Skip to main content

อันที่จริงผมก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนสนใจข่าวนี้กันมากนัก เรื่องอาจจะเป็นเพราะมีการใช้คำในการรายงานข่าวเบื้องต้นอย่างคลาดเคลื่อนไป ก็เลยทำให้เป็นที่น่าตกใจ แต่อีกนัยหนึ่งก็ชี้ให้เห็นปัญหาการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนกระทั่งเมื่อมีการแสดงการต่อต้านด้วยการปฏิเสธที่จะอยู่ใต้อำนาจกดทับนั้น คนก็จึงตอบรับกันอย่างกระหน่ำ อย่างไรก็ดี ผมก็อยากชี้แจงให้กระจ่างเพิ่มเติมว่า ทำไมผมจึงเลือกที่จะแสดงสถานภาพในการเดินทางมาต่างประเทศของผมในครั้งนี้เพิ่มเติมผ่านข้อเขียนนี้

 
อย่างที่ให้สัมภาษณ์ไปแล้วในมติชนออนไลน์ว่า หลังการรัฐประหารผมได้ปลีกตัวออกไปเวียดนามเกือบหนึ่งเดือน ซึ่งก็ไปอย่างเป็นทางการ เนื่องจากผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ให้นักศึกษาปริญญาเอกชาวเวียดนามที่สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง พอดีช่วงนั้นนักศึกษากำลังจะสอบหัวข้อวิทยานิพนธ์ ผมก็ถือโอกาสที่คณะรัฐประหารอาจคุกคามผม หลบไปปฏิบัติหน้าที่อาจารย์ที่ปรึกษา ด้วยการลาไปราชการอย่างถูกระเบียบ 
 
แต่ในระหว่างนั้น เพื่อนนักวิชาการแนะนำให้ผมสมัครทุนช่วยเหลือนักวิชาการที่ประสบภัยการเมือง ทุนนี้ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เขาเปิดให้สามารถไปอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลก ทุนที่ว่านี้อยู่ภายใต้องค์กรที่เรียกว่า Institute of International Education ในหน่วยย่อยของเขาชื่อ Scholar Rescue Fund (SRF) แต่ด้วยความที่ภัยคุกคามจะมาถึงผมเมื่อไหร่ก็ได้ ภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยวิสคอนซินจึงหาทุนในมหาวิทยาลัยเขาให้ผมก่อนในตำแหน่ง visiting assistant professor สอนหนังสือภาคการศึกษาละหนึ่งวิชาเป็นเวลาหนึ่งปี ระหว่างนั้นผมก็ดำเนินการเรื่องการสมัครทุน SRF ไปเรื่อยๆ ซึ่งที่จริงก็ตั้งแต่ที่อยู่เวียดนาม จนกระทั่งเดือนกันยายนที่ผ่านมาจึงรู้ผลว่าได้รับทุนนี้
 
การสมัครทุนนี้ ซึ่งผมก็อยากแนะนำให้เพื่อนนักวิชาการที่สนใจลองสมัครกันดู นอกจากจดหมายแนะนำตัวจากนักวิชาการ 4 คน ที่รู้จักผลงานทางวิชาการและความเสี่ยงทางการเมืองของผู้สมัคร รายละเอียดผลงานวิชาการและการบริการสังคม ตัวอย่างผลงานวิชาการที่ตีพิมพ์ และประวัติการทำงานและรายชื่อผลงานที่ตีพิมพ์แล้ว ต้องให้เหตุผลอธิบายว่าทำไมผู้สมัครจึงคิดว่าตนเองจะประสบภัยการเมือง แล้วภัยนั้นจะมีผลต่อการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างไร สำหรับผมเอง ผมอธิบายไปอย่างยืดยาว แต่จะขอเล่าโดยสรุปและไม่เอ่ยชื่อคนต่างๆ ดังนี้
 
