Skip to main content

เมื่อเห็นข่าวว่ามีการพูดถึงคนไทยมาจากเขาอัลไตกันขึ้นมาอีก ผมก็ระลึกขึ้นมาทันทีว่า เรื่องนี้ได้ข้อตกลงกันไปชัดเจนนานแล้วนี่นาว่า เป็นความรู้ที่ผิดพลาด 

แล้วก็เลยนึกไปถึงข้อถกเถียงถึงถิ่นกำเนิดคนไท ซึ่งมีคนค้นคว้ามาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วยังมีการพิมพ์งานวิชาการเกี่ยวกับข้อถกเถียงนี้อยู่ ก็เลยอยากลองประมวลดูคร่าวๆ เพื่อสะสมไว้เป็นความรู้ของตนเองด้วย หากจะประมวลข้อเสนอสำคัญๆ ที่กล่าวถึงคุ้นเคยกัน ก็นับได้ว่ามี 5 แนวคิดด้วยกัน 

1. คนไท(ย)มาจากอัลไต ข้อเสนอนี้นับว่าเป็นข้อเสนอเก่าแก่ สืบค้นกันไปได้ถึงผลงานเรื่อง The Tai Race: Elder Brother of the Chinese (พิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1923 หรือ พ.ศ. 2466) เขียนโดยหมอเผยแพร่ศาสนาชื่อ William C. Dodd หมอดอดด์สรุปว่าคนไทเป็นพวก Ugro-Altaic (อูโกร-อัลไตอิก) ที่น่าสนใจคือ เมื่อข้เสนอนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยแล้ว กลับกลายเป็นว่า "คนไทมาจากเทือกเขาอัลไต" ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ในหนังสือของหมอดอดด์ในต้นฉบับที่พิมพ์ปี 1923 ก็ไม่พบว่าหมอดอดด์เอ่ยถึง "เทือกเขาอัลไต" ตรงๆ แต่อย่างใด เพียงแต่อ้างถึงจากงานนักวิชาการอื่นว่า คนไทเป็นพวกพูดภาษาตระกูล อูโกร-อัลไตอิกเท่านั้น  

อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปที่ว่าคนไทเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้นั้น หมอดออด์ "ลาก" เอาภาษาตระกูลนั้นมาปะปนกับภาษาตระกูลไทโดยไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ แล้วหมอดอดด์ยัง "ลาก" เอาเผ่าพันธ์ุทางกายภาพที่ว่าคนไทส่วนหนึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายคนจีน ซึ่งก็มีบางส่วนที่พูดภาษาอูโกร-อัลไตอิกโดยไม่มีข้ออ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ใดๆ แล้วหมอดอดด์ก็จึงสรุปเอาง่ายๆ ว่า คนพูดภาษาอูโกร-อัลไตอิกมีคนไทอยู่ด้วย และยังสรุปอีกว่า นั่นน่าจะเป็นถิ่นเก่าแก่ที่สุดของคนไท 

ด้วยความไม่รัดกุม ไม่เป็นระบบของหมอดอดด์ ข้อเสนอของหมอดอดด์จึงถูกปัดตกไปได้ง่ายๆ หากแต่เป็นข้อเสนอที่เข้าตานักวิชาการชาตินิยมของประเทศไทย จึงถูกหยิบมาสรุปความโดยขุนวิจิตรมาตรา แล้วผลิตซ้ำมาเรื่อยๆ จนกระทั่งโรงเรียนทหารของไทยก็คงยังใช้ตำราที่ล้าสมัยนี้อยู่ 

