Skip to main content

บอกอีกครั้งสำหรับใครที่เพิ่งอ่านตอนนี้ ผมเขียนเรื่องนี้ต่อเนื่องกันมาชิ้นนี้เป็นชิ้นที่ 5 แล้ว ถ้าจะไม่อ่านชิ้นอื่นๆ (ซึ่งก็อาจชวนงงได้) ก็ขอให้กลับไปอ่านชิ้นแรก ที่วางกรอบการเขียนครั้งนี้เอาไว้แล้ว อีกข้อหนึ่ง ผมยินดีหากใครจะเพิ่มเติมรายละเอียด มุมมอง หรือประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป แต่ขอให้แสดงความเห็นแบบ "ช่วยกันคิด" หน่อยนะครับ

 
ก่อนเข้าเรื่อง บางคนอาจสงสัยว่าทำไมผมไม่เขียนเรื่องการประกันคุณภาพ ทำไมไม่เขียนถึงพวก TQF หรือ มคอ. อะไรพวกนั้น ที่ไม่เขียนเพราะเรื่องเหล่านั้นผมเขียนมามากแล้ว ถ้าใครรู้จักผมก็จะรู้ว่าผมและเพื่อนนักวิชาการมากมายทั้งสู้ทั้งทะเลาะกับเรื่องนี้มามากแล้ว แต่ก็ไม่เกิดผล ผมสรุปว่านั่นก็เพราะการบริหารการอุดมศึกษาเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมานี้เป็นการบริหารแบบ "แบ่งกันรวบอำนาจ" ระหว่าง สกอ. กับผู้บริหารมหาวิทยาลัย ส่วนคณาจารย์ บุคคลากร นักศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครองน่ะ ก้มหน้าก้มตาทำงานและจ่ายเงินเลี้ยงระบบต่อไป 
 
ดูอย่างเรื่อง มคอ. นั่นปะไร ทุกวันนี้ 80-90% ของ มคอ. ที่กรอกๆ กันอยู่น่ะเถื่อนนะครับ (ยกเว้นสถาบันที่ขยันสร้างระบบประเมินของตนเองอย่างจุฬาฯ) ถ้าไม่เถื่อนก็ต้องมี มคอ. 1 ครับ ผมถามอาจารย์มหาวิทยาลัยสาขาสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์หน่อยครับว่า พวกท่านเคยเห็น มคอ. 1 ของสาขาวิชาท่านไหมครับ ไม่มีหรอก หัวไม่มี มีแต่หางเอาไว้รัดคอพวกท่านอยู่ทุกวันนี้แหละ เพราะอะไร แล้วจะมีไหม เอาไว้มีโอกาสเมื่อไหร่ค่อยเล่าก็แล้วกันครับ
 
กลับมาที่เรื่องที่ตั้งใจจะเขียนวันนี้ดีกว่า ในโลกวิชาการสากล ขอยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกาอีก (หันมาทางนี้บ่อย เพราะเราอยากมีชื่อในลำดับมหาวิทยาลัยต้นๆ ไม่ใช่หรือ แล้วการประเมินพวกนั้นน่ะ ส่วนใหญ่ชื่ออันดับต้นๆ ก็มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ทั้งนั้น ถ้าไม่อยากให้อ้างสหรัฐฯ ก็เลิกสนใจการจัดอันดับพวกนั้นเสียสิ) การเริ่มงานในมหาวิทยาลัยวิจัยนั้น ถ้าได้งานที่มีตำแหน่งแน่นอน เขาเรียก tenure track คือเดินบนเส้นทางที่จะได้ "ครองตำแหน่ง" ก็จะได้ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ หรือ ผศ. ทันที
 
เมื่อเริ่มเส้นทางแล้ว นอกจากงานสอนปีละสัก 3-4 วิชาและช่วยงานบริหารตามสมควรแล้ว ที่สำคัญคือต้องพิมพ์งาน ต้องพิมพ์บทความในวารสารชั้นนำระดับนานาชาติ 5-6 ชิ้นภายในระยะ 4-5 ปี หรือหากโชคดีได้พิมพ์หนังสือก็จะยิ่งได้เป็นรองศาสตราจารย์เร็ว เป็น รศ. เมื่อไหร่ก็คือได้ "ครองตำแหน่ง" นั้น เมื่อมีผลงานอีกระยะหนึ่ง โดยมากนับจากการพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง หรือพิมพ์บทความจำนวนหนึ่งที่ได้รับการประเมินค่าสูง ก็จะได้เป็นศาสตราจารย์เต็มภาคภูมิ
 
