Skip to main content

นักเรียนมนุษยศาสตร์จำนวนมากสนใจวิธีการและทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ แต่นักสังคมศาสตร์เขาตั้งท่าทำวิจัยกันอย่างไร แล้วหากนักมนุษยศาสตร์จะใช้วิธีการและทฤษฎีแบบสังคมศาสตร์บ้างจะทำอย่างไร

เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2556 โครงการปริญญาโทฝรั่งเศสศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ติดต่อให้ผมไปบรรยายเพื่อตอบคำถามดังกล่าว ขอนำบันทึกบางส่วนของการบรรยายมาเสนอในที่นี้

จากประสบการณ์ในการสอบวิทยานิพนธ์และอ่านประเมินงานวิจัย บทความวิชาการนอกมานุษยวิทยาหลายสาขา เช่น รัฐศาสตร์ สังคมวิทยากฎหมาย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ประวัติศาสตร์ วรรณคดี กระทั่งภาษาศาสตร์ก็มี ผมเห็นปัญหาต่อไปนี้

1) วิธีวิจัยข้ามสาขา การนำวิธีการวิจัยจากสาขาหนึ่งไปใช้ในอีกสาขาหนึ่ง มักขาดจริต ขาดความคุ้นเคย แยกส่วน ได้เพียงสไตล์ แต่ขาด "ฟิลลิ่ง" 

วิธีการหนึ่งที่เป็นที่นิยมข้ามสาขาคือวิธีการแบบ "ethnography" (ชาติพันธ์ุวรรณนา, ชาติพันธ์ุนิพนธ์) ข้อเท็จจริงคือ วิธีการนี้มีที่ทางมาจากสาขาวิชามานุษยวิทยา ซึ่งเกิดมารับใช้ฝรั่งล่าอาณานิคม วิธีการนี้จึงมีความเป็นมา มีปมปัญหา มีการคลี่คลายผ่านข้อถกเถียงมายาวนาน ไม่เคยหยุดนิ่ง

ปัญหาคือเวลาคนที่ไม่ได้เรียนมานุษยวิทยานำไปใช้ ก็จะเหลือเพียงถ้อยคำอย่าง "การสังเกตอย่างมีส่วนร่วม" "การสัมภาษณ์" "การวิจัยภาคสนาม" แต่ขาดการตระหนักถึงปัญหาของการวิจัยวิธีนี้ ขาดการเชื่อมโยงวิธีการกับประเด็นสำคัญของการวิจัย หรือกระทั่งบางคนใช้โดยไม่ทันรู้ว่า ในทศวรรษนี้ เขาถกเถียงถึงปัญหาของวิธีการแบบนี้ไปถึงไหนกันแล้ว

2) การใช้ทฤษฎี ทฤษฎีสังคมศาสตร์มักถูกนักมนุษยศาสตร์มือใหม่นำไปใช้อย่างประดักประเดิด ขาดความลึกซึ้ง ขาดการทบทวนเพียงพอ

การใช้ทฤษฎีแบบที่ผมร่ำเรียนมาคือ ต้องรู้ที่มาที่ไปของกลุ่มแนวคิดที่เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งทั้งหมด รู้พอที่จะสอนทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องนั้นเป็นวิชาหนึ่งได้ ต้องรู้ว่าความรู้เรื่องนี้มีพัฒนาการมาอย่างไร กำลังจะไปทางไหน แล้วงานตนเองจะใช้แนวไหน ทำไมไม่ใช้แนวอื่น เพื่อจะได้รู้ว่างานเราจะวางอยู่บนฐานของอะไร เราจะให้อะไรใหม่กับแวดวงของการศึกษาดังกล่าว

ในงานวิจัยหนึ่งๆ มักต้องรู้สอง-สามกลุ่มแนวคิด ไม่มีงานไหนสามารถใช้กลุ่มแนวคิดเดียวได้ เนื่องจากมนุษย์และสังคมมีมิติต่างๆ ที่ซับซ้อน ซ้อนทับกันอยู่ 

