว้นเสียแต่ว่าคุณจะไม่อยากรับรู้เกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคมที่ผมเข้าร่วมอยู่ด้วย เพราะเนื้อหาไม่เข้าหูคุณ หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ ก็ช่างเถอะ 

แต่ในการทำงานทางวิชาการ รวมทั้งการนำเสนอความคิดต่อสังคม ผมยืนยันการใช้ทฤษฎี ไม่ใช่เพียงเพราะแค่ถูกฝึกมาอย่างนั้น แต่เพราะเห็นว่าทฤษฎีมีข้อได้เปรียบหลายประการ ดังจะกล่าวต่อไป
 
หากจะให้พูดง่าย ๆ ทฤษฎีเป็นแนวทางในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่ยุ่งเหยิง ทฤษฎีช่วยจัดระบบความยุ่งเหยิงเหล่านั้นให้เข้าใจได้ เราจะเริ่มจากทฤษฎีอะไรก็ได้ แต่นักวิจัยภาคสนามอย่างโบนิสลาฟ มาลินอฟสกี ชาวโปแลนด์ที่หลงใหลนวนิยายของนักอาณานิคมอังกฤษ จนกลายไปเป็นนักมานุษยวิทยาที่วางรากฐานให้การวิจัยภาคสนามกล่าวไว้ว่า นักวิจัยภาคสนามต้องมีทฤษฎี และควรเริ่มจากทฤษฎีที่ใหม่สักหน่อย หรือทฤษฎีที่มีการถกเถียงถึงกันมากสักหน่อย 
 
ที่ต้องเลือกที่ใหม่สักหน่อย ผมคิดว่าเพื่อที่ว่าจะยังสื่อสารกับโลกสากลปัจจุบันได้ หรือไม่ก็เพื่อที่จะไม่เข้าใจอะไรผิดพลาดแบบที่ทฤษฎีเก่า ๆ ได้ดำเนินมา อย่างไรก็ตาม เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ทฤษฎีใหม่ ๆ มากมาย ก็ถูกรื้อฟื้นพัฒนาจากทฤษฎีเก่า ๆ ทั้งนั้นแหละ ผมเรียนมาจนบัดนี้ยังไม่เห็นอะไรใหม่ถอดด้ามแบบที่ยังไม่เคยถูกคิดกันมาก่อนเลย เพียงแต่บางสมัย ทฤษฎีแบบหนึ่งครอบงำมากเกินไปจนทำให้มองไม่เห็น ไม่เข้าใจมิติอื่น ๆ ที่ทฤษฎีแบบอื่น ๆ สนใจ จึงมีการไปปัดฝุ่นหยิบเอาทฤษฎีเก่า ๆ ที่แหวกแนวทางที่ครอบงำอยู่ มาพัฒนาใหม่
 
จากมุมมองทางมนุษยศาสตร์ ซึ่งความรู้ของผมเอนเอียงไปทางนั้นมากกว่า ทฤษฎีเป็นสิ่งที่ค่อนข้างถูกปฏิเสธ ไม่ได้รับการยอมรับ หากแต่นักมานุษยวิทยาเป็นนักสังคมศาสตร์ที่เป็นมนุษยศาสตร์เกินไปในสายตานักสังคมศาสตร์สาขาอื่น ๆ แต่ก็เป็นวิทยาศาสตร์เกินไปในสายตานักมนุษยศาสตร์ฮาร์ทคอร์ แต่เพื่อไม่ให้ตกลงไปสู่รายละเอียดเฉพาะถิ่นเฉพาะที่อย่างตายตัวจนสนทนากับใครแทบจะไม่ได้เลย ทฤษฎี ซึ่งเป็นหลักสากลบางอย่าง จะช่วยให้เรื่องราวเฉพาะเจาะจงจากที่หนึ่ง สามารถพูดคุยถกเถียงกับเรื่องราวเฉพาะเจาะจงจากที่อื่น ๆ ได้
 