แต่ในประเทศไทย เส้นทางเป็นอย่างนี้ครับ เริ่มเข้าทำงานก็เป็นอาจารย์เฉยๆ หากจบปริญญาเอก หลังทำงาน 3 ปีจึงจะขอ ผศ. ได้ ต้องส่งบันทึกการสอน 1 วิชา ต้องมีงานวิจัย ต้องพิมพ์บทความวิชาการ เมื่อได้ ผศ. แล้ว ต้องทำงานอีก 3 ปีจึงขอ รศ. ได้ ผลงานคือ บันทึกการสอน 1 วิชา งานวิจัยใหม่ที่พิมพ์เผยแพร่ พิมพ์หนังสือหรือตำราหนึ่งเล่ม จากนั้นอีก 2 ปีจึงจะขอตำแหน่ง ศ. ได้ โดยต้องทำวิจัยใหม่แล้วพิมพ์ ต้องพิมพ์ตำราหรือหนังสืออีกเล่ม ที่เขาย้ำเสมอคือ งานเหล่านี้ห้ามเอาวิทยานิพนธ์มาทำนะครับ
 
นี่ผมสรุปเกณฑ์ง่ายๆ นะครับ มีรายละเอียดอื่นๆ อีก เช่น ต้องได้ผลการประเมินระดับเท่าไหร่ หากจะขอข้ามขั้น ก็มีเกณฑ์ต่างหากอีก อย่างที่บางคนทำผลงานสะสมไว้แล้วขอ ศ. ทีเดียวเลย ยังมีรายละเอียดอีกว่า อะไรคือตำรา อะไรคืองานวิจัย อะไรคือหนังสือ รายละเอียดพวกนี้หาเอกสารดาวน์โหลดมาอ่านได้ไม่ยากนะครับ เกณฑ์เหล่านี้โดยทั่วไปเหมือนกัน เพราะอยู่ใต้อำนาจของ สกอ. เหมือนกันทั้งสิ้น 
 
ใครจะกินอุดมการณ์บอกว่า ทำงานวิชาการไม่ได้หวังตำแหน่งทางวิชาการอะไรก็ตามสบายนะครับ ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่ใช่ ตำแหน่งทางวิชาการไม่ใช่เพียงมีบรรดาศักดิ์ติดข้างหน้าให้ยิ่งใหญ่อะไร แต่มันหมายถึงความมั่นคงในชีวิตทางกายภาพ แต่ละตำแหน่งมีค่าตำแหน่งตอบแทน และหากไม่ขอตำแหน่งทางวิชาการ ระดับเงินเดือนก็จะตัน ผมไม่ได้มีทรัพย์สมบัติอะไรติดตัวมากมายมายพอที่จะจะเก็บค่าเช่ากินไปได้ มีแต่แรงสมองเท่านั้นที่ขายกินอยู่ทุกวันนี้ อีกอย่าง ปัจจุบันระบบพนักงานจะยิ่งบีบให้อาจารย์ต้องขอตำแหน่งตามกำหนดเวลา 
 
ย้อนกลับไปดูเกณฑ์นะครับ ถ้าใครทำได้ตามนั้น หลังจบ ดร. แล้ว ก็ใช้เวลาเพียง 8 ปี ก็จะได้เป็นศาสตราจารย์ แต่ใครจะทำได้ครับ ทำงานอย่างไรกันครับ ทั้งทำวิจัยใหม่่ 3 งานวิจัย และพิมพ์หนังสือ 3-4 เล่ม พร้อมๆ กับสอนหนังสือปีละ 6-7 วิชา ภายใน 8 ปีใครจะทำได้ครับ นี่ยังไม่นับว่าแต่ละคนยังต้องช่วยทำงานบริหารกันบ้างอีก แม้จะไม่ถึงกับบ้าอำนาจอยากได้ตำแหน่งบริหารก็เถอะ สำหรับในสหรัฐอเมริกา ในสาขาทางสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์ ผมเห็นส่วนใหญ่เขาใช้เวลากันประมาณ 10 ปีทั้งนั้น เร็วกว่านี้แทบเป็นไปไม่ได้ แถมของเรายังยากกว่าเพราะต้องทำวิจัยใหม่เอี่ยมทุกๆ 2-3 ปี
 
