Skip to main content

นักวิชาการมิได้มีสถานภาพพิเศษแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ในสังคม เพียงแต่อาชีพนักวิชาการเป็นอาชีพที่ต้องพัฒนาความคิดความอ่านตลอดเวลา นักวิชาการจึงไม่ควรมีขอบเขตของความคิดความอ่าน พร้อมๆ กับที่ไม่ควรปิดกั้นขอบเขตของความคิดคนอื่น 

ไม่ว่าสังคมจะชอบหรือไม่ชอบความคิดเห็นของนักวิชาการก็ตาม แต่หากความคิดทางวิชาการวางอยู่บนหลักเหตุผลและข้อมูลที่หนักแน่นโดยไม่ละเมิดกฎหมายแล้ว นักวิชาการก็เพียงทำตามหน้าที่ของตนเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักวิชาการในสาขาวิชาไหน หากศึกษาสูงๆ ขึ้นไปจนถึงระดับอุดมศึกษา แล้วจบมาทำงานค้นคว้าวิจัย งานเขียน และงานสอนระดับอุดมศึกษา คุณก็จะต้องมีจริต มีวินัย และเข้าใจภาพสังคมวิชาการแบบเดียวกันนี้ทั้งสิ้น เว้นแต่ว่าคุณจะไม่ได้ผ่านระบบอุดมศึกษาแบบสากลตามที่โลกเขายอมรับกันในปัจจุบัน เว้นแต่ว่าคุณจะยกเลิกระบบมหาวิทยาลัยแบบสากลแล้วเรียนสอนกันแบบเดินตามครู ตามผู้ใหญ่ ก็จงย่ำเท้าอยู่กับที่กันไป 

ความจริงข้อนี้ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวกัน ผู้คนทั่วไปในสังคมที่มีใจเป็นธรรมเขาก็ย่อมจะเข้าใจกันดีอยู่แล้ว แต่ในเมื่อในขณะนี้เราอยู่ในสภาพที่บ้านเมืองมีความคิดแปลกประหลาด สิ่งที่ควรเข้าใจกันง่ายๆ ก็กลับไม่เข้าใจ ก็คงต้องอธิบายกันบ้าง ว่าทำไมการทำงานวิชาการจึงต้องมีเสรีภาพ ลองจินตนาการถึงนักวิทยาศาสตร์สักคนหนึ่ง หากเขาเรียนในระดับต้น เขาแค่เข้าใจหลักการของวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยการตั้งคำถามต่อสิ่งรอบตัว แล้วพยายามหาคำตอบจากการสังเกต หรือหากจำเป็นก็สร้างแบบการทดลองขึ้นมา เพื่อหาข้อสรุปทั่วไป หรือไม่ก็เพื่อพิสูจน์ว่าข้อเสนอที่เขามีอยู่ หรือข้อเสนอที่คนอื่นมีอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ หากแต่เพียงเท่านี้เขาผู้นี้ก็ยังจะไม่ได้เป็นนักวิชาการ เพราะเขายังไม่ได้ค้นพบอะไรใหม่ หากเขาไม่คิดค้นวิธีที่จะเข้าใจอะไรใหม่ๆ เขาแค่รู้อะไรเท่าที่คนอื่นรู้ เขายังไม่ได้รู้อะไรที่คนอื่นยังไม่รู้  

ในทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ความใหม่ของผลงานวิจัยอยู่ตั้งแต่การค้นหาคำถามใหม่ๆ การค้นหาแนวทางการตอบคำถามเดิมด้วยคำตอบใหม่ๆ การค้นพบแหล่งข้อมูลใหม่ๆ หรือการตั้งคำถามใหม่เพื่อให้ได้คำตอบใหม่ๆ ความแปลกใหม่อาจจะวางอยู่บนฐานของความรู้เดิม หรืออาจเป็นความรู้ใหม่ถอดด้ามโดยสิ้นเชิง ซึ่งมักไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก เช่น นักประวัติศาสตร์อาจค้นพบหลักฐานใหม่ เพื่อทำความเข้าใจยุคสมัยที่เคยเข้าใจกันมาแบบหนึ่ง หรือนักประวัติศาสตร์บางคนเสนอมุมมองใหม่ต่อหลักฐานประวัติสาสตร์ชุดเดิม อันเนื่องมาจากการได้มุมมองแบบใหม่เปลี่ยนไปจากเดิม หรือส่วนนักสังคมวิทยาซึ่งมักทำงานวิจัยแบบนักวิทยาศาสตร์ เขาอาจตั้งข้อสมมุติฐานจากการค้นคว้าทางเอกสารและจากงานวิจัยของคนอื่น แล้วต้องการทดสอบดูว่าแนวทฤษฎีที่ศึกษากันมานั้นสามารถเข้าใจปรากฏการณ์ใหม่ที่เขาพบได้หรือไม่ หรือหากจำเป็นก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนทฤษฎีที่มีอยู่ เพื่อที่จะได้สามารถอธิบายปรากฏการณ์ใหม่ๆ 

