Skip to main content

นักวิชาการญี่ปุ่นที่ผมรู้จักมากสัก 10 กว่าปีมีจำนวนมากพอสมควร ผมแบ่งเป็นสองประเภทคือ พวกที่จบเอกจากอังกฤษ สหรัฐอเมริกา กับพวกที่จบเอกในญี่ปุ่น แต่ทั้งสองพวก ส่วนใหญ่เป็นทั้งนักดื่มและ foody คือเป็นนักสรรหาของกิน หนึ่งในนั้นมีนักมานุษยวิทยาช่างกินที่ผมรู้จักที่มหาวิทยาลัยเกียวโตคนหนึ่ง ค่อนข้างจะรุ่นใหญ่เป็นศาสตราจารย์แล้ว

ครั้งแรกที่ผมรู้จักแก (ผมจงใจปกปิดชื่อ) ผมไปสัมมนาที่เกียวโต พออาจารย์เสนองานเสร็จ ผมก็วิจารณ์ตามนิสัยคนที่เรียนมาแบบอเมริกัน คือตรงไปตรงมาอย่างพยายามให้สุภาพและสร้างสรรค์ ผมแนะนำว่าอาจารย์น่าจะเอางานของ Eric Wolf นักมานุษยวิทยาอเมริกันที่ศึกษาเรื่องระบบโลกมาช่วยปรับปรุงงาน อาจารย์คนนี้ตอบกลับมาอย่างสุภาพว่า "ที่จริงผมไปเรียนกับเอริค วูฟ เขาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาผมเอง" ผมนี่หน้าชาเลย รู้สึกว่าตัวเองแรงไปหรือเล่า แล้วดันไม่รู้จักว่าคนที่กำลังวิจารณ์เป็นใครกันแน่  

แต่สุดท้าย อาจารย์คนนี้แกชอบผมมาก เราคุยกันถูกคอ แล้วแกก็ชวนผมไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันเสมอ เมื่อมาเกียวโตคราวนี้ แกนัดผมอย่างดิบดีว่าไปกินอาหารกลางวันกัน แล้วแกก็จัดแจงหาร้านอาหารไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก ชั่วแค่เดินไป-กลับได้ เมื่ออาหารที่แกสั่งไว้ทยอยมา ผมก็ค่อย ๆ ละเลียดทีละคำ ๆ ไป พร้อม ๆ กับฟังบรรยายถึงส่วนผสมและวัฒนธรรมอาหารของแต่ละคำไป 

พร้อม ๆ กับเรื่องอาหารที่กินเราคุยกันอีกหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องการเมืองไทย แกถามถึงนักวิชาการไทยที่ถูกมหาวิทยาลัยไล่ออกว่าตกลงได้กลับเข้าทำงานไหม ผมก็เล่าว่าไม่ได้ กำลังฟ้องร้องกันอยู่ แกเป็นคนหนึ่งที่ร่วมลงชื่อประท้วงกรณีนี้ด้วย ทั้ง ๆ ที่แทบไม่เคยเห็นแกลงชื่ออะไรแบบนี้ แล้วแกก็ไม่ได้ศึกษาเรื่องประเทศไทยด้วย แล้วแกก็เล่าปัญหาของการเมืองญี่ปุ่นที่อนุรักษนิยมมากขึ้น นิยมทหารมากขึ้น ซึ่งแกไม่สบายใจเลย 

แล้วผมก็วกมาถามไถ่แกถึง Sidney Mintz ซึ่งผมเคยรู้มาว่าแกรู้จักดี แล้วเขาสองคนก็เพิ่งไปเจอกันมาเมื่อปีกลาย ก่อนที่ผมจะได้ไปร่วมงานประชุมวิชาการที่ชิคาโกกับอาจารย์ญี่ปุ่นคนนี้ แต่คราวนี้ผมได้รู้อะไรมากขึ้น ทั้งเกี่ยวกับการที่สองคนนี้ได้รู้จักกัน และเกี่ยวกับงานของมินซ์ที่ผมไม่ได้ติดตามมานานแล้วนับจากอ่านงานคลาสสิคที่มักต้องอ่านกันสองเล่มคือ Worker in the Cane (1960) และ Sweetness and Power (1985) 