1. SRF ถามว่า “ทำไมจึงคิดว่าตนเองจะถูกคุกคามจากคณะรัฐประหาร” ผมตอบว่าการเข้าร่วมกิจกรรมบริการสังคมก่อนหน้าการรัฐประหารของผมมีส่วนทำให้ผมถูกคุกคามจากคณะรัฐประหาร เพราะกิจกรรมเหล่านั้นเป็นกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนและกิจกรรมส่งเสริมประชาธิปไตย อันเป็นกิจกรรมที่คณะรัฐประหารนี้ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง ตั้งแต่การร่วมก่อตั้ง “กลุ่มสันติประชาธรรม” ปี 2551 “ศูนย์ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเมษา-พฤษภา 2553” (ศปช.) “คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112” ปี 2554 และ “สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย” (สปป.) 2557 เพื่อรณรงค์การเลือกตั้ง จนกระทั่งเกิดการรัฐประหาร ซึ่งผมก็ได้จัดกิจกรรมต่อต้านรัฐประหารในทันทีที่เกิดการรัฐประหาร 
 
2. SRF ถามว่า “ที่ว่าคณะรัฐประหารอาจตีความการร่วมกิจกรรมของคุณไปตามความเข้าใจของเขาเองหมายความว่าอย่างไร" ผมยกตัวอย่างกิจกรรมทางวิชาการและการส่งเสริมประชาธิปไตยของเพื่อนนักวิชาการบางคน ที่ถูกตีความว่าเป็นการปลุกระดม เป็นภัยต่อความมั่นคง หรือกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนของบางคน ถูกตีความว่าเป็นความเข้าใจผิด เป็นการได้ข้อมูลผิดพลาด เหล่านี้คือการตีความของคณะทหารเอง เพื่อใช้ข่มขู่คุกคามสิทธิเสรีภาพ ไม่ได้มาจากการสืบสาวข้อเท็จจริง หรือเป็นการเข้าใจข้อเท็จจริงแบบทหาร ซึ่งไม่เข้าใจหลักประชาธิปไตยและไม่เข้าใจหลักสิทธิมนุษยชนโดยสิ้นเชิง
 
3. SRF ถามว่า “ทำไมคุณจึงไม่ถูกเรียกตัว” ผมให้ข้อมูลว่า ในบรรดาคนที่ถูกเรียกตัว กว่า 60% เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นคนเสื้อแดง นักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตยก็ถูกมองอย่างนั้น ในจำนวนนั้น ราวเกือบ 24% เป็นนักวิชาการ นักกิจกรรมทางสังคม นักศึกษา นอกจากนั้น กรณีที่ถูกเพ่งเล็งอย่างมากคือกรณีที่เกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ซึ่งในการตีความของคณะรัฐประหาร ไม่สามารถรู้ได้แน่ว่าขอบเขตของการหมิ่นสถาบันฯ อยู่ที่ไหน ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่ผ่านกระบวนการยุติธรรมและหลุดจากคดี 112 แล้วจำนวนหนึ่ง ก็กลับถูกเรียกให้ไปรายงานตัวอีก นี่ยิ่งทำให้สรุปได้ว่า ใครที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้อยู่ในข่ายที่อาจถูกเรียกตัวเมื่อไหร่ก็ได้
 
แม้ว่าผมจะยังไม่ถูกเรียกตัวในขณะนั้น ก็ไม่ได้มีหลักประกันอะไรว่าผมจะไม่ถูกเรียกตัวในท้ายที่สุด ผมเล่าว่า ในขณะนี้มีนักวิชาการที่ร่วมกิจกรรมมากมายที่ไม่ได้ถูกเรียกตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความพวกเขาจะดำเนินชีวิตตามปกติสุขได้ เพราะต่างก็เผชิญกับการถูกข่มขู่ หรือไม่ก็ถูกกีดกันไม่ให้สามารถแสดงความคิดเห็นได้ มีการจับตามองใกล้ชิดไม่เว้นแม้ในห้องเรียนหรือการประชุมทางวิชาการต่างๆ ที่ในที่สุดแล้วก็อาจจะนำไปสู่การจับกุมและถูกบังคับให้หยุดแสดงออกไปในที่สุด ไม่ต่างอะไรกับคนที่ถูกเรียกตัวไป (ขณะนั้นกรณีจับกุมนักวิชาการจากที่ประชุม จากการเคลื่อนไหวภาคประชาชน ยังไม่เกิดขึ้น)
 