2. คนไท(ย)มาจากน่านเจ้า หนังสือของหมอดอดด์ก็นำข้อเสนอนี้ไปกล่าวถึงเช่นกัน ว่าเป็นยุคแรกๆ ที่มีการบันทึกถึงคนไทอย่างชัดเจนในเอกสารจีน คนไทยมักรู้จักเรื่องน่านเจ้าในนาม "อาณาจักรน่านเจ้า" แล้วก็นับเนื่องว่าเป็นอาณาจักรไทยในอดีตก่อนอพยพลงมายังดินแดนไทยปัจจุบัน เหตุหนึ่งที่ดินแดนนี้ถูกเชื่อมโยงมาสู่คนไทก็อาจจะเพราะชื่อ Ai-Lao หรือที่คนไทยและคนลาวออกเสียงว่า "อ้าย-ลาว" เพื่อโยงให้ได้ว่าหมายถึงต้นตระกูลลาวและไทยอย่างแน่นอน 

ดินแดนน่านเจ้าตั้งอยู่ระหว่างมองโกลเลียกับจีนจีนตอนใต้บริเวณมณฑลยูนนานปัจจุบัน* (ข้อความเดิมน่าจะผิดพลาดคลาดเคลื่อน) นักประวัติศาสตร์ค่อนข้างยอมรับกันว่าน่าจะมีดินแดนนี้อยู่จริงในอดีต หากแต่มีข้อพิสูจน์กันมากมายว่าดินแดนนี้เป็นดินแดนที่คนพูดภาษาตระกูลทิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) อาศัยอยู่ ไม่ใช่คนพูดภาษาตระกูลไท หากใครสนใจข้อถกเถียงล่าสุดเรื่องนี้ อ่านได้จากบทความของ Grant Evans ชื่อ "The Ai-Lao and Nan Chao/Tali Kingdom: A Re-orientation" ในวารสาร Journal of the Siam Society, Vol. 102 พิมพ์ปี 2014 คือปีที่แล้วนี้เอง  

แต่ก็มีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า แม้ว่าในทางวิชาการจะยอมรับกันแล้วว่าข้อเสนอที่ว่าน่านเจ้าเป็นอาณาจักรคนไท(ย)มาก่อนนั้นเป็นข้อเสนอที่ผิดพลาด ข้อถกเถียงนี้ถูกนำเสนออย่างแข็งขันด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลจีนเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อกันไม่ให้เกิดความคิดแบ่งแยกเชื้อชาติ ดูงานของ Liang Yongjia ชื่อ "Inalienable Narration: The Nanzhao History between Thailand and China" เสนอต่อ ARI ปี 2010 

3. คนไท(ย)มาจากกวางสี ข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอทางภาษาศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นค่อนข้างชัดเจนและเห็นพ้องต้องกันในปัจจุบันว่า ภาษาตระกูลไทมีถิ่นกำเนิดบริเวณจีนตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้เพราะเป็นถิ่นที่มีแขนงของภาษาถิ่นของภาษาตระกูลไทกระจุกตัวอยู่บริเวณนั้นมากมาย หากยึดตามทัศนะนี้ ภาษาไทก็กระจายตัวออกมาทางตะวันตกเฉียงใต้ไปเรื่อยๆ แนวคิดแบบภาษาศาสตร์มีน้ำหนักตรงที่วางอยู่บนข้อมูลที่แน่นหนาและหลักเหตุผลที่เป็นระบบ มีชุมชนวิชาการคอยตรวจสอบวิจารณ์กันอย่างแข็งขันต่อเนื่อง 

แต่การที่จะกล่าวว่าถิ่นกำเนิดของกลุ่มคนพิจารณาได้จากถิ่นกำเนิดของภาษาเพียงเท่านั้นก็ดูจะจำกัดกลุ่มคนเกินไป เช่น ภาษาไม่ได้จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับคนในทางกายภาพ คนพูดภาษาตระกูลหนึ่งที่เดินทางมาจากทิศทางหนึ่ง อาจอพยพมาจากอีกทิศทางหนึ่ง เช่น ภาษาอังกฤษในปัจจุบัน ที่เดินทางไปทั่วโลก ขณะที่คนพูดภาษาอังกฤษก็มาจากหลายถิ่นเช่นกัน ในอดีต อาจมีเงื่อนไขทางการเมืองบางอย่างที่ทำให้ภาษาตระกูลไทเดินทางจากจีนตะวันออกเฉียงใต้มายังประเทศเวียดนาม ลาว ไทย พม่า และอินเดีย แต่กลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไทในถิ่นต่างๆ อาจเดินทางในทางเชื้อชาติมาจากจีนบ้าง อินเดียบ้าง อาหรับบ้าง หรือจากทะเลจากหมู่เกาะบ้างก็ได้ 