คงไม่ต้องอธิบายนะครับว่าทำไมสังคมวิชาการจึงต้องการความใหม่ แต่ในเมื่อมีบางคนที่ยังอาจไม่เข้าใจก็จะขออธิบายสั้นๆ ว่า ที่สังคมวิชาการต้องการความใหม่ ก็เพราะสังคมวิชาการสากลแบบที่ชาวโลกเขาเป็นกันนั้นให้คุณค่ากับการขยายขอบเขตความรู้ออกไปเรื่อยๆ ความก้าวหน้าทางวิชาการวัดกันที่การเสนอข้อเสนอใหม่ๆ ในการทำงานวิชาการในระดับสูงไม่ว่าจะเป็นการทำวิทยานิพนธ์ หรือการทำงานวิจัย นักวิจัยจะตั้งคำถามวิจัยว่าอะไรก็ตาม แต่คำถามสำคัญที่สุดที่นักวิจัยจะต้องตอบให้ได้คือ งานที่จะทำนี้ให้อะไรใหม่ในแวดวงวิชาการของตนเองบ้าง การให้อะไรใหม่อาจเป็นการต่อยอดจากความรู้เดิมขึ้นไปอีกหน่อยก็ยังดี หรืออาจเป็นการค้นพบอะไรใหม่โดยสิ้นเชิงได้ก็ยิ่งดี 

ยกตัวอย่างเช่น ในวิชาการสายมานุษยวิทยาที่ผมคุ้นเคย นักมานุษยวิทยาอาจค้นพบสังคมใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครศึกษามาก่อน เช่น อาจารย์ผมท่านหนึ่งที่เลือกศึกษาตามแนวทางนี้ ท่านเปิดแผนที่หาเลยว่ามีสังคมไหนบ้างที่ยังไม่มีใครศึกษา แล้วก็มีจริงๆ ในหมู่เกาะแปซิฟิก เหนือประเทศออสเตรเลีย แต่นั่นคือเมื่อสัก 30 ปีที่แล้ว ปัจจุบันแทบจะไม่เหลือสังคมใหม่ๆ ให้ค้นพบอีกแล้ว ข้อดีของการพบสังคมใหม่ๆ ก็คือการได้พบว่า มีวิถีชีวิตมนุษย์ที่แตกต่างออกไปจากที่เราคุ้นเคยอีกมาก เพื่อเป็นทางเลือกให้มนุษย์ที่เคยคิดว่าเราจะต้องอยู่แบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น อย่างอาจารย์ผมคนนี้เธอสนใจเรื่องความสัมพันธ์ของผู้หญิงกับผู้ชาย สังคมที่เธอพบเป็นสังคมที่ฐานะของผู้หญิงทัดเทียมกับผู้ชายมาก เป็นการพิสูจน์ว่าสังคมที่แตกต่างจากตะวันตกที่ผู้หญิงมีสิทธิไม่เท่าผู้ชายนั้นมีอยู่จริง พูดง่ายๆ คือ ผู้หญิงไม่ได้เกิดมาเป็นช้างเท้าหลัง 