4. SRF ถามว่า “ทำไมไม่รอจนกว่าจะถูกเรียกตัวแล้วค่อยสมัครขอความช่วยเหลือ” ผมตอบว่าหากรอจนถึงขนาดนั้นก็จะไม่มีโอกาสออกมานอกประเทศ จะถูกกักกันตัวไว้ในประเทศ หลายคนที่เมื่อถูกเรียกตัวไปแล้ว ก็ไม่สามารถกลับมามีชีวิตตามปกติได้ดังเดิม บางคนยังถูกคุกคามอย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการต่างๆ ที่ผมเล่าให้เขารับรู้ไปแต่ไม่สามารถเล่าในที่นี้ได้เนื่องจากเจ้าตัวอาจจะเดือดร้อน บางคนที่ไม่ได้ถูกเรียกตัวอย่างเป็นทางการแต่กลับ “ถูกเชิญ” ไปข่มขู่คุกคามอย่างรุนแรงจนทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้ และสำหรับคนที่ถูกเรียกตัวไป การเดินทางไปต่างประเทศก็จะถูกจำกัด ต้องขออนุญาตจากคณะรัฐประหาร นอกจากนั้นยังมีประกาศในหน่วยงานของรัฐ ไม่ให้ติดต่อร่วมงานกับบุคคลที่ถูกเรียกรายงานตัว นับเป็นมาตรการทางสังคมที่กดดันคนเหล่านี้อีก
 
ผมบอกไปด้วยว่า ผมไม่คิดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นภายใน 1-2 ปี แต่ผมคิดว่า การได้ออกมาทำงานอย่างเป็นอิสระสักระยะหนึ่ง จะดีกว่าต้องทำงานอยู่ในสภาพที่ไร้เสรีภาพและมีโอกาสถูกคุกคามได้เสมอในขณะนี้
 
หลังจากเขาประกาศว่าผมได้รับทุนสักพัก ทาง SRF ก็ติดต่อมาว่า วารสาร The Chronicle of Higher Education ของสหรัฐอเมริกาสนใจจะสัมภาษณ์ผม SRF ถามว่าผมสมัครใจให้สัมภาษณ์ไหม และยินดีทำในนามของผู้ได้รับทุนนี้ไหม เขาย้ำว่าผมจะไม่ทำก็ได้ แต่ผมยินดีทำ ผมบอกเขาไปว่า ที่ผมให้สัมภาษณ์ก็ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
 
1. ผมอยากให้โลกรู้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการคุกคามสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม อันเนื่องมาจากการใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉล อันเนื่องมาจากการไม่เคารพกฎหมายของคณะรัฐประหารและพรรคพวกที่เข้าร่วม ผมอยากใช้ตนเองเป็นตัวอย่างของผู้คนอีกจำนวนมากที่ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งๆ ที่ประเทศไทยยังมีคนนั่งลอยหน้ากินเงินเดือนภาษีประชาชนในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอยู่อย่างไม่รู้จักละอายแก่ใจ
 
2. ผมอยากให้ academic activists หรือนักวิชาการผู้ทำกิจกรรมบริการสังคมทั่วโลกรับรู้ว่า กิจกรรมบริการสังคม ไม่ว่าจะที่ใดในโลก ยังคงได้รับการเหลียวแลจากสังคมนานาชาติอยู่ พวกเขาไม่ได้โดดเดี่ยว พวกเขายังมีคนให้การสนับสนุน พวกเขายังมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยเหลือให้เดินหน้าทำงานทางวิชาการและงานกิจกรรมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง
 
