Skip to main content

อันที่จริงผมก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนสนใจข่าวนี้กันมากนัก เรื่องอาจจะเป็นเพราะมีการใช้คำในการรายงานข่าวเบื้องต้นอย่างคลาดเคลื่อนไป ก็เลยทำให้เป็นที่น่าตกใจ แต่อีกนัยหนึ่งก็ชี้ให้เห็นปัญหาการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนกระทั่งเมื่อมีการแสดงการต่อต้านด้วยการปฏิเสธที่จะอยู่ใต้อำนาจกดทับนั้น คนก็จึงตอบรับกันอย่างกระหน่ำ อย่างไรก็ดี ผมก็อยากชี้แจงให้กระจ่างเพิ่มเติมว่า ทำไมผมจึงเลือกที่จะแสดงสถานภาพในการเดินทางมาต่างประเทศของผมในครั้งนี้เพิ่มเติมผ่านข้อเขียนนี้

 
อย่างที่ให้สัมภาษณ์ไปแล้วในมติชนออนไลน์ว่า หลังการรัฐประหารผมได้ปลีกตัวออกไปเวียดนามเกือบหนึ่งเดือน ซึ่งก็ไปอย่างเป็นทางการ เนื่องจากผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ให้นักศึกษาปริญญาเอกชาวเวียดนามที่สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง พอดีช่วงนั้นนักศึกษากำลังจะสอบหัวข้อวิทยานิพนธ์ ผมก็ถือโอกาสที่คณะรัฐประหารอาจคุกคามผม หลบไปปฏิบัติหน้าที่อาจารย์ที่ปรึกษา ด้วยการลาไปราชการอย่างถูกระเบียบ 
 
แต่ในระหว่างนั้น เพื่อนนักวิชาการแนะนำให้ผมสมัครทุนช่วยเหลือนักวิชาการที่ประสบภัยการเมือง ทุนนี้ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เขาเปิดให้สามารถไปอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลก ทุนที่ว่านี้อยู่ภายใต้องค์กรที่เรียกว่า Institute of International Education ในหน่วยย่อยของเขาชื่อ Scholar Rescue Fund (SRF) แต่ด้วยความที่ภัยคุกคามจะมาถึงผมเมื่อไหร่ก็ได้ ภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยวิสคอนซินจึงหาทุนในมหาวิทยาลัยเขาให้ผมก่อนในตำแหน่ง visiting assistant professor สอนหนังสือภาคการศึกษาละหนึ่งวิชาเป็นเวลาหนึ่งปี ระหว่างนั้นผมก็ดำเนินการเรื่องการสมัครทุน SRF ไปเรื่อยๆ ซึ่งที่จริงก็ตั้งแต่ที่อยู่เวียดนาม จนกระทั่งเดือนกันยายนที่ผ่านมาจึงรู้ผลว่าได้รับทุนนี้
 
การสมัครทุนนี้ ซึ่งผมก็อยากแนะนำให้เพื่อนนักวิชาการที่สนใจลองสมัครกันดู นอกจากจดหมายแนะนำตัวจากนักวิชาการ 4 คน ที่รู้จักผลงานทางวิชาการและความเสี่ยงทางการเมืองของผู้สมัคร รายละเอียดผลงานวิชาการและการบริการสังคม ตัวอย่างผลงานวิชาการที่ตีพิมพ์ และประวัติการทำงานและรายชื่อผลงานที่ตีพิมพ์แล้ว ต้องให้เหตุผลอธิบายว่าทำไมผู้สมัครจึงคิดว่าตนเองจะประสบภัยการเมือง แล้วภัยนั้นจะมีผลต่อการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างไร สำหรับผมเอง ผมอธิบายไปอย่างยืดยาว แต่จะขอเล่าโดยสรุปและไม่เอ่ยชื่อคนต่างๆ ดังนี้
 
1. SRF ถามว่า “ทำไมจึงคิดว่าตนเองจะถูกคุกคามจากคณะรัฐประหาร” ผมตอบว่าการเข้าร่วมกิจกรรมบริการสังคมก่อนหน้าการรัฐประหารของผมมีส่วนทำให้ผมถูกคุกคามจากคณะรัฐประหาร เพราะกิจกรรมเหล่านั้นเป็นกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนและกิจกรรมส่งเสริมประชาธิปไตย อันเป็นกิจกรรมที่คณะรัฐประหารนี้ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง ตั้งแต่การร่วมก่อตั้ง “กลุ่มสันติประชาธรรม” ปี 2551 “ศูนย์ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเมษา-พฤษภา 2553” (ศปช.) “คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112” ปี 2554 และ “สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย” (สปป.) 2557 เพื่อรณรงค์การเลือกตั้ง จนกระทั่งเกิดการรัฐประหาร ซึ่งผมก็ได้จัดกิจกรรมต่อต้านรัฐประหารในทันทีที่เกิดการรัฐประหาร 
 