มินซ์เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับเอริค วูฟ ทั้งสองคนน่าจะเคยได้เรียนกับ Julian Steward (นักมานุษยวิทยานิเวศที่พูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมมานานก่อนที่นักมานุษยวิทยาปัจจุบันนี้จะหันกลับมาเห่อเรื่องนี้กันอีกครั้งในประเด็น anthropocene) คนเหล่านี้คือกลุ่มที่พัฒนางานของมาร์กซิสต์เพื่อใช้ศึกษาทางมานุษยวิทยา งานพวกเขาจึงมีทั้งเรื่องสังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และเน้นชี้ให้เห็นความเหลื่อมล้ำ กับการเอารัดเอาเปรียบในสังคม เรียกรวม ๆ กันว่า political economy ซิดนี มินซ์เป็นคนที่จับเรื่องนี้ผ่านการศึกษาอาหารอย่างเอาจริงเอาจังมากที่สุด 

อาจารย์ญี่ปุ่นคนนี้เล่าว่า มีอยู่วันหนึ่ง เจ้าหน้าที่ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาเรียกแกไปที่สำนักงาน บอกว่า "เอริค วูฟมาหา" แกบอกว่า "เราตกใจมากเลย เพราะเอริคตายไปนานแล้ว ต้องมีการเข้าใจผิดอะไรกันแน่ ๆ สุดท้าย ที่จริงคนที่มาคือซิดนี มินซ์นั่นเอง"  

แกว่าแกไม่เคยรู้จักมินซ์เป็นการส่วนตัวมาก่อน ที่มินซ์มาหาคงเพราะใครแนะนำมา แล้วอีกอย่างคือมินซ์กับเอริค วูฟก็รู้จักกันดี ผมถามว่า "แล้วมินซ์มาเกียวโตทำไม" อาจารย์ญี่ปุ่นบอกว่า "มาศึกษาเรื่องถั่วเหลือง" แล้วอาจารย์แกก็พามินซ์ตระเวนกินเต้าหู้ไปทั่วเกียวโต นั่นคือที่มาส่วนหนึ่งของหนังสือที่มินซ์บรรณาธิกรร่วมกับ Christine Du Bois และ Chee-Beng Tan หนังสือชื่อ The World of Soy พิมพ์ปี 2008 โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ แล้วแกก็แนะนำให้ผมไปหามาอ่าน 

แกเล่าว่า มินซ์น่าทึ่งมากที่มาสนใจเรื่องนี้ "มินซ์บอกเราว่า เขาชอบศึกษาเรื่องที่คนคิดว่าไม่สำคัญ อย่างถั่วเหลือง สำหรับคนอเมริกัน ไม่เห็นความสำคัญเลย เพราะถือว่าเป็นอาหารสัตว์ แต่สำหรับคนอีกซีกโลก มันคืออาหารที่สำคัญมาก"  

เรื่องที่อาจารย์ญี่ปุ่นประทับใจอีกเรื่องคือการศึกษาการหมักดองอาหาร (fermentation) และจุลินทรย์ (microorganisms) แกบอกว่า "คิดดูสิ มินซ์ดึงเอาเรื่องที่เขาสนใจมาสู่ประเด็นที่มานุษยวิทยาตอนนี้กำลังสนใจ คือเรื่องวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ที่สัมพันธ์กับสังคม"  

แล้วแกก็เปรยว่า "มินซ์เป็นคนที่มีความสนใจกว้างมาก แล้วเขียนหนังสือครอบคลุมเชื่อมโยงอะไรต่าง ๆ ได้มากมายหลากหลายไปหมด สักวันเราอยากขยับไปเขียนเรื่องอาหารบ้าง" ผมนึกในใจว่าใช่เลย ผมก็อยากเขียนเรื่องอาหารบ้างเหมือนกัน 

อีกสองวันเมื่อห้องสมุดเปิด ผมก็เลยรีบแจ้นไปหาหนังสือ The World of Soy มาอ่าน ผมเลือกอ่านเพียงบางบทที่สนใจ คือบทนำที่บรรณาธิการเขียนร่วมกัน บทที่มินซ์เขียน บทต่าง ๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์วัฒนธรรมถั่วเหลือง ในจีนบทหนึ่ง ในเวียดนามบทหนึ่ง และในญี่ปุ่นอีกบท รวม 5 บทนี้ก็ร่วมครึ่งเล่ม อ่านแค่นี้แล้วผมเองก็ได้ความรู้ใหม่มากมาย เช่นว่า...  