นอกจากนั้น ภาษาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายวัฒนธรรมได้หมด หากนับความเป็นคนไททางวัฒนธรรม อาจมีมิติอื่นๆ ที่คนไทมีร่วมกับสังคมอื่นๆ ที่พูดภาษาอื่นๆ หรือบางทีคนใช้ภาษาตระกูลไทที่แม้จะมีชุดคำศัพท์และไวยากรณ์ที่ใกล้เคียงกันมาก ก็อาจมีวัฒนธรรมแตกต่างกันมาก เช่น คนพูดภาษาตระกูลไทในจีนตะวันออกเฉียงใต้และเวียดนามเหนือที่ส่วนใหญ่ไม่นับถือศาสนาพุทธแบบคนพูดภาษาตระกูลไทที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมฮินดูและพุทธในประเทศไทยและจีนตอนใต้ 

4. คนไท(ย)ไม่ได้มาจากไหนแต่อยู่ในอุษาคเนย์ ทฤษฎีนี้เสนอว่า ความเป็นคนไท(ย) แบบที่เราเข้าใจกันทุกวันนี้ กำเนิดมาจากการเป็นคนที่อาศัยอยู่ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี่เอง การเป็นคนไท(ย)จึงเป็นการผสมผสานทั้งชาติพันธ์ุ ภาษา วัฒนธรรมด้านต่างๆ ของทั้งที่มาจากที่อื่น ที่เคยมีอยู่ก่อน และที่สร้างกันขึ้นมาใหม่ แนวคิดนี้หาอ่านได้จากงานชิ้นต่างๆ ของสุจิตต์ วงษ์เทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือ "คนไทยอยู่ที่นี่อุษาคเนย์" พิมพ์ครั้งแรกปีพ.ศ. 2537 ดาวน์โหลดได้ที่ (http://www.sujitwongthes.com/2010/…/คนไทยอยู่ที่นี่-ที่อุษา/

5. คนไท(ย)ถูกสร้างจากจินตกรรม แนวคิดนี้เสนอต่างออกไปอีกว่า ความเป็นคนไทนั้นไม่ได้เกิดมาจากที่ไหนหรอก หากแต่เกิดมาจากการ "สร้าง" ความเป็นกลุ่มเป็นก้อนของคนขึ้นมาเพื่อให้มีชื่อ มีตัวตน หรือที่เรียกว่ามีอัตลักษณ์ที่แตกต่างจากคนกลุ่มอื่นนั่นเอง ตามข้อเสนอแนวนี้ ความเป็นคนไทหรือความเป็นคนไท"ย"จึงถูกสร้างขึ้นภายใต้บริบททางประวัติศาสตร์และการเมืองอยู่เสมอ และเมื่อสังคมสร้างจิตนาการเกี่ยวกับกลุ่มคนขึ้นมาแล้ว ก็จะนำมาซึ่งแนวทางการปฏิบัติต่อคนกล่มนั้นแบบใดแบบหนึ่งด้วย ข้อเสนอนี้มีในงานหลายๆ ชิ้น ที่สำคัญได้แก่บทความของ Charles F. Keyes ชื่อ "Who Are the Tai?" พิมพ์ปี 1996  