แต่บางทีนักมานุษยวิทยาบางคนอาจค้นพบแง่มุมใหม่ๆ ในสังคมที่เคยศึกษากันมาแล้ว เช่น มีการพบด้านของวัฒนธรรมผู้หญิง ในสังคมที่เคยมีนักมานุษยวิทยาชื่อดังศึกษามาก่อนแล้ว แต่เขากลับศึกษาเฉพาะด้านที่เป็นสังคมของผู้ชาย จะด้วยความไม่ระวังของเขาเองจึงทึกทักเอาว่าข้อมูลจากผู้ชายก็บอกเล่าความเป็นไปของสังคมได้ครบถ้วนแล้ว หรืออาจจะด้วยการละเลยผู้หญิงก็แล้วแต่ ข้อค้นพบนี้ดีหลายอย่าง หนึ่งคือเราจะได้เข้าใจสังคมนั้นมากขึ้น นอกจากนั้น ยังทำให้เราต้องระวังว่าสังคมที่เราศึกษายังมีด้านอื่นๆ ที่เราละเลยหรือไม่ หรืออย่างน้อยเราต้องเผื่อใจไว้ด้วยว่าผลงานวิจัยของเราไม่ได้สามารถอธิบายอะไรได้ทุกอย่าง ยังคงมีบางด้านบางมุมที่เราอธิบายไม่ได้หลงเหลืออยู่ รอให้คนอื่นหรือเราเองกลับไปศึกษาเพิ่มเติม ที่จริงยังมีวิธีอื่นๆ อีกที่จะค้นหาความใหม่เพื่อขยายความรู้ แต่แค่นี้คงพอให้เห็นภาพได้บ้างว่าทำไมนักวิชาการจึงต้องการความใหม่และความใหม่สำคัญต่องานวิชาการอย่างไร

 

ที่จะต้องย้ำคือ ความแปลกใหม่ที่สังคมวิชาการต้องการนี้ได้มาด้วยเสรีภาพทางวิชาการ หากไม่มีเสรีภาพทางวิชาการ เช่น ห้ามไปศึกษาสังคมอื่นๆ ศึกษาเฉพาะสังคมที่เราเชื่อกันว่าดีงามเป็นอุดมคติ อย่างที่เชื่อกันว่าสุโขทัยเป็นต้นแบบการเมืองการปกครองไทยที่ดีก็พอแล้ว นักวิชาการก็คงจะย่ำเท้าไปยังที่เดิมๆ ไม่ได้ต้องไปหาสังคมที่ไหนใหม่ๆ เพราะแค่ศึกษาสังคมที่เชื่อกันว่าเป็นสังคมในอุดมคติที่ไหนในอดีตสักแห่ง ยึดเป็นสรณะ แล้วเลิกค้นหาความจริงนอกเหนือจากสังคมนั้น อย่างนี้ไม่เรียกว่างานวิชาการ เพราะเป็นการจำกัดเสรีภาพในการค้นหาความจริง นอกจากนั้น หากไม่มีเสรีภาพทางวิชาการนักวิชาการก็จะวิจารณ์กันไม่ได้ ไม่มีอิสระในการแสดงความคิดความอ่าน จะท้าทายครูอย่างเป็นเหตุเป็นผลด้วยข้อมูลหลักฐานก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่เป็นวิชาการ เพราะไม่สามารถตั้งคำถามใหม่ๆ หรือห้ามถามคำถามที่ครูไม่เคยถาม ที่ครูอาจตอบไม่ได้ อย่างนี้ก็จะไม่มีวันได้อะไรใหม่ๆ มีแต่การท่องบ่นตำราเดิมๆ ก็ไม่ต้องมีการทำงานวิชาการ เรียนตามครูก็พอแล้ว 

 

สังคมวิชาการจึงเป็นคนละเรื่องกันกับสังคมของการสั่งสอน สังคมวิชาการมีหลักการพื้นฐานสำหรับการสั่งสอน แต่ถึงที่สุดแล้ว สังคมวิชาการสอนให้คนคิดเอง สอนให้เป็นตัวของตัวเอง เพื่อจะได้สร้างสรรค์ ค้นหาความรู้ใหม่ๆ มาเพื่อสังคม ที่ใครจะมาสั่งให้นักวิชาการสอนว่านักการเมืองดีต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อะไรน่ะ แบบนั้นไม่ใช่เรียกการทำงานวิชาการ ท่านจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ แต่นักวิชาการมักเรียกการสอนแบบนั้นว่าการเทศนา สังคมวิชาการในปัจจุบันไม่ใช่สังคมเทศนา นักวิชาการที่ดีไม่ได้สอนให้ลูกศิษย์เชื่อ แต่สอนให้ลูกศิษย์คิดค้นอะไรใหม่ๆ ถึงที่สุดคิดอะไรที่เกินเลยไปจากครู จะล้มครูก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องล้มก็ได้ คิดต่อยอดจากครูก็ได้ หรือจะหาครูใหม่ไม่เดินตามครูเดิมก็ได้

