Skip to main content

นี่เป็นข้อเขียนภาคทฤษฎีของ "การเมืองของนักศึกษาปัจจุบัน" หากใครไม่ชอบอ่านทฤษฎีก็ขอร้องโปรดมองข้ามไปเถอะครับ

ใครก็ตามที่ดูเบาการเคลื่อนไหวเรื่องเครื่องแบบนักศึกษา ทรงผมนักเรียน คงไม่เข้าใจการเมืองในความหมายหลังมาร์กซิสม์ ที่ลงรายละเอียดไปถึงเรื่องเรือนร่าง พื้นที่ ถ้อยคำ กระทั่งการออกแบบผลิตภัณฑ์ นี่เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า การศึกษาทางสังคมศาสตร์เปลี่ยนไปรวดเร็วจนทันได้เห็นความล้าหลังของคนรุ่นก่อนหน้าและลูกศิษย์ลูกหา(บ)ของพวกเขาได้ทันตาในชั่วอายุคน

ในระยะที่พรรคคอมมิวนิสต์ที่บรรดาครูบาอาจารย์รุ่นเก่าก่อน บรรดา "คนเดือนตุลา" บางคนที่หยุดพัฒนาการทางความคิดของตนไปแล้วเคยสมาทาน กำลังส่อเค้าเป็นเผด็จการมากขึ้นนั้น (ตั้งแต่ทศวรรษ 1920 แล้ว) จนเสื่อมสลายลงไปในยุโรปตะวันออกโดยสิ้นเชิงในที่สุด (ในทศวรรษ 1980) กระแสวิชาการในสายที่ภายหลังเรียกกันว่า "มาร์กซิสม์สายตะวันตก" บ้างล่ะ "มาร์กซิสม์สายวัฒนธรรม" บ้างล่ะ ก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้น นักคิดคนสำคัญของสายนี้ได้แก่ Antonio Gramsci (1891-1937) 

กรัมชีเสนอแนวการวิเคราะห์ปัญหาการครอบงำทางวัฒนธรรม/อุดมการณ์ (hegemony) ซึ่งซ้อนทับกับการครอบงำด้วย "กำลังบังคับ" (coersion) ที่สำคัญคือ การครอบงำด้วยอำนาจทางวัฒนธรรมนี้ได้มาด้วย "การสมยอม" (consent) ของประชาชน และโอกาสที่ประชาชนจะต่อต้านไม่ยอมรับการสมยอมนั้น

งานของกรัมชีมีอิทธิพลต่อการพัฒนาการวิพากษ์วัฒนธรรมต่อเนื่องมาถึงสำนักแฟรงค์เฟิร์ท สำนักมาร์กซิสม์สายวัฒนธรรมอื่นๆ ที่โด่งดังได้แก่ Louis Althusser (1918-1990) ผู้วิเคราะห์กลไกทางอุดมการณ์ของรัฐ แนวคิดเหล่านี้สานต่อมาสู่การวิเคราะห์สัญญะว่าเป็นมายาคติ ผ่านงานของ Roland Barthes (1915-1980)  

ในทศวรรษ 1970 กลุ่มนักวิชาการมาร์กซิสม์สายตะวันตกที่พัฒนางานจนกระทั่งสร้างงานเชิงทฤษฎีที่เชื่อมโยงกับงานวิจัยได้อย่างดีคือนักวิชาการมาร์กซิสม์ในอังกฤษ มีสำนักวัฒนธรรมศึกษาที่เบอร์มิงแฮมเป็นแกนกลาง นักวิชาการคนสำคัญผู้เป็นคนชายขอบชาวเวลช์ที่พัฒนาแนวคิดของกรัมชี จนสร้างแนวการวิเคราะห์วัฒนธรรมของตนเอง คนหนึ่งชื่อ Raymond Williams (1921-1988) 