การสร้างความเป็นกลุ่มเป็นก้อนนั้นอาจจะมาจากกลุ่มคนกันเอง (เช่น คนไทใหญ่ในพม่าก็พยายามสร้างความเป็นไทให้แตกต่างจากคนพม่าและคนชาติพันธ์ุอื่นๆ หรือคนไทยสยามสร้างภาพความเป็นคนลาวขึ้นมาให้ต่างจากตนเอง) หรือมาจากรัฐบางของประเทศที่ "คนไท" เป็นคนกลุ่มใหญ่เองสร้างภาพตนเองขึ้นมา (เช่น ประเทศไทย สร้างภาพคนไทยให้ดูราวกับว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกัน สืบทอดเผ่าพันธ์ุเดียวกันมายาวนาน ประเทศลาวก็ทำเช่นเดียวกัน) หรือมาจากการที่รัฐบาาลจัดกลุ่มชนชาติพันธ์ุต่างๆ ในประเทศ (เช่น ประเทศเวียดนามแยก "คนถาย" ออกจาก "คนไต่" แม้ว่าสำหรับนักภาษาศาสตร์คนทั้งสองกลุ่มก็เป็นคนพูดภาษาตระกูลไทเดียวกัน)  

ผมเขียนมาเสียยืดยาว ลงรายละเอียดบ้าง ไม่ลงบ้าง ก็พอหอมปากหอมคอ ทั้งหมดเพื่อจะรวบรวมประเด็นกว้างๆ ที่มีการถกเถียงกัน แต่จะเห็นได้ว่า การศึกษาเรื่องถิ่นกำเนิดคนไทก้าวไปถึงไหนแล้ว และที่สำคัญคือ ข้อถกเถียงมักสัมพันธ์กับทั้งความหนักแน่นทางวิชาการ มุมมองของสาขาวิชาความรู้ และกรอบการเมืองของความรู้ 