ฉะนั้น การที่นักวิชาการหวงแหนเสรีภาพทางวิชาการก็เพราะเสรีภาพทางวิชาการคือหลักประกันอาชีพของพวกเขา หากนักวิชาการคนไหนไม่หวงแหนเสรีภาพทางวิชาการ เขาก็คงเป็นได้แค่ผู้ผลิตซ้ำความเชื่อเดิมๆ หรือไม่ก็กลายเป็นทาสของระบบ หรือไม่ก็คอยเกาะเกี่ยวผลประโยชน์จากการแอบอิงอยู่กับผู้เผด็จการ เพื่อกีดกันความเห็นทางวิชาการของคู่แข่งทางความคิดออกไป เพื่อให้มีแต่ความเห็นของตนเองเท่านั้นที่ถูกต้อง

คนประเภทนี้ไม่ควรถูกเรียกว่านักวิชาการ เพราะเป็นคนขี้ขลาดทางความคิด เกรงกลัวความเห็นที่แตกต่าง ไร้น้ำยาทางวิชาการ กระทั่งยอมเอาหน้าไปซุกใต้ปีกอำนาจเผด็จการทหาร เพื่อให้มีเพียงความเห็นของตนเท่านั้นที่จะได้แสดงออก

แต่ทว่า เสรีภาพทางวิชาการไม่ได้เป็นเพียงเสรีภาพในการประกอบการงานอาชีพของนักวิชาการ เสรีภาพทางวิชาการมีความหมายมากยิ่งกว่านั้น เสรีภาพทางวิชาการคือส่วนหนึ่งของเสรีภาพที่เป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย นั่นคือเสรีภาพในการแสดงความเห็น และที่ใหญ่กว่านั้นคือเสรีภาพในการแสดงออก หากพิจารณาแบบกลับด้านกันว่า ถ้านักวิชาการในสังคมเราไม่มีเสรีภาพทางวิชาการแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับสังคม

ประการแรก สังคมจะสูญเสียข้อเท็จจริง ความรู้วางอยู่บนหลักเหตุผลในการวิเคราะห์และข้อเท็จจริง ความรู้อาจไม่ได้มีมุมมองเดียว ความรู้ที่ถูกนำเสนออาจไม่รอบด้าน นักวิชาการที่มีใจเป็นธรรมย่อมรู้ดีว่า ความจริงเท่าที่ตนค้นพบนั้นไม่ได้สมบูรณ์หนักแน่นเสียจนหาข้อผิดหามุมมองที่แตกต่างออกไปหรือหาข้อมูลที่แตกต่างกันไปมาหักล้าง หรืออย่างน้อยเสริมเติมให้สมบูรณ์ขึ้นไม่ได้ เพียงแต่ความจริงเท่าที่ค้นพบมาจากข้อจำกัดที่นักวิชาการทุกคนมี ไม่ว่าจะศาสตราจารย์หรือนักวิจัยฝึกหัด ล้วนมีข้อจำกัด หากสังคมปิดกั้นเสรีภาพทางวิชาการ สังคมนั้นก็จะมีโอกาสได้รับรู้ข้อเท็จจริงอย่างจำกัดไปด้วย เมื่อความรู้จำกัด การพัฒนาสังคมจะไปได้ดีได้อย่างไร