อย่างเช่น จะศึกษาเรื่องศาสนา (ซึ่งก็ต้องรู้แนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับมานุษยวิทยาศาสนา) ในประเทศเวียดนาม (ซึ่งก็ต้องรู้ว่าจักเวียดนามตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์) ว่าสัมพันธ์กับการเมืองสมัยใหม่อย่างไร (ซึ่งก็ต้องรู้แนวคิดทางมานุษยวิทยาการเมือง) ก็ต้องทบทวนขอบเขตความรู้เหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

3) จุดแข็งของมนุษยศาสตร์ นักเรียนมนุษยศาสตร์ปัจจุบันหลงไหลกับแนวคิดทางสังคมศาสตร์จนลืมจุดแข็งของตนเอง งานวิจัยทางมนุษยศาสตร์ไม่จำเป็นต้องมาอ้างอิงทฤษฎีอะไร ไม่ต้องทบทวนแนวคิดทางทฤษฎีมากมายนักก็ได้ ลองไปดูงานวิจัยทางประวัติศาสตร์เป็นตัวอย่าง ไม่ได้จำเป็นต้องเริ่มด้วยการทบทวนกรอบแนวคิดอะไรให้รกอกหนักใจ

มนุษยศาสตร์เน้นการเข้าใจเรื่องราวที่เฉพาะเจาะจง เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อจะได้เห็นลักษณะเฉพาะ มากกว่าที่จะค้นหาทฤษฎีทั่วไป ข้อนี้จึงต่างจากสังคมศาสตร์ ที่มีจริตอยู่ที่การสร้างข้อเปรียบเทียบ สร้างทฤษฎีทั่วไป แต่ท้ายที่สุด เนื่องจากนักวิชาการสาขาต่างๆ ย่อมต้องแลกเปลี่ยนความรู้กัน แนวคิดทฤษฎีต่างๆ จึงมีไว้ "สนทนากัน" ถึงที่สุดแล้วนักมนุษยศาสตร์จึงต้องเข้าสู่การศึกษาทฤษฎี 

ทฤษฎีจึงเป็น "ภาษากลาง" สำหรับการสื่อสารกันข้ามศาสตร์ แต่หากเรายึดมั่นกับภาษากลางจนเกินไป เราก็จะไม่มีคำใหม่ๆ ไม่มีความรู้ใหม่ๆ ความรู้ทางมนุษยศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องราวเฉพาะจึงมีประโยชน์ เพราะอาจจะมีข้อค้นพบที่ไม่เคยได้รับความสนใจมาก่อน แล้วนำข้อค้นพบของเราไปถกเถียงกับทฤษฎีต่างๆ

4) ข้ามสาขา ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ใช่เพื่อจะปิดกั้นการข้ามสาขา แต่จะทำอย่างไรที่แต่ละคนจากต่างสาขาจะนำจุดแข็งของตนเอง ไปเพิ่มพูนให้กับการศึกษาในสาขาวิชาอื่นๆ 

ความรู้เรื่องร่างกายทางการแพทย์ สามารถช่วยให้นักมานุษยวิทยาเข้าใจอะไรใหม่ๆ ได้บ้าง ความรู้เรื่องสังคม สามารถช่วยให้นักจิตวิทยาองค์กรเข้าใจอะไรใหม่ๆ ได้บ้าง ความรู้เรื่องศิลปะ สามารถช่วยให้นักรัฐประศาสนศาสตร์เข้าใจอะไรใหม่ๆ ได้บ้าง ฯลฯ 

ปัจจุบันพรมแดนของสาขาวิชาเริ่มพร่าเลือน หากแต่การก้าวข้ามสาขาวิชาก็ไม่ใช่เรื่องสะดวกง่ายดายนัก แต่ผมก็เชื่อว่า หากเราไม่ยึดมั่นถือมั่นกับความแข็งแกร่งของสาขาวิชาตนเองจนเกินไปนัก เราจะได้ความรู้ใหม่ๆ มากมาย ณ จุดปะทะกันของพรมแดนระหว่างสาขาวิชาต่างๆ