3. ข้อที่ผมไม่ได้บอก SRF ก็คือว่า ผมต้องการให้คนที่ประเทศไทยรับรู้ความร้ายแรงของการรัฐประหารในประเทศไทย ว่าอยู่ในระดับเดียวกับความร้ายแรงในประเทศที่มีความรุนรงมากในขณะนี้ หากพิจารณาสภาพแวดล้อมของการสัมภาษณ์และการให้ความช่วยเหลือของ SRF นักวิชาการที่ได้รับความช่วยเหลือส่วนใหญ่มาจากประเทศที่ดวงไฟประชาธิปไตยริบหรี่ ล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่สิทธิเสรีภาพถูกคุกคามอย่างร้ายแรง อย่างซีเรีย อียิปต์ อิรัก ฯลฯ ผมอยากให้โลกและรัฐบาลไทยเองรับรู้ว่าสถานะด้านสิทธิเสรีภาพของประเทศไทยขณะนี้ตกต่ำลงถึงขนาดนั้น
 
บทสัมภาณษ์ที่ได้เผยแพร่ไปแล้ว และที่จะตามมาในหนังสือพิมพ์ วิทยุ และสื่อออนไลน์ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและในประเทศไทย อาจก่อปัญหากับผมมากยิ่งขึ้น แต่ผมก็ยินดีที่จะบอกเล่าความจริงที่เกิดขึ้นในมุมหนึ่งของโลกให้สังคมโลกรู้ เพื่อหวังว่าจะช่วยให้สถานการณ์ในประเทศไทยดีขึ้นในทางที่ไม่ใช่แค่สงบร่มเย็นสามัคคี แต่ต้องให้ได้กลับไปเป็นสังคมที่ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเสมอหน้ากันด้วย