ประการต่อมา สูญเสียแนวทางการวิเคราะห์ นอกจากข้อเท็จจริงแล้ว ความรู้ยังต้องอาศัยกรอบการวิเคราะห์ข้อมูล ไม่มีความรู้ชุดไหนที่สรุปมาจากข้อมูลล้วนๆ ความรู้ข้อสรุปทุกข้อมาจากมุมมองแบบใดแบบหนึ่งเสมอ หากปิดกั้นแนวการวิเคราะห์บางอย่าง ก็จะทำให้ขาดแนวทางที่เป็นทางเลือกแก่การวิเคราะห์ โลกเราสมัยหนึ่งนั้น ซีกโลก ตะวันตกŽ เคยปิดกั้นความรู้แบบมาร์กซิสม์ (Marxism) และความรู้แบบ ตะวันออกŽ มาก่อน การปิดกั้นแนวการวิเคราะห์ความรู้ทำให้เราสูญเสียมุมมองในการวิเคราะห์ เช่น ความรู้แบบมาร์กซิสม์ที่สอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสังคม ความขัดแย้งในสังคม และการเข้าใจความเชื่อมโยงด้านต่างๆ ของมนุษย์ทั้งความเชื่อ สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ขณะที่แนววิเคราะห์สังคมศาสตร์อื่นๆ มักเน้นเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งของมนุษย์ นี่ทำให้เราต้องรอจนถึงทศวรรษที่ 1970s มหาวิทยาลัยในซีกโลกตะวันตกจึงจะสามารถศึกษาแนวคิดนี้ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วแนวคิดนี้เกิดมาก่อนหน้าเกือบร้อยปีแล้ว

ประการที่สาม สูญเสียความเสมอภาค สังคมที่มีเสรีภาพทางวิชาการคือสังคมที่มีความเสมอภาค เพราะการทำงานวิชาการไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหมอะไร ไม่ว่าจะเป็นศาสตราจารย์ตำแหน่งสูงส่ง มีประสบการณ์ยาวนานแค่ไหน มีไอคิวสูงปรี๊ดขนาดไหน เขาก็ไม่ได้มีอำนาจทางวิชาการสูงไปกว่านักวิชาการคนอื่นๆ ไม่แม้จะสูงไปกว่านักเรียนของเขา เพราะในห้องเรียน ในบริบททางวิชาการ เขาจะต้องยอมรับฟังคนอื่น เขาจะต้องยอมรับข้อคิดเห็นของนักเรียนที่ให้เหตุผลหรือข้อมูลโต้เถียงเขา สังคมที่มีหลักเสรีภาพทางวิชาการจึงเป็นสังคมเปิด เปิดให้ความคิดเห็นไหลเวียนแลกเปลี่ยนกันได้ เปิดให้เกิดการถกเถียงกันอย่างเสมอหน้า ไม่ต้องยอมกันเพียงเพราะคู่ถกเถียงอาวุโสกว่า อาบน้ำร้อนมาก่อน หรือมีตำแหน่งใหญ่โตกว่า สังคมที่มีเสรีภาพทางวิชาการยอมให้ใครก็ได้เป็นนักวิชาการ หากงานศึกษาของเขาวางอยู่บนเหตุผลและข้อมูลที่หนักแน่นน่ารับฟัง สังคมแบบนี้ไม่กีดกันการเรียนรู้ ไม่กีดกันการเข้าถึงความรู้ด้วยตนเอง ให้ความเสมอภาคกันบนพื้นฐานของการทำงานวิชาการ

ประการที่สี่ สูญเสียการตรวจสอบผู้มีอำนาจ สังคมที่มีเสรีภาพทางวิชาการจะยอมรับการที่นักวิชาการวิจารณ์ผู้มีอำนาจได้ ถือว่าเป็นอีกกลไกหนึ่งของการตรวจสอบผู้นำ และอันที่จริง เนื่องจากใครก็เป็นนักวิชาการได้หากว่าเขาใช้หลักการทางวิชาการในการวิเคราะห์แล้วจึงวิจารณ์ ดังนั้น ในสังคมที่มีเสรีภาพทางวิชาการ ประชาชนคนไหนก็สามารถใช้หลักวิชาการวิจารณ์ผู้นำได้ สังคมที่ไร้เสรีภาพทางวิชาการจึงไม่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบผู้นำได้ ช่องทางที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการเมืองการปกครองจึงถูกปิดลงอย่างในประเทศไทยปัจจุบัน ยิ่งนักการเมืองถูกจำกัดบทบาท ยิ่งการเลือกตั้งอันเป็นช่องทางในการแสดงอำนาจตรวจสอบของประชาชนถูกปิดตาย ก็ยิ่งต้องเปิดให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่อย่างนั้นแล้วการใช้อำนาจก็จะยิ่งขาดการควบคุม ขาดการตรวจสอบ