ข้อสำคัญที่น่าสังเกตคือ ความแตกต่างกันระหว่างระบบของสหรัฐฯ กับระบบของไทยมีสองประการสำคัญคือ หนึ่ง ของไทยไม่ให้ความสำคัญกับการพิมพ์ผลงานในวารสารทางวิชาการ และสอง ของไทยไม่ให้นำเอาผลงานวิทยานิพนธ์มาต่อยอดเพื่อทำเป็นผลงานวิชาการ แต่ของสหรัฐฯ และผมว่าในอังกฤษและประเทศมหาอำนาจทางวิชาการอื่นๆ ก็เป็นอย่างนั้น เขาให้ความสำคัญกับการพิมพ์งานในวารสารและยินดีให้พัฒนางานจากวิทยานิพนธ์ไปเป็นหนังสือเล่มเพื่อใช้ขอผลงาน
 
แน่ล่ะที่คุณภาพวารสารทางวิชาการของไทยเทียบกันไม่ได้กับวารสารทางวิชาการในโลกสากล อย่างเช่นในโลกภาษาอังกฤษ แต่ถึงอย่างนั้น ถึงนักวิชาการไทยคนไหนจะพิมพ์บทความในวารสารวิชาการชั้นนำของโลกได้ ซึ่งยากเย็นมาก ต้องแก้กันไม่ต่ำกว่า 3 รอบ บางวารสารต้องเสียเงินเพื่อขอให้เขาอ่านประเมินให้ซึ่งก็อาจจะไม่ผ่าน แต่ก็ไม่ใช่ไม่เคยมีคนไทยได้พิมพ์งานระดับนั้นนะครับ มีอยู่บ่อยไป แต่ผลงานของเขาก็จะไร้ค่าในโลกวิชาการไทย ไม่สามารถนำมาขอตำแหน่ง รศ. หรือ ศ. ได้ จะใช้ขอ ผศ. ได้ก็แค่่ชิ้นเดียวพอ ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ยากขนาดนั้นด้วย 
 
แล้วอย่างนี้ใครจะอยากเขียนบทความพิมพ์ในวารสารล่ะครับ ยิ่งต้องบากบั่นอดทนเขียนภาษาอังกฤษ ต้องทนคำวิจารณ์โหดๆ จากนักวิชาการในโลกที่เราก็แทบจะไม่รู้จัก เพื่อจะได้ตีพิมพ์งานในวารสารวิชาการระดับโลกที่ชาวโลกเขาจะได้อ่านกัน ยิ่งไม่รู้จะทำไปทำไม เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไรกับอนาคตทางวิชาการ แถมยังเปลืองตัวเปลืองเวลา เสียโอกาสที่จะไปผลิตงานวิจัยถูๆ ไถๆ เพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการแม้ไม่มีชาวโลกที่ไหนอ่านกันไม่ดีกว่าหรือ 
 
ส่วนงานวิทยานิพนธ์ เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมอาจารย์ที่จบจากต่างประเทศมาส่วนมากไม่พิมพ์วิทยานิพนธ์กัน ส่วนหนึ่งคงเพราะอายที่ผลงานไม่ดีพอ แต่ผมว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงหรอกครับ บางคนคิดว่า คงเพราะอาจารย์มีงานมาก ไม่มีเวลา อาจารย์ผมพร่ำถามตลอดว่า ทำไมไม่อยากพิมพ์งานล่ะ อาจารย์ในต่างประเทศก็ไม่เข้าใจว่า วิทยานิพนธ์ที่ทุ่มเททำกันแทบตาย ทำไมไม่พิมพ์ล่ะ ก็ลองกลับไปดูการประเมินขอตำแหน่งทางวิชาการสิครับ มันเหมือนกับโลกสากลเขาเสียเมื่อไหร่ล่ะ
 