แนวคิดสำคัญของวิลเลี่ยมส์ได้แก่การวิเคราะห์โครงสร้างอารมณ์ (structures of feelings) วิลเลียมส์ชี้ว่า อุดมการณ์นั้นมีทั้งฝ่ายครอบงำและต่อต้าน และทั้งสองด้านของอุดมการณ์ไม่ได้แบ่งแยกได้ง่ายๆ ชัดเจนว่าเป็นฝ่ายใด ต่างหยิบยืม ฉกฉวยกันและกัน และต่างก็มีพลวัตเปลี่ยนแปลงสูง จนมีทั้งภาวะเป็นอารมณ์และภาวะที่เป็นตัวเป็นตนมีโครงสร้าง 

ในระยะเดียวกันนั้น นักคิดในฝรั่งเศสที่ได้รับอิทธิพลจากนิชเชอร์ (และผมว่าเวเบอร์ด้วยนะ) อย่าง Michel Foucault (1926-1984) ได้ปลิดการวิพากษ์วัฒนธรรม ให้พ้นจากคราบไคลของมาร์กซิสม์ แล้วเสนอแนวการวิเคราะห์ "โบราณคดี" และ "วงศาวิทยา" ของวาทกรรม เสนอให้เห็นถึงการที่อำนาจแผ่ซ่านผ่านปฏิบัติการของภาษา ความรู้ และการจัดการระเบียบวินัยในชีวิตประจำวัน การวิเคราะห์นี้ดึงเอารัฐและชนชั้นออกไป เพราะเห็นว่า ไม่ว่าจะคนชนชั้นใด หรือไม่ว่าใครจะสังกัดองค์กรทางการเมืองหรือไม่ ต่างก็มีส่วนใช้อำนาจครอบงำต่อกันได้ทั้งสิ้น 

แนวคิดเหล่านี้เสนออะไรใหม่ๆ ให้กับสังคมศาสตร์หลังทศวรรษ 1980 เป็นต้นมาบ้าง ประการแรก การวิพากษ์การเมืองรุ่นใหม่หยิบประเด็นทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิบัติการในชีวิตประจำวันต่างๆ มาเป็นประเด็นวิพากษ์อย่างสำคัญ การเมืองของแนววิเคราะห์เหล่านี้จึงไม่ได้จำเป็นต้องเป็นการเมืองมวลชน การเมืองของสถาบันทางการเมือง หรือการเมืองของชนชั้นอีกต่อไป 

ประการที่สอง การวิพากษ์แนวนี้วิเคราะห์ว่าการครอบงำของอำนาจมีอยู่ทุกหัวระแหงของปริมณฑลที่วัฒนธรรมทำงานอยู่ การวิเคราะห์แนวนี้ไม่ได้มองวัฒนธรรมเป็นสิ่งดีงามที่ตกทอดมา แต่มองว่าวัฒนธรรมเป็นอุดมการณ์ครอบงำ ที่ตัวมันเองก็มีพลวัต

ประการที่สาม อย่างไรก็ดี การครอบงำนี้มีขีดจำกัด มีการต่อต้าน มีการพลิกผัน มีการเสนอทางเลือกใหม่ๆ ในกระบวนการทางวัฒนธรรมนี้ตลอดเวลา

ข้อเสนอสำคัญอีกประการหนึ่งคือ นักวิพากษ์เหล่านี้ไม่เสนอแนวทางปฏิวัติสังคม ไม่เสนอทางเลือกที่เป็นระบบ เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดการครอบงำแบบใหม่ดังที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติรัสเซียอีกต่อไป บางคนเสนอว่าจะเป็นการปฏิวัติอันยาวนาน ค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในกระบวนการของการครอบงำและต่อต้านนี้ 