- ปัจจุบันสหรัฐฯ กลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดในโลก แม้จะบริโภคเพียงเล็กน้อย เพราะยังไม่คุ้นกับอาหารแปรรูปจากถั่วเหลือง 

- ถ้่วเหลืองเป็นอาหารประเภทที่เป็นพิษ วิธีที่จะกินได้ก็ต้องผ่านกรรมวิธีการผลิต การแปรรูป ที่สำคัญคือต้อง "หมัก" มันก่อน 

- รู้จักประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของเต้าหู้ ที่มามานานหลายพันปี แน่นอนว่าเริ่มต้นในประเทศจีน 

- ได้รู้กรรมวิธีการผลิตเต้าหู้ จากการเอาถั่วเหลืองแช่น้ำ บด กรองแล้วต้มหรือต้มแล้วกรอง ใส่สารทำให้จับตัว (จีนใช้ยิปซั่ม เวียดนามใช้นำส้มหลายชนิด ไม่รู้ว่าญี่ปุ่นใช้อะไร) แล้วรีดน้ำในพิมพ์มีผ้าขาวบางรอง 

- แม้แต่คนจีนก็คิดว่าเต้าหู้จืดเกินไป ต้องกินด้วยการปรุงรสกับเครื่องปรุงต่าง ๆ หรือต้มกับน้ำที่งวดจากการต้มผัก ปลา เนื้อสัตว์ต่าง ๆ กินหมดแล้ว (คือกินแบบเกาเหลาหรือสุกี้นั่นเอง) 

ในบทเรื่องอาหารถั่วเหลืองในญี่ปุ่น นอกจากจะเล่าเรื่องอาหารการกินเกี่ยวกับถั่วเหลืองแล้ว ผู้เขียนคือ Erino Ozeki ยังช่วยให้เข้าใจ "แกนกลางของอาหารญี่ปุ่น" ที่อยู่บนรสชาติ ไม่ใช่ตัวอาหารแปลก ๆ อย่างปลาดิบหรือซูชิ คนเขียนเสนอแนวคิดเรื่อง "เขตวัฒนธรรมอูมามิ" ว่าแบ่งเป็นเขตน้ำปลา (fish sauce) ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับเขตซีอิ้ว (spy sauce) ของเอเชียตะวันออก  

แล้วยังเสนอว่า เดิมทีญี่ปุ่นก็เป็นวัฒนธรรมน้ำปลาแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ่งที่ยังตกค้างคือน้ำแกงแบบ dashi ที่มีปลาแห้งเป็นเครื่องปรุงและให้กลิ่นกับรสชาติหลัก ที่จริงปัจจุบันยังพอหาน้ำปลาได้ในบางท้องถิ่นของญี่ปุ่น ส่วนวัฒนธรรม shoyu (ซีอิ๊ว) กับ miso (ถั่วเน่า) นั้น มาทีหลัง น่าจะรับจากพระที่ไปศึกษาศาสนาพุทธในจีนและจากคนเกาหลีที่รับมาจากจีนอีกต่อหนึ่ง 

นอกจากนั้นโอเซกิยังเล่าเกร็ดเกี่ยวกับอาหารญี่ปุ่นที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง ซึ่งหลายคนที่สนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่นก็คงได้เคยรู้มาบ้าง แต่ผมเพิ่งรู้ชัดเจน เช่นว่า การกินปลาดิบแบบที่เราเห็นกันทุกวันนี้เป็นสิ่งที่เพิ่งมีขึ้นเมื่อมีการผลิตน้ำแข็งในญี่ปุ่นในปลายศตวรรษที่ 19 และเมื่อการขนส่งดีขึ้น คนที่อยู่ไกลทะเลก็จึงได้กินปลาดิบไปด้วย 