ประการสุดท้าย ประชาชนในสังคมจะถูกผู้มีอำนาจละเมิดได้โดยง่ายมากยิ่งขึ้น สังคมที่ถูกผู้มีอำนาจปิดปากจะยิ่งเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจฉ้อฉล ไม่มีใครสามารถสะท้อนเสียงของผู้ที่ถูกละเมิดได้ ผู้คนที่ถูกอุ้มตัวสูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ไม่สามารถรายงานได้ ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ การใช้อำนาจคุกคามประชาชน ไล่ประชาชนออกจากพื้นที่ทำกินที่เขาอาศัยอยู่ยาวนาน ก็ไม่สามารถสะท้อนได้ ไม่สามารถวิเคราะห์ในที่สาธารณะได้


การมีเสรีภาพทางวิชาการจึงไม่ใช่เป็นเพียงหลักประกันของการประกอบอาชีพนักวิชาการ หากแต่การมีเสรีภาพทางวิชาการยังหมายถึงการให้หลักประกันว่า ใครก็สามารถเป็นนักวิชาการได้ และใครก็ตามก็มีเสรีภาพในการแสดงออกเสรีภาพในการให้ความเห็นได้ สังคมแบบนั้นจึงเป็นสังคมเปิด เป็นสังคมที่ประชาชนมีอำนาจแสดงออกได้อย่างเสรีในขอบเขตของกฎหมายที่ชอบธรรม เสรีภาพทางวิชาการเป็นเสรีภาพของทั้งสังคม เสรีภาพทางวิชาการจึงสำคัญต่อสังคมทั้งสังคม ไม่ใช่เพียงเพื่อให้นักวิชาการสามารถแสดงความเห็นต่อสาธารณะได้เท่านั้น

นักวิชาการมิได้มีสถานภาพพิเศษแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ในสังคม เพียงแต่ความรู้ ข้อเสนอ มุมมองของนักวิชาการที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมามักไม่ถูกใจผู้มีอำนาจ นักวิชาการไม่จำเป็นต้องท้าทายอำนาจ แต่ความรู้ทางวิชาการในตัวของมั่นเองนำมาซึ่งอำนาจอีกอย่างหนึ่งที่มีพลังท้าทายอำนาจจากแหล่งอื่น สังคมที่ให้เสรีภาพทางวิชาการจึงเป็นสังคมที่ผู้มีอำนาจเผด็จการไม่ชอบ เพราะสังคมแบบนั้นจะให้คุณค่ากับการขยายความรู้ ซึ่งต้องท้าทายอำนาจการครอบงำ ท้าทายการปิดกั้นความคิดอยู่เสมอไป

 

(ที่มา:มติชนรายวัน 13 ตุลาคม 2557)