การวิพากษ์การเมืองของนักศึกษาสมัยนี้จึงใหม่ แตกต่างจากแนววิพากษ์ของคนรุ่นก่อนหน้า และไม่ใช่ว่าพวกเขาที่ต่อสู้ในการเมืองเรือนร่างนี้จะไม่สนใจการเมืองภาพใหญ่ แต่การวิพากษ์อำนาจบนเรือนร่างก็เป็นการเมืองแบบหนึ่งเหมือนกัน ใครที่ยังดูเบาการเมืองแบบนี้ก็ควรหาเวลาศึกษาการวิพากษ์การเมืองเพิ่มเติม 

ส่วนใครที่เป็นหัวๆ ในขบวนการนักศึกษารุ่นก่อน แล้วยังติดกับการเมืองแบบเก่าและคิดว่านักศึกษาปัจจุบันควรแสดงบทบาทเชิงวิพากษ์ด้วยการสนใจการเมืองของสาธารณชนนั้น ที่จริงแล้วควรภูมิใจที่นักศึกษาปัจจุบันก้าวหน้ากว่านักศึกษารุ่นคุณๆ ที่หยุดแสวงหาไปนานแล้วมากนัก เพราะพวกคุณเหล่านั้นได้กลายไปเป็นผู้สร้างอำนาจครอบงำสังคมปัจจุบันเสียเองแล้ว

 