2. SRF ถามว่า “ที่ว่าคณะรัฐประหารอาจตีความการร่วมกิจกรรมของคุณไปตามความเข้าใจของเขาเองหมายความว่าอย่างไร" ผมยกตัวอย่างกิจกรรมทางวิชาการและการส่งเสริมประชาธิปไตยของเพื่อนนักวิชาการบางคน ที่ถูกตีความว่าเป็นการปลุกระดม เป็นภัยต่อความมั่นคง หรือกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนของบางคน ถูกตีความว่าเป็นความเข้าใจผิด เป็นการได้ข้อมูลผิดพลาด เหล่านี้คือการตีความของคณะทหารเอง เพื่อใช้ข่มขู่คุกคามสิทธิเสรีภาพ ไม่ได้มาจากการสืบสาวข้อเท็จจริง หรือเป็นการเข้าใจข้อเท็จจริงแบบทหาร ซึ่งไม่เข้าใจหลักประชาธิปไตยและไม่เข้าใจหลักสิทธิมนุษยชนโดยสิ้นเชิง
 
3. SRF ถามว่า “ทำไมคุณจึงไม่ถูกเรียกตัว” ผมให้ข้อมูลว่า ในบรรดาคนที่ถูกเรียกตัว กว่า 60% เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นคนเสื้อแดง นักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตยก็ถูกมองอย่างนั้น ในจำนวนนั้น ราวเกือบ 24% เป็นนักวิชาการ นักกิจกรรมทางสังคม นักศึกษา นอกจากนั้น กรณีที่ถูกเพ่งเล็งอย่างมากคือกรณีที่เกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ซึ่งในการตีความของคณะรัฐประหาร ไม่สามารถรู้ได้แน่ว่าขอบเขตของการหมิ่นสถาบันฯ อยู่ที่ไหน ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่ผ่านกระบวนการยุติธรรมและหลุดจากคดี 112 แล้วจำนวนหนึ่ง ก็กลับถูกเรียกให้ไปรายงานตัวอีก นี่ยิ่งทำให้สรุปได้ว่า ใครที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้อยู่ในข่ายที่อาจถูกเรียกตัวเมื่อไหร่ก็ได้
 
แม้ว่าผมจะยังไม่ถูกเรียกตัวในขณะนั้น ก็ไม่ได้มีหลักประกันอะไรว่าผมจะไม่ถูกเรียกตัวในท้ายที่สุด ผมเล่าว่า ในขณะนี้มีนักวิชาการที่ร่วมกิจกรรมมากมายที่ไม่ได้ถูกเรียกตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความพวกเขาจะดำเนินชีวิตตามปกติสุขได้ เพราะต่างก็เผชิญกับการถูกข่มขู่ หรือไม่ก็ถูกกีดกันไม่ให้สามารถแสดงความคิดเห็นได้ มีการจับตามองใกล้ชิดไม่เว้นแม้ในห้องเรียนหรือการประชุมทางวิชาการต่างๆ ที่ในที่สุดแล้วก็อาจจะนำไปสู่การจับกุมและถูกบังคับให้หยุดแสดงออกไปในที่สุด ไม่ต่างอะไรกับคนที่ถูกเรียกตัวไป (ขณะนั้นกรณีจับกุมนักวิชาการจากที่ประชุม จากการเคลื่อนไหวภาคประชาชน ยังไม่เกิดขึ้น)
 