ก่อนหน้านั้น เริ่มในคริสตศตวรรษที่ 800 ปลามักจะต้องทำให้สุกถ้าไม่ใช่ด้วยความร้อน ก็ด้วยการหมักกับของเปรี้ยว ดั้งเดิมเลยจึงเป็นปลาซาบะหมักน้ำส้มที่วางบนข้าวเพื่อถนอมปลาในแบบของเมืองนารา สมัยนั้นเขาไม่กินข้าวกัน กินแต่ปลา ซูชิจึงเป็นอาหารชนชั้นสูง หลังจากนั้นจึงมีซูชิแบบทุกวันนี้ แล้วจึงค่อยมีการกินปลาดิบแบบทุกวันนี้เมื่อมีน้ำแข็ง 

ในบริบทของการกินอยู่ในประเทศญี่ปุ่นของผมในขณะนี้ หนังสือเล่มนี้จึงช่วยให้การกินของผมมีรสชาติมากขึ้น ที่สำคัญคือไม่โรแมนติไซส์ความดั้งเดิมของรสชาติ แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า อาหารในแต่ละวัฒนธรรมก็มักมี "ความดื้อดึงต้านทานการเปลี่ยนแปลง" (ตามคำของโอเซกิ) อยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานเสมอ อาหารเปลี่ยน คนเปลี่ยน พร้อม ๆ กับที่อาหารสร้างเขตแดนและมีนักอนุรักษนิยมในการกินเสมอ  

นี่คงเป็นมรดกหนึ่งที่ซิดนี มินซ์ฝากไว้ให้ก่อนจากโลกไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ให้คนศึกษามิติซับซ้อนของอาหารและการกิน ทั้งทางวัฒนธรรม การเมือง รสชาติ เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลง ไปจนกระทั่งถึงมิติทางกายภาพ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สมกับที่เขาเป็นนักวัตถุนิยมประวัติศาสตร์