(สำหรับผู้ที่นำไปเผยแพร่ต่อ ผมยินดีเสมอ หากแต่ต้องมีจริยธรรมในการนำไปเผยแพร่ต่อ ด้วยการระบุที่มาและแสดงลิงค์มายังบล็อกนี้ที่ "ประชาไทบล็อกกาซีน" ให้ครบถ้วน)

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (24 ธันวาคม 2555) กสทช.เชิญให้ผมไปร่วมแสดงความเห็นในเวทีเสวนาสาธารณะ “1 ปี กสทช. กับความ (ไม่) สมหวังของสังคมไทย” ทีแรกผมไม่คิดว่าตนเองจะสามารถไปวิจารณ์อะไรกสทช.ได้ แต่ผู้จัดยืนยันว่าต้องการมุมมองแบบมานุษยวิทยา ผมจึงตกปากรับคำไป 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อโต้แย้งต่อความเห็นผมจากของเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ที่ลงในมติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355920241&grpid=03&catid=&subcatid=) ย้ำให้เห็นชัดถึงความอับจนของกรอบคิดของคนกลุ่มนี้ต่อไปนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ไม่เพียงแต่นักเขียนบางคนเท่านั้นที่อาจจะไม่เข้าใจหรือมองข้ามประเด็นความแตกต่างทางชาติพันธ์ุ แต่ผมคิดว่าแวดวงภาษาและวรรณกรรมบ้านเราอาจจะไม่ตระหนักถึงปัญหานี้โดยรวมเลยก็ได้ และในแง่หนึ่ง ผมคิดว่าซีไรต์เองอาจจะมีส่วนสร้างวัฒนธรรมไม่อ่อนไหวต่อความแตกต่างทางวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน และถึงที่สุดแล้ว นี่อาจจะกลายเป็นข้อจำกัดที่ปิดกั้นโอกาสที่วรรณกรรมไทยจะก้าวเข้าสู่ระดับสากล
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทัศนะของนายแพทย์ที่เป็นตัวแทนของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ แสดงให้เห็นถึงความคิดคับแคบของผู้มีอำนาจกลุ่มหนึ่ง ที่มักใช้อำนาจก้าวก่ายชีวิตผู้คน บนความไม่รู้ไม่เข้าใจไม่อยากรับผิดชอบต่อปัญหาเชิงโครงสร้างที่ละเอียดอ่อน และบนกรอบข้ออ้างเรื่องคุณธรรมความดีที่ยกตนเองเหนือคนอื่น
ยุกติ มุกดาวิจิตร
แทนที่จะเถียงกับอีกท่านหนึ่งที่วิจารณ์ผมต่อหน้ามากมายเมื่อวาน ผมขอใช้พลังงานเถียงกับข้อเสนอล่าสุดของอาจารย์ธีรยุทธ บุญมีจากข่าวในมติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354935625&grpid=01&catid=&subcatid=) ดังนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นึกไม่ถึงและนึกไม่ออกจริงๆ ว่า ทำไมคนเปิดร้านขายหนังสือในปลายศตวรรษที่ 20 - ต้น 21 จะมีความคิดแบบนี้ได้ นี่แสดงว่าเขาไม่ได้อ่านหนังสือที่เขาขายบ้างเลย หรือนี่แสดงว่าการอ่านหนังสือไม่ได้ช่วยจรรโลงจิตใจนายทุนบางคนขึ้นมาได้เลย*