หากใครอยากจะแสดงความเห็นเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดคนไทหรือคนไทย อย่างน้อยก็ควรจะหาหนังสืออ่านเสียบ้าง ไม่ใช่เชื่อๆ ตามๆ ลมปากคนอื่นเขามาแล้วมาปล่อยไก่ให้คนจับไปเชือดในวันตรุษจีนอย่างพล่อยๆ 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เพ่ิงกินอาหารเย็นเสร็จ วันนี้ลงมือทำสเต็กเนื้อ เนื้อโคขุนไทยๆ นี่แหละ ต้องชิ้นหนาๆ หน่อย ย่างบนกะทะเหล็กหนาๆ ที่หอบหิ้วมาจากอเมริกา เป็นกะทะเทพมากๆ เพราะความร้อนแรงดีมาก ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที เกรียมได้ที่ทั้งสองด้าน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"การศึกษา" ต้องการพื้นที่ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เมื่อความรู้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อการเรียนรู้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของสถาบันการศึกษาเพียงเท่านั้น พื้นที่การเรียนรู้ก็ย่อมจะต้องเปลี่ยนไปด้วย แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกการเรียนรู้ ยังมีคนบางกลุ่มดื้อรั้นขัดขวางการเปลี่ยนแปลง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 แน่นอนว่าโฆษณาโปรแกรมเรียนภาษาไทย (บางคนบอกเป็นแค่ตลกล้อเลียน?) ที่เป็นข่าว 2-3 วันที่ผ่านมานั้น ตั้งอยู่บนอคติทางเพศ ดูถูกเพศหญิงว่าเป็นวัตถุทางเพศ ดูถูกเพศชายว่าจ้องเสพสุขทางเพศท่าเดียว (หรือหลายท่า?) สร้างภาพเหมารวมให้คนไทยและสังคมไทยไร้ศีลธรรม (ดูสิ เราออกจะเมืองพุทธ เมืองพระ) แต่ที่ยังน่าจะต้องทำความเข้าใจคือ ปฏิกิริยาที่คนไทยมีต่อวิดีโอล้อเลียนนี้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อเขียนนี้พยายามทำความเข้าใจตรรกะของพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงแสดงไว้ในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ว่าพระองค์มีทัศนะต่อแนวคิด The King Can Do No Wrong อย่างไร และมาตรา 112 ควรแก้ไขเพราะเหตุใด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การตัดสินคดีของสมยศ พฤกษาเกษมสุขและอีกหลายๆ คดีก่อนหน้านี้ด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 (ม.112) ชี้ให้เห็นยิ่งขึ้นทุกวันว่า รัฐไทยกำลังสร้างความรักด้วยการใช้กำลังข่มเหงให้ประชาชนรักประมุขของประเทศ หาใช่การส่งเสริมให้เกิดความรักประมุขจากใจจริงของประชาชนไม่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
งานวิจัยทางสังคมศาสตร์ที่ดี โดยเฉพาะงานทางมานุษยวิทยา มักมีแรงขับจากอารมณ์ใคร่บางอย่าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากเรียกร้องเรื่องทรงผม ก็ต้องเรียกร้องเรื่องชุดนักเรียนนักศึกษาด้วย จะได้เป็นก้าวแรกของการอภิวัฒน์การศึกษาไทยอย่างจริงจังเสียที พวกผู้ใหญ่ที่คอยเรียกร้องนักเรียนกับครูอาจารย์ ให้สอนให้เด็กรู้จักคิดน่ะ พวกท่านเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า ชุดนักเรียนนักศึกษาเป็นปราการปิดกั้นเสรีภาพการคิดอย่างไร และเด็กๆ เองก็ควรเข้าใจด้วยว่า การควบคุมเรือนร่างเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมแบบอำนาจนิยมอย่างไร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข่าวการเสียชีวิตของอาจารย์พัฒนา กิติอาษาเมื่อเช้าตรู่วานนี้ (10 มกราคม 2556) คงไม่เป็นที่สนใจของใครต่อใครนอกแวดวงวิชาการสังคมศาสตร์มากนัก แต่นี่นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของแวดวงสังคมศาสตร์ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากพวกคุณวิจัยสำรวจอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ พวกคุณก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่า ชัยชนะจากคะแนนเสียงที่ "ไม่่่ท่วมท้นนัก" ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มาจากกลุ่มคนที่มีความหวังว่าเพื่อไทยจะเป็นเดินหน้าพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทยอย่างจริงจังเสียที
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สังคมไทยมีสังคมแบบหนึ่งที่แทรกซ้อนอยู่ในสังคมขนาดใหญ่ คือสังคมดัดจริต สังคมดัดจริตไม่ได้มีขนาดใหญ่โต แต่เป็นสังคมของคนชั้นกลางและคนใหญ่คนโตที่กำลังเสื่อมอำนาจ สังคมดัดจริตคอยผลิตวัฒนธรรมดัดจริตเพื่อทำให้ตนเองดูดีมีหลักการ เพื่อให้ตนเองอยู่เหนือคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีจริตจะดัด และเหนืออื่นใดคือเพื่อปกป้องฐานะอำนาจของตนเอง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้ คือวันที่ 1 มกราคม 2556 ผมลองคิดบวกดูบ้าง คือคิดแบบเข้าข้างตนเองทบทวนดูว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาได้ทำอะไรใหม่ๆ ให้ตนเองบ้าง คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองผมคือ ได้อ่านหนังสืออะไรที่นับว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บ้าง แล้วก็คิดไปเรื่อยว่า ได้ทำอะไรที่ให้การเรียนรู้ใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ คิดอะไรใหม่ๆ บ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ยามปีใหม่ ยากที่จะหาของขวัญที่ไม่กลายเป็นขยะในชั่วข้ามคืนได้ เพื่อนชาวอเมริกันที่ผมรู้จักหลายคน ซึ่งดูท่าจะทั้งเป็นนักช้อปและเป็นคนช่างมีเหตุผล ก็เลยใช้วิธีให้เด็กๆ เขียนลิสต์รายการสิ่งของที่อยากได้ยามสิ้นปี เพื่อเป็นหลักประกันว่าของที่ซื้อมาให้จะถูกใจผู้รับสักชิ้นหนึ่ง