วิทยานิพนธ์ ทั้งที่ทำในมหาวิทยาลัยไทยและทำในมหาวิทยาลัยต่างประทเทศจำนวนมากเป็นงานที่มีคุณภาพดีไม่ด้อยไปกว่างานวิจัยของอาจารย์ ลองคิดดูว่า หากนักศึกษามีความสามารถเป็นนักวิจัยที่ดี เขาจะได้เปรียบอาจารย์มากแค่ไหน เขาไม่ต้องสอน ไม่ต้องทำงานบริหาร ส่วนใหญ่ยังอายุน้อย มีภาระส่วนตัวน้อย ยังมีกำลังวังชาดี ทำงานหามรุ่งหามค่ำได้ เดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก ส่วนมากบ้าบิ่นเพราะยังไม่มีห่วงมาก 
 
เมื่อเทียบกับงานวิจัยของอาจารย์ วิทยานินพธ์จึงมีโอกาสดีได้มากกว่า และหากวิทยานิพนธ์ได้รับการสานต่อ พัฒนาขึ้น เพิ่มงานวิจัย เพิ่มการวิเคราะห์ให้แหลมคม ขัดเกลาจากการไปลองเสนอเป็นบทความเวทีระดับชาติ ระดับนานาชาติ แบบที่มหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ในโลกเขายอมรับกัน ผลงานวิชาการไทยจะดีขึ้นกว่านี้แน่นอน แล้วทำไมสังคมไทยไม่ลงทุนกับคนเหล่านี้ล่ะครับ ทำไมลงทุนกับคนชราแล้วสูญเสียเงินวิจัยไปโดยที่ไม่มีใครสามารถไปเก็บหนี้ได้ล่ะ ทำไมโลกวิชาการไทยไม่ยอมรับผลงานจากวิทยานิพนธ์ล่ะ
 
แต่ระบบวิชาการในประเทศนี้มันบ้าขนาดไหนผผมจะเล่าต่อ ใครที่ทำงานวิชาการอยู่ก็คงรู้อยู่แล้วว่า ทุกวันนี้ระบบประกันคุณภาพเรียกร้องอะไรบ้าง ตัวชี้วัดหนึ่งที่สำคัญคือการพิมพ์งานในวารสารที่ได้มีคะแนนสูงๆ คือวารสารอะไรล่ะ ก็ต้องวารสารนานาชาติใช่ไหมครับ วนกลับไปอ่านข้างบนสิครับ อาจารย์จะอยากทำไหมครับ แต่คณะถูกบีบและเรียกร้องอาจารย์ลงมาอีกทีตลอดนะครับ 
 
อีกตัวชี้วัดคือการถูกอ้างอิงในวารสารที่มีคะแนนสูงๆ ก็วารสารอะไรอีกล่ะครับ ต้องวารสารนานาชาติใช่ไหมครับ แล้วถ้าอาจารย์ไทยมุ่งพิมพ์หนังสือภาษาไทย พิมพ์ตำราภาษาไทย แล้วชาวโลกที่ไหนเขาจะมาอ่านกันล่ะครับ งานคุณต้องดีเด่นขนาดไหนกันเชียวที่ชาวโลกเขาจะมายอมแปลไปอ่านกันหรือยอมมาทนอ่านจากภาษาไทยกัน
 
บางมหาวิทยาลัยไทยมีเงินอัดฉีดให้นะครับ แต่จะพิมพ์งานระดับนานาชาติเพื่อมาบากหน้าให้กรรมการของมหาวิทยาลัยประเมินเพื่อขอเงินอัดฉีดไปทำไม่ล่ะครับ พิมพ์งานในวารสารนานาชาติดีๆ สักชิ้นน่ะ ใช้เวลาเป็นปีนะครับ สู้เอาเวลาไปทำวิจัยอะไรสักเรื่องแล้วพิมพ์ภาษาไทย แล้วซุกใต้ถุนตึกไว้ แล้วทำสำเนาส่งไปขอตำแหน่งทางวิชาการไม่ดีกว่าเหรอครับ นี่ไงครับ มันบ้าขนาดไหนระบบของไทยทุกวันนี้น่ะ
 