ทฤษฎีมีระดับของภาษานามธรรมที่แตกต่างกัน หากขึ้นไปถึงระดับที่สามารถคุยกันได้ข้ามสาขาวิชา เช่น สังคมวิทยาคุยกับเศรษฐศาสตร์ หรือไกลกว่านั้นคือการคุยข้ามศาสตร์ เช่น มนุษยศาสตร์ถกเถียงกับวิทยาศาสตร์ นั่นตือการทำให้ทฤษฎีเป็นภาษาของการสื่อสารกันได้อย่างกว้างขวาง ทฤษฎีจึงเป็นทั้งข้อเสนอจากการเข้าใจปรากฏการณ์ใด ๆ หรือเรื่องราวใด ๆ และเป็นภาษากลางของการทำงานวิชาการ
 
แต่ "ทฤษฎี" ก็ไม่ได้มีไว้ให้ยึดมั่น ถ้ายึดมั่นจะกลายเป็น "ทิฏฐิ" ที่จริงผู้รู้บาลี-สันสกฤตย่อมทราบดีว่า คำว่าทฤษฎีกับคำว่าทิฏฐิเป็นคำเดียวกัน แต่ภาษาไทยเอามาทำให้เป็นคนละคำกัน แน่นอนว่าการเริ่มต้นด้วยทฤษฎีย่อมต้องมี(อ)คติแบบใดแบบหนึ่ง และก็ย่อมจำกัดมุมมองของการเข้าใจโลกไปทางใดทางหนึ่ง แต่ก็เพราะอย่างนั้นนั่นแหละ ที่เราจะต้องวิพากษ์ทฤษฎีก่อน จะต้องเข้าใจขีดจำกัด ขอบเขตของความรู้ของเราก่อน ความรู้ทางวิชาการจึงเป็นความรู้ในขอบเขตจำกัดหนึ่งทั้งสิ้น 
 
ในแง่นี้ นักสังคมศาสตร์ที่อยากจะเป็นวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่งนั้น ตอบโจทย์นี้ได้ดีที่สุด นั่นคือนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งบอกเสมอว่า "สมมุติว่าทุกสิ่งไม่เปลี่ยนแปลง" คำอธิบายทางเศรษฐศาสตร์จึงใกล้เคียงความจริงที่สุดในขอบเขตที่จำกัดไว้เท่านั้น ความรู้ของนักสังคมศาสตร์และนักมนุษยศาสตร์อื่น ๆ ก็เช่นเดียวกันนั้น
 
ที่จริงธรรมเนียมการใช้ทฤษฎีได้เปรียบการพยายามไม่ใช้อยู่เหมือนกัน เนื่องจากการใช้ทฤษฎีก็จะต้องตรวจสอบทฤษฎี เข้าใจตื้นลึกหนาบาง หรือเข้าใจขีดจำกัดของตนเองก่อน ต่างจากการพยายามไม่ใช้ทฤษฎี ที่หลายต่อหลายครั้งก็มักตกลงไปในกรอบทฤษฎีแบบใดแบบหนึ่งโดยไม่ทันได้ระวังตัว การไม่ใช้ทฤษฎีจึงอาจกลายเป็นการหลอกตนเอง หรือไม่เข้าใจกับดักที่ตนเองวางไว้ก็ได้ ดังนั้น การใช้ทฤษฎีจึงมีแนวโน้มที่จะวิพากษ์ตนเองได้และถูกวิพากษ์ได้อย่างชัดเจนตรงไปตรงมามากกว่าการหลบตนเองอยู่หลังกองข้อมูลที่อ้างว่าไม่มีทฤษฎีกำกับ
 
แต่หากยึดตามครูบาอาจารย์ทางมานุษยวิทยาสายมนุษยศาสตร์อย่างคลิฟเฟิร์ด เกียร์ซ ทฤษฎีทางมนุษยศาสตร์ไม่ใช่ข้อค้นพบที่ยิ่งยวด ไม่ใช่ข้อค้นพบที่สามารถต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ หากแต่เป็นข้อเสนอหนึ่งที่เข้าท่าที่สุดเท่าที่ผู้ศึกษาจะเสนอได้ในขณะนั้น ทฤษฎีในแบบมานุษยวิทยาตามข้อเสนอนี้จึงเป็นการนำความรู้ที่ได้จากพื้นที่เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ไปสนทนา ถกเถียงกับความรู้ที่มีการเสนอมาก่อนหน้าแล้ว ไม่ใช่การศึกษาเพื่อยืนยันข้อค้นพบเดิม ๆ หรือไม่ใช่เพียงกรณีศึกษาหนึ่งในกรอบทฤษฎีหนึ่ง แต่เป็นการนำเอาเรื่องราวเฉพาะเจาะจง ไปแลกเปลี่ยนกับทฤษฎีที่เป็นนามธรรม 
 