4. SRF ถามว่า “ทำไมไม่รอจนกว่าจะถูกเรียกตัวแล้วค่อยสมัครขอความช่วยเหลือ” ผมตอบว่าหากรอจนถึงขนาดนั้นก็จะไม่มีโอกาสออกมานอกประเทศ จะถูกกักกันตัวไว้ในประเทศ หลายคนที่เมื่อถูกเรียกตัวไปแล้ว ก็ไม่สามารถกลับมามีชีวิตตามปกติได้ดังเดิม บางคนยังถูกคุกคามอย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการต่างๆ ที่ผมเล่าให้เขารับรู้ไปแต่ไม่สามารถเล่าในที่นี้ได้เนื่องจากเจ้าตัวอาจจะเดือดร้อน บางคนที่ไม่ได้ถูกเรียกตัวอย่างเป็นทางการแต่กลับ “ถูกเชิญ” ไปข่มขู่คุกคามอย่างรุนแรงจนทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้ และสำหรับคนที่ถูกเรียกตัวไป การเดินทางไปต่างประเทศก็จะถูกจำกัด ต้องขออนุญาตจากคณะรัฐประหาร นอกจากนั้นยังมีประกาศในหน่วยงานของรัฐ ไม่ให้ติดต่อร่วมงานกับบุคคลที่ถูกเรียกรายงานตัว นับเป็นมาตรการทางสังคมที่กดดันคนเหล่านี้อีก
 
ผมบอกไปด้วยว่า ผมไม่คิดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นภายใน 1-2 ปี แต่ผมคิดว่า การได้ออกมาทำงานอย่างเป็นอิสระสักระยะหนึ่ง จะดีกว่าต้องทำงานอยู่ในสภาพที่ไร้เสรีภาพและมีโอกาสถูกคุกคามได้เสมอในขณะนี้
 
หลังจากเขาประกาศว่าผมได้รับทุนสักพัก ทาง SRF ก็ติดต่อมาว่า วารสาร The Chronicle of Higher Education ของสหรัฐอเมริกาสนใจจะสัมภาษณ์ผม SRF ถามว่าผมสมัครใจให้สัมภาษณ์ไหม และยินดีทำในนามของผู้ได้รับทุนนี้ไหม เขาย้ำว่าผมจะไม่ทำก็ได้ แต่ผมยินดีทำ ผมบอกเขาไปว่า ที่ผมให้สัมภาษณ์ก็ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
 
1. ผมอยากให้โลกรู้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการคุกคามสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม อันเนื่องมาจากการใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉล อันเนื่องมาจากการไม่เคารพกฎหมายของคณะรัฐประหารและพรรคพวกที่เข้าร่วม ผมอยากใช้ตนเองเป็นตัวอย่างของผู้คนอีกจำนวนมากที่ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งๆ ที่ประเทศไทยยังมีคนนั่งลอยหน้ากินเงินเดือนภาษีประชาชนในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอยู่อย่างไม่รู้จักละอายแก่ใจ
 
2. ผมอยากให้ academic activists หรือนักวิชาการผู้ทำกิจกรรมบริการสังคมทั่วโลกรับรู้ว่า กิจกรรมบริการสังคม ไม่ว่าจะที่ใดในโลก ยังคงได้รับการเหลียวแลจากสังคมนานาชาติอยู่ พวกเขาไม่ได้โดดเดี่ยว พวกเขายังมีคนให้การสนับสนุน พวกเขายังมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยเหลือให้เดินหน้าทำงานทางวิชาการและงานกิจกรรมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง
 
3. ข้อที่ผมไม่ได้บอก SRF ก็คือว่า ผมต้องการให้คนที่ประเทศไทยรับรู้ความร้ายแรงของการรัฐประหารในประเทศไทย ว่าอยู่ในระดับเดียวกับความร้ายแรงในประเทศที่มีความรุนรงมากในขณะนี้ หากพิจารณาสภาพแวดล้อมของการสัมภาษณ์และการให้ความช่วยเหลือของ SRF นักวิชาการที่ได้รับความช่วยเหลือส่วนใหญ่มาจากประเทศที่ดวงไฟประชาธิปไตยริบหรี่ ล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่สิทธิเสรีภาพถูกคุกคามอย่างร้ายแรง อย่างซีเรีย อียิปต์ อิรัก ฯลฯ ผมอยากให้โลกและรัฐบาลไทยเองรับรู้ว่าสถานะด้านสิทธิเสรีภาพของประเทศไทยขณะนี้ตกต่ำลงถึงขนาดนั้น
 
บทสัมภาณษ์ที่ได้เผยแพร่ไปแล้ว และที่จะตามมาในหนังสือพิมพ์ วิทยุ และสื่อออนไลน์ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและในประเทศไทย อาจก่อปัญหากับผมมากยิ่งขึ้น แต่ผมก็ยินดีที่จะบอกเล่าความจริงที่เกิดขึ้นในมุมหนึ่งของโลกให้สังคมโลกรู้ เพื่อหวังว่าจะช่วยให้สถานการณ์ในประเทศไทยดีขึ้นในทางที่ไม่ใช่แค่สงบร่มเย็นสามัคคี แต่ต้องให้ได้กลับไปเป็นสังคมที่ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเสมอหน้ากันด้วย