แต่บางมหาวิทยาลัยไทยก็ดูฉลาดแต่ก็เหมือนเอาเปรียบนักศึกษานะครับ ให้นักศึกษาส่งวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ แต่เมื่อแต่ละคนจบไปแล้วก็ไม่สามารถเขียนอะไรเป็นภาษาอังกฤษได้อีกเลย เพราะเรียนก็ใช้ภาษาไทย พอต้องส่งวิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษจะทำอย่างไร ก็จ้างคนแปลสิครับ ผมไม่โทษนักศึกษาหรอก แต่โทษความกลวงของโลกวิชาการไทยมากกว่า ตบตาเก่งกันจนติดอันดับมหาวิทยาลัยโลกหลักหลายร้อยก็ยังดีขอให้มีชื่อว่าติดก็พอ
 
การทำงานวิชาการในมหาวิทยาลัยก็ต้องหวังที่จะสร้างความรู้ใหม่ๆ เป็นหลัก หากแต่กระบวนการสร้างความรู้แบบไหนที่จะเอื้อให้เกิดการพัฒนาของความรู้ในสังคมไทยและสังคมโลก พร้อมๆ กับที่จะทำให้อาจารย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย ระบบของการประเมินค่าทางวิชาการก็จะต้องเกื้อหนุนสอดคล้องกันไปไม่ใช่หรือ 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
รัฐประหารครั้งนี้มีอะไรใหม่ๆ หลายอย่าง ผมไม่เรียกว่าเป็นนวัตกรรมหรอก เพราะนวัตกรรมเป็นคำเชิงบวก แต่ผมเรียกว่าเป็นนวัตหายนะ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ในภาคการศึกษาที่ผ่านมา ผมสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน เนื่องจากเป็นการสอนชั่วคราว จึงรับผิดชอบสอนเพียงวิชาเดียว แต่ผมก็เป็นเจ้าของวิชาอย่างเต็มตัว จึงได้เรียนรู้กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่นี่เต็มที่ตลอดกระบวนการ มีหลายอย่างที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย จึงอยากบันทึกไว้ ณ ที่นี้ ให้ผู้อ่านชาวไทยได้ทราบกัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้ (เวลาในประเทศไทย) เป็นวันเด็กในประเทศไทย ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ผมเดินทางไปดูกิจกรรมต่างๆ ในประเทศซึ่งผมพำนักอยู่ขณะนี้จัดด้วยความมุ่งหวังให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ แล้วก็ให้รู้สึกสะท้อนใจแล้วสงสัยว่า เด็กไทยเติบโตมากับอะไร คุณค่าอะไรที่เราสอนกัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ปีนี้ไม่ค่อยชวนให้ผมรู้สึกอะไรมากนัก ความหดหู่จากเหตุการณ์เมื่อกลางปีที่แล้วยังคงเกาะกุมจิตใจ ยิ่งมองย้อนกลับไปก็ยิ่งยังความโกรธขึ้งและสิ้นหวังมากขึ้นไปอีก คงมีแต่การพบปะผู้คนนั่นแหละที่ชวนให้รู้สึกพิเศษ วันสิ้นปีก็คงจะดีอย่างนี้นี่เอง ที่จะได้เจอะเจอคนที่ไม่ได้เจอกันนานๆ สักครั้งหนึ่ง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมเพิ่งกลับจากชิคาโก เดินทางไปสำรวจพิพิธภัณฑ์กับแขกผู้ใหญ่จากเมืองไทย ท่านมีหน้าที่จัดการด้านพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ก็เลยพลอยได้เห็นพิพิธภัณฑ์จากมุมมองของคนจัดพิพิธภัณฑ์ คือเกินเลยไปจากการอ่านเอาเรื่อง แต่อ่านเอากระบวนการจัดทำพิพิธภัณฑ์ด้วย แต่ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้อะไรมากนักหรอก