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เพ่ิงกินอาหารเย็นเสร็จ วันนี้ลงมือทำสเต็กเนื้อ เนื้อโคขุนไทยๆ นี่แหละ ต้องชิ้นหนาๆ หน่อย ย่างบนกะทะเหล็กหนาๆ ที่หอบหิ้วมาจากอเมริกา เป็นกะทะเทพมากๆ เพราะความร้อนแรงดีมาก ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที เกรียมได้ที่ทั้งสองด้าน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"การศึกษา" ต้องการพื้นที่ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เมื่อความรู้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อการเรียนรู้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของสถาบันการศึกษาเพียงเท่านั้น พื้นที่การเรียนรู้ก็ย่อมจะต้องเปลี่ยนไปด้วย แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกการเรียนรู้ ยังมีคนบางกลุ่มดื้อรั้นขัดขวางการเปลี่ยนแปลง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 แน่นอนว่าโฆษณาโปรแกรมเรียนภาษาไทย (บางคนบอกเป็นแค่ตลกล้อเลียน?) ที่เป็นข่าว 2-3 วันที่ผ่านมานั้น ตั้งอยู่บนอคติทางเพศ ดูถูกเพศหญิงว่าเป็นวัตถุทางเพศ ดูถูกเพศชายว่าจ้องเสพสุขทางเพศท่าเดียว (หรือหลายท่า?) สร้างภาพเหมารวมให้คนไทยและสังคมไทยไร้ศีลธรรม (ดูสิ เราออกจะเมืองพุทธ เมืองพระ) แต่ที่ยังน่าจะต้องทำความเข้าใจคือ ปฏิกิริยาที่คนไทยมีต่อวิดีโอล้อเลียนนี้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อเขียนนี้พยายามทำความเข้าใจตรรกะของพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงแสดงไว้ในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ว่าพระองค์มีทัศนะต่อแนวคิด The King Can Do No Wrong อย่างไร และมาตรา 112 ควรแก้ไขเพราะเหตุใด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การตัดสินคดีของสมยศ พฤกษาเกษมสุขและอีกหลายๆ คดีก่อนหน้านี้ด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 (ม.112) ชี้ให้เห็นยิ่งขึ้นทุกวันว่า รัฐไทยกำลังสร้างความรักด้วยการใช้กำลังข่มเหงให้ประชาชนรักประมุขของประเทศ หาใช่การส่งเสริมให้เกิดความรักประมุขจากใจจริงของประชาชนไม่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
งานวิจัยทางสังคมศาสตร์ที่ดี โดยเฉพาะงานทางมานุษยวิทยา มักมีแรงขับจากอารมณ์ใคร่บางอย่าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากเรียกร้องเรื่องทรงผม ก็ต้องเรียกร้องเรื่องชุดนักเรียนนักศึกษาด้วย จะได้เป็นก้าวแรกของการอภิวัฒน์การศึกษาไทยอย่างจริงจังเสียที พวกผู้ใหญ่ที่คอยเรียกร้องนักเรียนกับครูอาจารย์ ให้สอนให้เด็กรู้จักคิดน่ะ พวกท่านเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า ชุดนักเรียนนักศึกษาเป็นปราการปิดกั้นเสรีภาพการคิดอย่างไร และเด็กๆ เองก็ควรเข้าใจด้วยว่า การควบคุมเรือนร่างเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมแบบอำนาจนิยมอย่างไร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข่าวการเสียชีวิตของอาจารย์พัฒนา กิติอาษาเมื่อเช้าตรู่วานนี้ (10 มกราคม 2556) คงไม่เป็นที่สนใจของใครต่อใครนอกแวดวงวิชาการสังคมศาสตร์มากนัก แต่นี่นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของแวดวงสังคมศาสตร์ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากพวกคุณวิจัยสำรวจอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ พวกคุณก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่า ชัยชนะจากคะแนนเสียงที่ "ไม่่่ท่วมท้นนัก" ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มาจากกลุ่มคนที่มีความหวังว่าเพื่อไทยจะเป็นเดินหน้าพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทยอย่างจริงจังเสียที
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สังคมไทยมีสังคมแบบหนึ่งที่แทรกซ้อนอยู่ในสังคมขนาดใหญ่ คือสังคมดัดจริต สังคมดัดจริตไม่ได้มีขนาดใหญ่โต แต่เป็นสังคมของคนชั้นกลางและคนใหญ่คนโตที่กำลังเสื่อมอำนาจ สังคมดัดจริตคอยผลิตวัฒนธรรมดัดจริตเพื่อทำให้ตนเองดูดีมีหลักการ เพื่อให้ตนเองอยู่เหนือคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีจริตจะดัด และเหนืออื่นใดคือเพื่อปกป้องฐานะอำนาจของตนเอง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้ คือวันที่ 1 มกราคม 2556 ผมลองคิดบวกดูบ้าง คือคิดแบบเข้าข้างตนเองทบทวนดูว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาได้ทำอะไรใหม่ๆ ให้ตนเองบ้าง คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองผมคือ ได้อ่านหนังสืออะไรที่นับว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บ้าง แล้วก็คิดไปเรื่อยว่า ได้ทำอะไรที่ให้การเรียนรู้ใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ คิดอะไรใหม่ๆ บ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ยามปีใหม่ ยากที่จะหาของขวัญที่ไม่กลายเป็นขยะในชั่วข้ามคืนได้ เพื่อนชาวอเมริกันที่ผมรู้จักหลายคน ซึ่งดูท่าจะทั้งเป็นนักช้อปและเป็นคนช่างมีเหตุผล ก็เลยใช้วิธีให้เด็กๆ เขียนลิสต์รายการสิ่งของที่อยากได้ยามสิ้นปี เพื่อเป็นหลักประกันว่าของที่ซื้อมาให้จะถูกใจผู้รับสักชิ้นหนึ่ง