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้เป็นวันระลึก "เหตุการณ์ 28 กุมภาพันธ์" 1947 หรือเรียกกันว่า "228 Incident" เหตุสังหารหมู่ประชาชนทั่วประเทศไต้หวัน โดยรัฐบาลที่เจียงไคเชกบังคับบัญชาในฐานะผู้นำก๊กมินตั๋งในจีนแผ่นดินใหญ่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มีเพื่อนขอให้ผมช่วยแนะนำร้านอาหารในฮานอยให้ แต่เห็นว่าเขาจะไปช่วงสั้นๆ ก็เลยแนะนำไปไม่กี่แห่ง ส่วนร้านเฝอ ขอแยกแนะนำต่างหาก เพราะร้านอร่อยๆ มีมากมาย เอาเฉพาะที่ผมคุ้นๆ แค่ 2-3 วันน่ะก็เสียเวลาตระเวนกินจนไม่ต้องไปกินอย่างอื่นแล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มีวันหนึ่ง อาจารย์อคินเดินคุยอยู่กับอาจารย์ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่ง ผมเดินตามทั้งสองท่านมาข้างหลังอย่างที่ทั้งสองท่านรู้ตัวดี ตอนนั้นผมกำลังเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา หรือไม่ก็เรียนจบกลับมาแล้วนี่แหละ อาจารย์อคินไม่รู้จักผม หรือรู้จักแต่ชื่อแต่ไม่เคยเห็นหน้า หรือไม่ก็จำหน้าไม่ได้ ผมแอบได้ยินอาจารย์อคินเปรยกับอาจารย์อีกท่านว่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คืนวาน วันฮาโลวีน นักศึกษาชวนผมไปพูดเรื่องผี ปกติผมไม่อยู่รังสิตจนมืดค่ำ แต่ก็มักใจอ่อนหากนักศึกษาชวนให้ร่วมเสวนา พวกเขาจัดงานกึ่งรื่นเริงกึ่งเรียนรู้ (น่าจะเรียกว่าเริงรู้ หรือรื่นเรียนก็คงได้) ในคืนวันผีฝรั่ง ในที่ซึ่งเหมาะแก่การจัดคือพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยา เพราะมีของเก่าเยอะ ก็ต้องมีผีแน่นอน ผมก็เลยคิดว่าน่าสนุกเหมือนกัน 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไม่ถึงกับต่อต้านกิจกรรมเชียร์อย่างรุนแรง เพราะคนสำคัญใกล้ตัวผมก็เป็นอดีตเชียร์ลีดเดอร์งานบอลประเพณีฯ ด้วยคนหนึ่ง และเพราะอย่างนั้น ผมจึงพบด้วยตนเองจากคนใกล้ตัวว่า คนคนหนึ่งกับช่วงชีวิตช่วงหนึ่งของมหาวิทยาลัยมันเป็นเพียงแค่ส่วนเสี้ยวหนึ่งของพัฒนาการของแต่ละคน แต่ก็ยังอยากบ่นเรื่องการเชียร์อยู่ดี เพราะความเข้มข้นของกิจกรรมในปัจจุบันแตกต่างอย่างยิ่งจากในสมัยของผม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมเพิ่งไปเก็บข้อมูลวิจัยเรื่องการรู้หนังสือแบบดั้งเดิมของ "ลาวโซ่ง" ในไทยที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ได้ราว 2 วัน ได้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับประเด็นที่สนใจ แต่ก็ได้อย่างอื่นมาด้วยไม่น้อยเช่นกัน เรื่องหนึ่งคือความรู้เกี่ยวกับปลา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันก่อนปฐมนิเทศนักศึกษาปริญญาโท-เอกของคณะ ในฐานะคนดูแลหลักสูตรบัณฑิตศึกษาทางมานุษยวิทยา ผมเตรียมหัวข้อมาพูดให้นักศึกษาฟัง 4 หัวข้อใหญ่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ชื่อโมเฮน-โจ-ดาโรแปลตามภาษาซินธ์ (Sindh) ว่า "เนิน (ดาโร) แห่ง (โจ) ความตาย (โมเฮน)" เหตุใดจึงมีชื่อนี้ ผมก็ยังไม่ได้สอบถามค้นคว้าจริงจัง แต่ชื่อนี้ติดหูผมมาตั้งแต่เรียนปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน และเพราะโมเฮนโจดาโรและเมืองคู่แฝดที่ห่างไกลออกไปถึง 600 กิโลเมตรชื่อ "ฮารัปปา" นี่แหละที่ทำให้ผมชอบวิชาโบราณคดีและทำให้อยากมาปากีสถาน 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ก่อนมา รู้อยู่แล้วว่าปากีสถานช่วงเดือนนี้คือเดือนที่ร้อนมาก และก็เพิ่งรู้ว่าเดือนนี้แหละที่ร้อนที่สุด แต่ที่ทำให้ “ใจชื้น” (แปลกนะ เรามีคำนี้ที่แปลว่าสบายใจ โดยเปรียบกับอากาศ แต่ที่ปากีสถาาน เขาคงไม่มีคำแบบนี้) คือ ความร้อนที่นี่เป็นร้อนแห้ง ไม่ชื้น และจึงน่าจะทนได้มากกว่า 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ครึ่งวันที่ผมมีประสบการณ์ตรงในกระบวนการยุติธรรมไทย บอกอะไรเกี่ยวกับสังคมไทยมากมาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมลองเอากรณีทุบรถกับทุบลิฟมาเปรียบเทียบกัน แล้วก็เห็นความแตกต่างกันมากหลายมุม ได้เห็นความเหลื่อมล้ำของสังคมที่สนใจกรณีทั้งสองอย่างไม่สมดุลกัน แต่สุดท้ายมันบอกอะไรเรื่องเดียวกัน คือความบกพร่องของสถาบันจัดการความขัดแย้งของประเทศไทย 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คนรุ่นใหม่ครับ...