แค่ติดตามเขาไปแล้วก็เรียนรู้เท่าที่จะได้มามากบ้างน้อยบ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวันส่งท้ายปีเก่าพาแขกชาวไทยคนหนึ่งไปเยี่ยมชมภาควิชามานุษยวิทยาของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ก็เลยทำให้ได้รู้จักอีก 2 ส่วนของภาควิชามานุษยวิทยาที่นี่ว่ามีความจริงจังลึกซึ้งขนาดไหน ทั้งๆ ที่ก็ได้เคยเรียนที่นี่มา และได้กลับมาสอนหนังสือที่นี่ แต่ก็ไม่เคยรู้จักที่นี่มากเท่าวันนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วาทกรรม "ประชาธิปไตยแบบไทย" ถูกนำกลับมาใช้เสมอๆ เพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของแนวคิดประชาธิปไตยสากล 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เห็นข่าวงาน "นิธิ 20 ปีให้หลัง" ที่ "มติชน" แล้วก็น่ายินดีในหลายสถานด้วยกัน  อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์มีคนรักใคร่นับถือมากมาย จึงมีแขกเหรื่อในวงการนักเขียน นักวิชาการ ไปร่วมงานเป็นจำนวนมาก เรียกว่ากองทัพปัญญาชนต่างตบเท้าไปร่วมงานนี้กันเลยทีเดียว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (12 ธค. 2557) ปิดภาคการศึกษาแล้ว เหลือรออ่านบทนิพนธ์ทางมานุษยวิทยาภาษาของนักศึกษา ที่ผมให้ทำแทนการสอบปลายภาค เมื่อเหลือเวลาอีก 15 นาทีสุดท้าย ตามธรรมเนียมส่วนตัวของผมแล้ว ในวันปิดสุดท้ายของการเรียน ผมมักถามนักศึกษาว่าพวกเขาได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่ไม่ได้เคยเรียนมาก่อนจากวิชานี้บ้าง นักศึกษาทั้ง 10 คนมีคำตอบต่างๆ กันดังนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมเพิ่งมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์ (ขอเรียกง่ายๆ ว่า "หนัง" ก็แล้วกันครับ) เรื่องที่เป็นประเด็นใหญ่เมื่อ 2-3 วันก่อน ที่จริงก็ถ้าไม่มีเพื่อนๆ ถกเถียงกันมากมายถึงฉากเด็กวาดรูปฮิตเลอร์ ผมก็คงไม่อยากดูหรอก แต่เมื่อดูแล้วก็คิดว่า หนังเรื่องนี้สะท้อนความล้มเหลวของการรัฐประหารครั้งนี้ได้อย่างดี มากกว่านั้นคือ สะท้อนความลังเล สับสน และสับปลับของสังคมไทยได้เป็นอย่างดี
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมเป็นคนหนึ่งที่ยืนยันแม้จะไม่ถึงกับต่อต้านมาตลอดว่า เราไม่ควรเปิดโครงการนานาชาติในประเทศไทย ด้วยเหตุผลสำคัญ 2-3 ประการ หนึ่ง อยากให้ภาษาไทยพัฒนาไปตามพัฒนาการของความรู้สากล สอง คิดว่านักศึกษาไทยจะเป็นผู้เรียนเสียส่วนใหญ่และจึงจะทำให้ได้นักเรียนที่ภาษาไม่ดีพอ การศึกษาก็จะแย่ตามไปด้วย สาม อาจารย์ผู้สอน (รวมทั้งผมเอง) ก็ไม่ได้ภาษาอังกฤษดีมากนัก การเรียนการสอนก็จะยิ่งตะกุกตะกัก
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หลายปีที่ผ่านมา สังคมปรามาสว่านักศึกษาเอาใจใส่แต่ตัวเอง ถ้าไม่สนใจเฉพาะเสื้อผ้าหน้าผม คอสเพล มังหงะ กับกระทู้ 18+ ก็เอาแต่จมดิ่งกับการทำความเข้าใจตนเอง ประเด็นอัตลักษณ์ บริโภคนิยม เพศภาวะ เพศวิถี เกลื่อนกระดานสนทนาที่ซีเรียสจริงจังเต็มไปหมด