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
ขอแสดงความคารวะจากใจจริงถึงความกล้าหาญจริงจังของพวกคุณ พวกคุณแสดงออกซึ่งโครงสร้างอารมณ์ของยุคสมัยอย่างจริงใจไม่เสแสร้ง อย่างที่แม่ของพวกคุณคนหนึ่งบอกกล่าวกับผมว่า "พวกเขาก็เป็นผลผลิตของสังคมในยุค 10 ปีที่ผ่านมานั่นแหละ" นั่นก็คือ พวกคุณได้สื่อถึงความห่วงใยต่ออนาคตของสังคมไทยที่พวกคุณนั่นแหละจะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อไปให้สังคมได้รับรู้แล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ปฏิกิริยาของสังคมต่อการกักขังนักศึกษา 14 คนได้ชี้ให้เห็นถึงการก้าวพ้นกำแพงความกลัวของประชาชน อะไรที่กระตุ้นให้ผู้คนเหล่านี้แสดงตัวอย่างฉับพลัน และการแสดงออกเหล่านี้มีนัยต่อสถานการณ์ขณะนี้อย่างไร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ในโลกนี้มีสังคมมากมายที่ไม่ได้นับว่าตนเองเป็นกลุ่มชนเดียวกัน และการแบ่งแยกความแตกต่างของกลุ่มคนนั้นก็ไม่ได้ทาบทับกันสนิทกับความเป็นประเทศชาติ ชาว Rohingya (ขอสงวนการเขียนด้วยอักษรโรมัน เพราะไม่เห็นด้วยกับการออกเสียงตามภาษาพม่า) ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของกลุ่มคนที่ไม่ได้มีขอบเขตพื้นที่ที่อาศัยครอบครองอยู่ทาบกันสนิทกับขอบเขตพื้นที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ช่วงเวลาของการสัมภาษณ์นักศึกษาใหม่ในแต่ละปีถือเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผมจะใช้อัพเดทความเปลี่ยนแปลงของสังคมหรือทำความเข้าใจสังคม จากมุมมองและประสบการณ์ชีวิตสั้นๆ ของนักเรียนที่เพิ่งจบการศึกษามัธยม ปีที่ผ่านๆ มาผมและเพื่อนอาจารย์มักสนุกสนานกับการตรวจสอบสมมติฐานของแต่ละคนว่าด้วยประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง บางทีก็ตรงกับที่มีสมมติฐานไว้บ้าง บางทีก็พลาดไปบ้าง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (31 พค. 58) ผมไปเป็นเพื่อนหลานสาววัย 13 ปี ที่ชวนให้ไปเที่ยวงานเทศกาลการ์ตูนญี่ปุ่นที่โรงแรมแห่งหนึ่งแถวถนนสุขุมวิท ผมเองสนับสนุนกิจกรรมเขียนการ์ตูนของหลานอยู่แล้ว และก็อยากรู้จักสังคมการ์ตูนของพวกเขา ก็เลยตอบรับคำชวน เดินทางขึ้นรถเมล์ ต่อรถไฟฟ้าไปกันอย่างกระตือรือล้น
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สนามบินที่ไหนๆ ก็ดูเหมือนๆ กันไปหมด อยู่ที่ว่าจะออกจากไหน ด้วยเรื่องราวอะไร หรือกำลังจะไปเผชิญอะไร ในความคาดหวังแบบไหน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"ปับ เจียน ความ เจ้า ปัว ฟ้า" แปลตามตัวอักษรได้ว่า "หนังสือ เล่า เรื่อง เจ้า กษัตริย์ (แห่ง)ฟ้า" ซึ่งก็คือไบเบิลนั่นเอง แต่แปลเป็นภาษาไทดำแล้วพิมพ์ด้วยอักษรไทดำ อักษรลาว และอักษรเวียดนาม เมื่ออ่านแล้วจะออกเสียงและใช้คำศัพท์ภาษาไทดำเป็นหลัก
ยุกติ มุกดาวิจิตร
กรณีการออกเสียงชื่อชาว Rohingya ว่าจะออกเสียงอย่างไรดี ผมก็เห็นใจราชบัณฑิตนะครับ เพราะเขามีหน้าที่ต้องให้คำตอบหน่วยงานของรัฐ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการออกเสียงให้ตายตัวเบ็ดเสร็จว่าควรจะออกเสียงอย่างไรกันแน่ ยิ่งอ้างว่าออกเสียงตามภาษาพม่ายิ่งไม่เห็นด้วย ตามเหตุผลดังนี้ครับ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้ (7 พค. 58) ผมสอนวิชา "มานุษยวิทยาวัฒนธรรม" ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซินเป็นวันสุดท้าย มีเรื่องน่ายินดีบางอย่างที่อยากบันทึกไว้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มันคงมีโครงสร้างอะไรบางอย่างที่ทำให้ "ร้านสะดวกซื้อ" เกิดขึ้นมาแทนที่ "ร้านขายของชำ" ได้ ผมลองนึกถึงร้านขายของชำสามสี่เมืองที่ผมเคยอาศัยอยู่ชั่วคราวบ้างถาวรบ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อปี 2553 เป็นปีครบรอบวันเกิด 80 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ มีการจัดงานรำลึกใหญ่โตที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเอ่ยถึงจิตรทีไร ผมก็มักเปรยกับอาจารย์ประวัติศาสตร์จุฬาฯ ท่านหนึ่งว่า "น่าอิจฉาที่จุฬาฯ มีวิญญาณของความหนุ่ม-สาวผู้ชาญฉลาดและหล้าหาญอย่างจิตรอยู่ให้ระลึกถึงเสมอๆ" อาจารย์คณะอักษรฯ ที่ผมเคารพรักท่านนี้ก็มักย้อนบอกมาว่า "ธรรมศาสตร์ก็ต้องหาคนมาเชิดชูของตนเองบ้าง"
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันที่ 30 เมษายน 2558 เป็นวันครบรอบ 40 ปี "ไซ่ง่อนแตก"Ž เดิมทีผมก็ใช้สำนวนนี้อยู่ แต่เมื่อศึกษาเกี่ยวกับเวียดนามมากขึ้น ก็กระอักกระอ่วนใจที่จะใช้สำนวนนี้ เพราะสำนวนนี้แฝงมุมมองต่อเวียดนามแบบหนึ่งเอาไว้