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เกียวโตไม่ใช่เมืองที่ผมไม่เคยมา ผมมาเกียวโตน่าจะสัก 5 ครั้งแล้วได้ มาแต่ละครั้งอย่างน้อย ๆ ก็ 7 วัน บางครั้ง 10 วันบ้าง หรือ 14 วัน ครั้งก่อน ๆ นั้นมาสัมมนา 2 วันบ้าง 5 วันบ้าง หรือแค่ 3 ชั่วโมงบ้าง แต่คราวนี้ได้ทุนมาเขียนงานวิจัย จึงเรียกได้ว่ามา "อยู่" เกียวโตจริง ๆ สักที แม้จะช่วงสั้นเพียง 6 เดือนก็ตาม เมื่ออยู่มาได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็อยากบันทึกอะไรไว้สักเล็กน้อยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่นี่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นักวิชาการญี่ปุ่นที่ผมรู้จักมากสัก 10 กว่าปีมีจำนวนมากพอสมควร ผมแบ่งเป็นสองประเภทคือ พวกที่จบเอกจากอังกฤษ สหรัฐอเมริกา กับพวกที่จบเอกในญี่ปุ่น แต่ทั้งสองพวก ส่วนใหญ่เป็นทั้งนักดื่มและ foody คือเป็นนักสรรหาของกิน หนึ่งในนั้นมีนักมานุษยวิทยาช่างกินที่ผมรู้จักที่มหาวิทยาลัยเกียวโตคนหนึ่ง ค่อนข้างจะรุ่นใหญ่เป็นศาสตราจารย์แล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สองวันก่อนเห็นสถาบันวิจัยชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทยนำการเปรียบเทียบสัดส่วนทุนวิจัยอย่างหยาบ ๆ ของหน่วยงานด้านการวิจัยที่ทรงอำนาจแต่ไม่แน่ใจว่าทรงความรู้กี่มากน้อยของไทย มาเผยแพร่ด้วยข้อสรุปว่า ประเทศกำลังพัฒนาเขาไม่ทุ่มเทลงทุนกับการวิจัยพื้นฐานมากกว่าการวิจัยประยุกต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรส่งเสริมการทำวิจัยแบบที่สามารถนำไปต่อยอดทำเงินได้ให้มากที่สุด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ต้นปีนี้ (ปี 2559) ผมมาอ่านเขียนงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ผมมาถึงเมื่อวานนี้เอง (4 มกราคม 2559) เอาไว้จะเล่าให้ฟังว่ามาทำอะไร มาได้อย่างไร ทำไมต้องมาถึงที่นี่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นับวัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะยิ่งตกต่ำและน่าอับอายลงไปทุกที ล่าสุดจากถ้อยแถลงของฝ่ายการนักศึกษาฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันถือได้ว่าเป็นการแสดงท่าทีของคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่อการแสดงออกของนักศึกษาในกรณี "คณะส่องทุจริตราชภักดิ์" ที่มีทั้งนักศึกษาปัจจุบันและศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รวมอยู่ด้วย ผมมีทัศนะต่อถ้อยแถลงดังกล่าวดังนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สำหรับการศึกษาระดับสูง ผมคิดว่านักศึกษาควรจะต้องใช้ความคิดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเป็นระบบ เป็นชุดความคิดที่ใหญ่กว่าเพียงการตอบคำถามบางคำถาม สิ่งที่ควรสอนมากกว่าเนื้อหาความรู้ที่มีอยู่แล้วคือสอนให้รู้จักประกอบสร้างความรู้ให้เป็นงานเขียนของตนเอง ยิ่งในระดับปริญญาโทและเอกทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ถึงที่สุดแล้วนักศึกษาจะต้องเขียนบทความวิชาการหรือตัวเล่มวิทยานิพนธ์ หากไม่เร่งฝึกเขียนอย่างจริงจัง ก็คงไม่มีทางเขียนงานใหญ่ ๆ ให้สำเร็จด้วยตนเองได้ในที่สุด 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไม่เห็นด้วยกับการเซ็นเซอร์ ไม่เห็นด้วยกับการห้ามฉายหนังแน่ๆ แต่อยากทำความเข้าใจว่า ตกลงพระในหนังไทยคือใคร แล้วทำไมรัฐ ซึ่งในปัจจุบันยิ่งอยู่ในภาวะกะลาภิวัตน์ อนุรักษนิยมสุดขั้ว จึงต้องห้ามฉายหนังเรื่องนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ใน