 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
ภูมิทัศน์ทางปัญญาของนักศึกษาปัจจุบันเป็นอย่างไร น่าจะมีใครทำวิจัยเล็กๆ ดูกันบ้าง ผมเดาว่าส่วนใหญ่คงวนเวียนอยู่หน้า "กำแพง" สมุดพักตร์ (ขอยืมสำนวนที่เพื่อนนักวิชาการรุ่นพี่คนหนึ่งมักใช้บ่อยๆ)
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตลกที่เวลาผมชื่นชมผู้ใหญ่ในวงการบางคนในบางโอกาส มีคนว่าผมประจบผู้ใหญ่ ไม่รู้จักวิพากษ์ ก็ไม่เป็นไร แต่ส่วนตัวผมและกับคนในวงการเดียวกันคงจะรู้สึกว่า ที่พูดถึงผมแบบนั้นน่ะเพี้ยนแล้ว เพราะผมวิพากษ์ "ผู้ใหญ่" ในวงวิชาการเดียวกันมาเสียจนลูกศิษย์ลูกหาของท่านๆ เหล่านั้นสุดจะทน จนขณะนี้ ผมยังนึกไม่ออกว่ายังเหลือผู้ใหญ่ในวงการท่านใดบ้างที่ผมยังไม่วิพากษ์
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ระหว่างเดินทางไปมาด้วยรถไฟหลายเที่ยวในโอซากาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเกิดฉุกคิดถามเพื่อนชาวญี่ปุ่นขึ้นมาว่า วิธีที่คนญี่ปุ่นฆ่าตัวตายมากที่สุดคือวิธีไหน เพื่อนตอบทันทีโดยไม่ได้คิดว่า "ก็กระโดดให้รถไฟชนตายนี่แหละ" 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อครหาอีกข้อที่มีคือ การที่ผมชอบคิดคำศัพท์ ใช้คำศัพท์ทางวิชาการรุงรัง นี่เป็นข้อครหาที่นักสังคมศาสตร์ไทยโดนเป็นประจำ เพื่อนนักวิชาการคนอื่นๆ คิดอย่างไรผมไม่ทราบ แต่ผมมีทัศนะของผมเองคร่าวๆ ดังที่จะเสนอในที่นี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เสียงสะท้อนที่รบกวนใจผมอยู่บ้างในระยะนี้ คือคำวิจารณ์ที่เข้ามาสู่หูผมมากขึ้นๆ ทุกวันว่า ผมเป็นพวกบ้าทฤษฎี พวกบ้าศัพท์แสง พวกบ้าวิพากษ์ และพวกคลั่งตะวันตก ซึ่งผมก็น้อมรับด้วยความยินดี
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 พึงสำเหนียกว่า กษัตริย์ไม่ใช่พ่อ เป็นเพียง "สมมุติพ่อ" ที่สังคมไทยอุปโลกน์ขึ้นมา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
แต่ละคนคงมีตำนานส่วนตัวของตนเอง ที่สะสมความทรงจำซึ่งมักออกจะเดินจริงไปสักหน่อย แม้เมื่อมาพบกับสถานที่ บุคคล หรือแม้แต่รสสัมผัส ในที่นี้คืออาหาร ในตำนานเข้าจริงๆ อีกสักครั้ง แล้วจะรู้สึกว่าความอลังการของบุคคลและวัตถุในตำนานจะถดถอยค่าลงบ้าง ก็ยังไม่ถึงกับจะทำให้ภาพงดงสมในตำนานเลือนหายไปได้ง่ายๆ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 เดินทางมาสัมมนาที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ท่าศาลา นครศรีธรรมราช ในงาน "สัมมนาวิชาการ การศึกษาสู่อาเซียน: มิติด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์" มาเที่ยวนี้มาเป็นวิทยากรเสนอเรื่องที่เคยเสนอไปหลายเวทีแล้ว แต่เป็นความคิดที่ผมยังพัฒนาไม่เต็มอิ่มดี ยิ่งนำเสนอก็ยิ่งเห็นมุมมองใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ในวาระที่ประเทศไทยกำลังจะมีแผนแม่บทพัฒนาส้วมสาธารณะไทย ระยะที่ 3 (พ.ศ.2556-2559) (ตามข่าว) จึงขอนำวิดีโอ แสดงทัศนะของนักปรัชญาชื่อดังแห่งปลายศตวรรษที่ 20 ถึงต้นศตวรรษที่ 21 นาม สลาวอย ชีเชก (Slavoj Zizek) มาเพื่อให้แลกเปลี่ยนทำความเข้าใจกันว่า ทำไมส้วมจึงสำคัญนักหนา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้ (15 กพ.) ตามดูสามสาวดีว่าส์ คาเฟ่แสดงความเห็นกรณีปฏิทินนกแอร์ แล้วนึกถึงข้อวิจารณ์ที่คนอเมริกันบางคนมีต่อ Beyoncé ในการแสดงคั่นครึ่งเวลาซุปเปอร์โบว์ปีที่ผ่านมา คนวิจารณ์ Beyoncé ว่าทำตัวเป็นวัตถุทางเพศ แต่มีนักสังคมวิทยาอเมริกันเถียงว่า เธอใช้ความสามารถแสดงออก แม้จะอย่างยั่วยวน ก็ไม่ได้แปลว่าเธอกลายเป็นวัตถุทางเพศ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 วันวาเลนไทน์ในแบบที่เข้าใจกันทุกวันนี้ กลายเป็นทั้งวัฒนธรรมโลกและวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยคิดกับมันหรอก แต่เมื่อคุณคำ ผกาชวนไปพูดคุยเรื่ิงความรักในรายการดีว่าส์ คาเฟ่ เมื่อวันที่ 14 กพ. ผมก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล ก็มันน่าตื่นเต้นน้อยเสียเมื่อไหร่ ที่จะได้ออกรายการสดกับสามสาวแสนฉลาดและรวยเสน่ห์ แต่จากที่เขาชวนคุยเรื่องรักใคร่ ไปๆ มาๆ ก็กลับวกไปกลายเป็นเรื่องรัฐเร่่ืองไพร่เสียได้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 พอดีเมื่อสักครู่เพิ่งเห็นภาพภาพหนึ่ง เป็นภาพซอกตึกเมืองเล็กๆ ที่ไหนสักแห่ง มีคำบรรยายภาพว่า “Put down that map and get wonderfully lost.” “วางแผนที่นั่นเสียเถอะ แล้วหลงทางให้อัศจรรย์ใจ” ก็เลยคิดเรื่อยเปื่อยถึงความหมายของการหลงทาง