ต่อคำถามที่ว่า มีคำตอบที่ยุติได้อยู่ที่ไหนหรือไม่ เกียร์ซตอบด้วยนิทานของชนพื้นเมืองในอเมริกาว่า "มีคนอังกฤษซึ่งรู้มาว่า ชาวอินเดียนเชื่อว่าโลกวางอยู่บนฐานอะไรสักอย่าง ที่วางอยู่บนหลังช้าง แล้วช้างยืนอยู่บนหลังเต่า เขาเลยถามต่อว่า แล้วเต่าล่ะ ยืนบนอะไร เต่าอีกตัวหนึ่งเหรอ ชาวอินเดียนตอบว่า ถัดจากเต่าแล้ว ก็จะเป็นเต่าอีกตัวหนึ่ง ต่อไปอย่างนั้นเรื่อยๆ" ทฤษฎีจึงไม่ใช่คำตอบที่สิ้นสุดตายตัว ทฤษฎีมีไว้ให้ถกเถียงด้วย ไม่ใช่ให้ยำเกรงหรือบูชา
 
โลกวิชาการก็แค่นี้แหละครับ ก็เถียงกันไปกันมา แต่หากไม่มีทฤษฎี ก็ไม่ทราบว่าจะคุยกันข้ามพื้นที่ ข้ามสาขาวิชา ข้ามโลกของศาสตร์ต่างๆ อย่างไร ทฤษฎีไม่ได้มีไว้อวดอ้างความซับซ้อน ไม่ได้มีไว้ข่มคนไม่รู้ทฤษฎี แต่มีไว้นำทาง มีไว้ให้รู้ข้อจำกัด มีไว้ให้สามารถคุยกันได้ มีไว้ให้ล้มล้าง ตรวจสอบทบทวน เพราะฉะนั้น อย่ารังเกียจทฤษฎีนักเลยครับ แม้ว่าจะไม่ชอบหน้าคนชอบใช้ทฤษฎีก็เถอะ 
 
เขียนมาอย่างยืดยาว อธิบายได้เพียงส่วนเดียว ยังเหลืออีก 3 ส่วน เอาไว้มีเวลามาเล่าต่อก็แล้วกันครับ