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 เมื่ออ่านข่าวแอร์โฮสเตสที่เพิ่งถูกให้ออก ผมมีคำถามหลายข้อ ทั้งในมิติของโซเชียลมีเดีย hate speech และสิทธิแรงงาน อย่างไรก็ดี ขอเคลียร์ก่อนว่าหากใครทราบจุดยืนทางการเมืองของผม ย่อมเข้าใจดีว่าความเห็นต่อไปนี้ไม่ได้มาจากความเห็นทางการเมืองที่เอนเอียงไปในทางเดียวกับพนักงานสายการบินคนนี้แต่อย่างใด ข้อสังเกตคือ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ขณะกำลังนั่งกินหอยแครงลวกอยู่เวลานี้ ก็ชวนให้คิดถึงคำพูดของนักวิชาการกัมพูชาคนหนึ่ง ที่เคยนั่งต่อหน้าอาหารเกาหลีจานพิเศษ คือหนอนทะเลดิบตัดเป็นชิ้นๆ ขยับตัวดึบๆ ดึบๆ อยู่ในจานแม้จะถูกตั้งทิ้งไว้เป็นชั่วโมง ตอนนั้น ผมบ่ายเบี่ยงไม่กล้ากินอยู่นาน แม้จะรู้ว่าเป็นอาหารพิเศษราคาแพงที่ศาสตราจารย์ชาวเกาหลีสรรหามาเลี้ยงต้อนรับการมาเกาหลีครั้งแรกของพวกเราหลายคน เพื่อนกัมพูชาบอกว่า "กินเถอะพี่ หอยแครงลวกในเมืองไทยน่ากลัวกว่านี้อีก" ผมจึงหาเหตุที่จะหลบเลี่ยงอีกต่อไปไม่ได้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมนั่งดูบันทึกรายการ The Voice Thailand (เดอะวอยซ์) เป็นประจำ แม้ว่าจะเห็นคล้อยตามคำนิยมของโค้ชทั้ง 4 อยู่บ่อยๆ แถมยังแอบติดตามความเห็นเปรี้ยวๆ ของนักเขียนบางคนที่ชอบเรียกตนเองสวนทางกับวัยเธอว่า "ป้า" ซึ่งหมดเงินกดโหวตมากมายให้นักร้องหนุ่มน้อยแนวลูกทุ่ง แต่ผมไม่ได้รับความบันเทิงจากเดอะวอยซ์เพียงจากเสียงเพลง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 ผมพยายามถามตัวเองว่า การจะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่นำโดย "เสธ.อ้าย" จะมาจากเหตุผลประการใดบ้าง แต่ผมก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจว่า เอาเข้าจริง คนที่เข้าร่วมชุมนุมกับเสธ.อ้ายจะมีเหตุผลหรือไม่ หรือหากมี พวกเขาจะใช้เหตุผลชุดไหนกันในการเข้าร่วมชุมนุม ยังไงก็ตาม อยากถามพวกคุณที่ไปชุมนุมว่า พวกคุณอยากให้ประเทศเป็นอย่างนี้จริงๆ หรือ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (20 พฤศจิกายน 2555) นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชิญไปบรรยายในงานสัมมนา "การเมืองเรื่องคนธรรมดา" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ขอตัดส่วนหนึ่งของบทบรรยายของผมที่ใช้ชื่อว่า "การเมืองวัฒนธรรมดา: ความไม่ธรรมดาของสามัญชน" มาเผยแพร่ในที่นี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2555 นิสิตรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเชิญไปร่วมกิจกรรมจุฬาวิชาการ โดยให้ไปวิจารณ์บทความนิสิตปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ 4 ชิ้น 1) ว่าด้วยเบื้องหลังทางการเมืองของการก่อตั้งองค์การอาเซียน 2) ว่าด้วยบทบาทและการต่อรองระหว่างประเทศในอาเซียน 3) ว่าด้วยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าของธุรกิจเอกชนไทยในคู่ค้าอาเซียน และ 4) ว่าด้วยนโยบายชนกลุ่มชาติพันธ์ุในพม่า ข้างล่างนี้คือบันทึกบทวิจารณ์