บทสัมภาษณ์นี้ (ดูคลิปในยูทูป) มาร์แชล ซาห์ลินส์ (Marshall Sahlins) นักมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกให้สัมภาษณ์ต่อหน้าที่ประชุม ซาห์สินส์เป็นนักมานุษยวิทยาอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งที่แวดวงมานุษยวิทยายังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน เขาเชี่ยวชาญสังคมในหมู่เกาะแปซิฟิค ทั้งเมลานีเชียนและโพลีนีเชียน ในบทสัมภาษณ์นี้ เขาอายุ 83 ปีแล้ว (ปีนี้เขาอายุ 84 ปี) แต่เขาก็ยังตอบคำถามได้อย่างแคล่วคล่อง ฉะฉาน และมีความจำดีเยี่ยม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การรับน้องจัดได้ว่าเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง เป็นพิธีกรรมที่วางอยู่บนอุดมการณ์และผลิตซ้ำคุณค่าบางอย่าง เนื่องจากสังคมหนึ่งไม่ได้จำเป็นต้องมีระบบคุณค่าเพียงแบบเดียว สังคมสมัยใหม่มีวัฒนธรรมหลายๆ อย่างที่ทั้งเปลี่ยนแปลงไปและขัดแย้งแตกต่างกัน ดังนั้นคนในสังคมจึงไม่จำเป็นต้องยอมรับการรับน้องเหมือนกันหมด หากจะประเมินค่าการรับน้อง ก็ต้องถามว่า คุณค่าหรืออุดมการณ์ที่การรับน้องส่งเสริมนั้นเหมาะสมกับระบบการศึกษาแบบไหนกัน เหมาะสมกับสังคมแบบไหนกัน เราเองอยากอยู่ในสังคมแบบไหน แล้วการรับน้องสอดคล้องกับสังคมแบบที่เราอยากอยู่นั้นหรือไม่ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การได้อ่านงานทั้งสามชิ้นในโครงการวิจัยเรื่อง “ภูมิทัศน์ทางปัญญาแห่งประชาคมอาเซียน” ปัญญาชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (และที่จริงได้อ่านอีกชิ้นหนึ่งของโครงการนี้คืองานศึกษาปัญญาชนของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามคนสำคัญอีกคนหนึ่ง คือเจื่อง จิง โดยอ.มรกตวงศ์ ภูมิพลับ) ก็ทำให้เข้าใจและมีประเด็นที่ชวนให้คิดเกี่ยวกับเรื่องปัญญาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ผมคงจะไม่วิจารณ์บทความทั้งสามชิ้นนี้ในรายละเอียด แต่อยากจะตั้งคำถามเพิ่มเติมบางอย่าง และอยากจะลองคิดต่อในบริบทที่กว้างออกไปซึ่งอาจจะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์กับผู้วิจัยและผู้ฟังก็สุดแล้วแต่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เชอร์รี ออร์ตเนอร์ นักมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญเนปาล แต่ภายหลังกลับมาศึกษาสังคมตนเอง พบว่าชนชั้นกลางอเมริกันมักมองลูกหลานตนเองดุจเดียวกับที่พวกเขามองชนชั้นแรงงาน คือมองว่าลูกหลานตนเองขี้เกียจ ไม่รู้จักรับผิดชอบตนเอง แล้วพวกเขาก็กังวลว่าหากลูกหลานตนเองไม่ปรับตัวให้เหมือนพ่อแม่แล้ว เมื่อเติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นผู้ใช้แรงงานเข้าสักวันหนึ่ง (ดู Sherry Ortner "Reading America: Preliminary Notes on Class and Culture" (1991)) 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วานนี้ (23 กค. 58) ผมไปนั่งฟัง "ห้องเรียนสาธารณะเพื่อประชาธิปไตยใหม่ครั้งที่ 2 : การมีส่วนร่วมและสิทธิชุมชน" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตลอดทั้งวันด้วยความกระตืนรือล้น นี่นับเป็นงานเดียวที่ถึงเลือดถึงเนื้อมากที่สุดในบรรดางานสัมมนา 4-5 ครั้งที่ผมเข้าร่วมเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา เพราะนี่ไม่ใช่เพียงการเล่นกายกรรมทางปัญญาหรือการเพิ่มพูนความรู้เพียงในรั้วมหาวิทยาลัย แต่เป็นการรับรู้ถึงปัญหาผู้เดือดร้อนจากปากของพวกเขาเองอย่างตรงไปตรงมา