 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
มีเพื่อนคนหนึ่งตั้งประเด็นว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า มหาวิทยาลัยไทยในหลายจังหวัดว่าจะพัฒนาไปไกลกว่ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะทางด้าน "สังคมศาสตร์" ผมก็เลยคิดอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมอ่านเรื่องการขายข้าวของ บก.ลายจุด ไปขัดใจคนอีกฝั่งหนึ่งแล้ว ทีแรกก็ไม่ค่อยอยากสนใจนัก เพราะ บก.ลายจุด ขยับทำอะไรที ฝ่ายนั้นก็คอยจ้องโจมตีเรื่อยไปจนน่าเบื่อไปแล้ว แต่พอเสธ.ไก่อูมาสนใจการขายข้าวของ บก.ลายจุด ผมว่า อ้อ อย่างนี้นี่เอง ทำไมการขายข้าวของ บก.ลายจุด จึงน่าสนใจขึ้นมาได้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เห็นโจมตีกระแนะกระแหนส่วนหนึ่งของความเห็นผมกันยกใหญ่ แต่ผมว่าก็ดีนะ มันชี้ขีดจำกัดของความคิดคนดี ก็ไม่ใช่ว่าผมจะพูดถูกหมดหรือพูดครบถ้วนหมดจดหรอก เพียงแต่มีข้อแย้งกับข้อโต้แย้งเหล่านั้นได้มากเช่นกัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สิทธิมนุษยชนเป็นแนวคิดที่มีรากฐานอยู่ในประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองไทยมาเนิ่นนาน น่าจะนานไม่น้อยไปกว่าแนวคิดประชาธิปไตย หากแต่น่าสงสัยว่า ทำไมแนวคิดนี้จึงยังไม่เป็นที่เข้าใจกันเสียที 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หลายวันมานี้ มีนักคิดหลายๆ คนเสนอวิธีทำความเข้าใจสังคมไทยใหม่ๆ มากมาย หลายคนพยายามไม่ตัดสินว่านี่คือการถอยหลังหรือย้อนรอยกลับไปในอดีต เพราะนักศึกษาประวัติศาสตร์สังคมย่อมทราบดีว่า สังคมเปลี่ยนแปลงเสมอ และในเมื่อเงื่อนไขเปลี่ยนไป เราจะเข้าใจสังคมปัจจุบันอย่างไร ผมคนหนึ่งล่ะที่พยายามไม่คิดว่านี่เป็นการ "ถอยหลัง" หรือซ้ำรอยอดีตอย่าง deja vu 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เรื่องไม่เป็นเรื่องบางครั้งก็ชวนให้น่ารำคาญ ทำให้ต้องมาคอยอารัมภบทออกตัวมากมาย ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมโชคดีที่มีโอกาสได้รับเชิญไปร่วมประชุมวิชาการด้านสิทธิมนุษยชนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเมื่อวันศุกร์สัปดาห์ก่อน ทั้งหมดเป็นประสบการณ์แปลกใหม่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
แนวโน้มของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แสดงให้เห็นทิศทางที่ชัดเจนขึ้นว่า จะเป็นรัฐธรรมนูญที่ลดอำนาจของประชาชนลง แนวโน้มนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายของผู้เฝ้าติดตามการเมืองไทยในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกระบวนการต่อเนื่องของการทำลายประชาธิปไตยในประเทศไทย จนกระทั่งเมื่อการเลือกตั้งทั่วไปปี 2557 ที่เกิดปรากฏการณ์ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย นั่นคือการชุมนุมทางการเมืองและใช้กำลังรุนแรงของมวลชนเข้าไปปิดล้อมทำลายการเลือกตั้ง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไม่จำเป็นต้องสาธยายคุณูปการของอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลต่อสังคมไทย หากคุณไม่เห็นคุณูปการของอาจารย์สมศักดิ์ คุณก็คือคนที่ไม่เข้าใจว่าตนเองกำลังกรอกยาฝิ่นใส่ปากตัวเอง แล้วเมายาอยู่จนหลงคิดไปว่ากำลังดื่มโอสถบำรุงกำลัง หากคุณไม่คิดอย่างนั้น ก็ไม่ต้องอ่านต่อไปแล้วไม่ต้องมาพยายามเถียงกับผมให้เสียเวลาเปลืองอารมณ์ที่จะต้องคุยกัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันศุกร์ที่ผ่านมา (20 กพ. 58) ผมไปร่วมกิจกรรม 4 กิจกรรมด้วยกัน ทั้งหมดเกี่ยวกันบ้าง ไม่เกี่ยวกันบ้าง แต่อยากเล่าให้ฟังว่ามันชวนคิดและชวนตกใจมากทีเดียว 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อเห็นข่าวว่ามีการพูดถึงคนไทยมาจากเขาอัลไตกันขึ้นมาอีก ผมก็ระลึกขึ้นมาทันทีว่า เรื่องนี้ได้ข้อตกลงกันไปชัดเจนนานแล้วนี่นาว่า เป็นความรู้ที่ผิดพลาด 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
รัฐบาลทหารไม่อยากให้ถูกเรียกว่าตนเองเป็นเผด็จการ เพราะยอมรับความจริงไม่ได้ว่า ที่ตนเป็นอยู่นั้นเป็นเผด็จการ เหมือนโจรที่ไม่อยากถูกเรียกว่าโ