Skip to main content

รู้กันนะครับว่า เวลาที่เราเรียกว่า "หล่อๆ" นี่ ไม่ใช่ว่าต้องเป็นผู้ชาย ผู้หญิงก็หล่อได้ เพราะมันหล่อในสำนวน ในการแสดงออก ในท่าที ทั้งๆ ที่หน้าตาไม่ต้องหล่อก็ได้ แต่หล่อที่คำพูด 

เซเล็บหลายคนชอบโพสต์ข้อความหล่อๆ อย่างหล่อลอยๆ ก็เช่นแปะข่าวที่มีข้อถกเถียงแล้วเขียนว่า "อีกมุมมองหนึ่ง" ดูไปเขาก็เห็นด้วยกับข้อความนั้นนั่นแหละ แต่กลัวไม่หล่อ กลัวเสียสาวก กลัวเสียแม่ยก กลัวเรียกน้ำลายไม่ได้ กลัวเสีย Like ก็เลยทำได้แค่แหย่ๆ สงวนท่าที ประทังความหล่อของตัวเองไว้  

ยังไงหล่อแบบนั้นก็ไม่ถึงกับเลวร้ายเท่าหล่อไม่รับผิดชอบ คือหล่อแบบเอาทุกทาง หล่อแบบรักทุกคน หล่อแบบไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจน หล่อแบบรักษาตัวรอดเสมอ หล่อแบบอยู่ทุกฝ่าย หล่อแบบ "ที่คุณว่าก็ดีนะ แต่ที่อีกฝ่ายหนึ่งเขาพูดก็ต้องพิจารณา" ไม่ก็ "อย่าเอาผมไปอยู่ข้างคุณเลย" "ฉันถูกนับเป็นทุกฝ่ายแหละ" 

คือหล่อแบบกลัวเสียสาวกน่ะ อย่างน้อยเราก็พอเดาได้ว่ามีความคิดไปทางไหนบ้าง แต่เขากลัวๆ กล้าๆ ก็เลยไม่ยืนยันจริงๆ จังๆ ว่า ตกลงคิดยังไงแน่ ซึ่งบางทีก็ทำให้คนเขาตีความกันวุ่น ชุลมุนกันไปหมด ทำเอาสาวกงงหลายตลบ เดินตามไม่ถูก เอาใจไม่ทัน  

ความหล่อที่ผมว่าเลวร้ายยิ่งกว่าคือ การเป็นนักวิชาการหล่อๆ หล่อแบบทำตัวอยู่เหนือสถานการณ์ หล่อแบบวิจารณ์ทุกฝ่าย วิธีหล่อแบบนี้คือการแสดงว่าตัวเองมองโลกจากเบื้องบน มองลงมาเห็นหมด เห็นทุกแนวโน้มทุกมุมมอง แล้วก็เปล่งวาจาว่า "หึหึ อย่าทะเลาะกันเลย พวกสูผิดหมดนั่นแหละ" "หรือถ้าเป็นพวกไม่เสนอทางออกก็จะออกแนวว่า "รักกันไว้ดีกว่า" "เก็บแรงไว้ไปทำงานวิชาการเถอะ"  

แต่พวกนักวิชาการหล่อจะพิศดารยิ่งกว่านั้น หล่อวิชาการจะแอบซ่อนความเห็นของตนเองไว้ในท่าทีที่ยอกย้อนพิสดาร แต่อย่างน้อยหากใครจะหล่อด้วยการหลบท่าทีตนเองในข้อเขียนที่พิศดาร ผมก็ยังคิดว่าถ้าอ่านเขาออกแล้ว เขาก็ยังมีทิศทางที่ชัดเจน อ่านได้ หาเจอได้ในที่สุด ก็ยังดีกว่าอีกพวกคือหล่อนักวิชาการที่เน้นประคองตัวเหนือสถานการณ์อย่างเดียว 

นักวิชาการที่หล่อเหนือโลกสุดๆ น่ะ เขาจะหล่อด้วยการเขียนอะไรด้วยความคิดยากๆ ยากจนต้องตีความไปตีความมา จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้ว่าตกลงกำลังพูดอะไรแน่ นั่นคือหล่อแบบทำตัวดูฉลาดเหนือโลกจนไม่ไปทางไหนสักทาง เป็นหล่อถนอมน้ำใจ หล่อบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น หล่ออ้อมๆ แอ้มๆ หล่ออ้อมไปอ้อมมาจนคนที่จะต้องถูกวิจารณ์กลับเข้าใจว่ากำลังชมเขาไปเลย 

หล่อแบบนี้มีมากเหมือนกัน หล่อแบบนี้ทำให้หากินได้หลายแวดวง หล่อแบบนี้อาจมีท่าทีสำคัญบางอย่างที่เขาไม่ประนีประนอมด้วยหรอก แต่เมื่อเขาถูกเรียกร้องให้ต้องแสดงท่าทีกับอะไรบางอย่างที่อาจจะกระทบกับสาวกหรือเครือข่ายที่เขาบูชาแล้ว เขาจะหลบความชัดเจนอยู่หลังความหล่อเหลือโลก 

ผมเองก็เคยอยากหล่อ อยากมีสาวกมากมาย อยากอยู่เหนือสถานการณ์ เหนือกาลเวลา แต่เมื่อพบว่าไม่ว่าจะพยายามหล่อขนาดไหน มันก็ไม่พ้นว่าจะต้องเป็นแบบใดอยู่ดี จะต้องเกลือกกลั้วทางใดทางหนึ่งอยู่ดี ผมก็เลยเลิกอยากหล่อ  

นักเขียน-นักวิชาการหลายคนขณะนี้ก็หล่อน้อยลง บางคนก็เลิกหล่อไปเลย แต่บางคนยังหล่ออยู่ในหลายๆ แบบข้างต้น บางคนเพิ่งเห่อความหล่อ ไม่ก็ยังหลงคิดว่าตัวเองหล่ออยู่ แต่ถ้าถ้าจะเลือกไม่หล่อ ก็ขออย่าให้กลายเป็นพวกเกรียนจนเที่ยวไล่บี้ bully ใครต่อใครก็พอ

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้เป็นวันระลึก "เหตุการณ์ 28 กุมภาพันธ์" 1947 หรือเรียกกันว่า "228 Incident" เหตุสังหารหมู่ประชาชนทั่วประเทศไต้หวัน โดยรัฐบาลที่เจียงไคเชกบังคับบัญชาในฐานะผู้นำก๊กมินตั๋งในจีนแผ่นดินใหญ่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มีเพื่อนขอให้ผมช่วยแนะนำร้านอาหารในฮานอยให้ แต่เห็นว่าเขาจะไปช่วงสั้นๆ ก็เลยแนะนำไปไม่กี่แห่ง ส่วนร้านเฝอ ขอแยกแนะนำต่างหาก เพราะร้านอร่อยๆ มีมากมาย เอาเฉพาะที่ผมคุ้นๆ แค่ 2-3 วันน่ะก็เสียเวลาตระเวนกินจนไม่ต้องไปกินอย่างอื่นแล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มีวันหนึ่ง อาจารย์อคินเดินคุยอยู่กับอาจารย์ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่ง ผมเดินตามทั้งสองท่านมาข้างหลังอย่างที่ทั้งสองท่านรู้ตัวดี ตอนนั้นผมกำลังเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา หรือไม่ก็เรียนจบกลับมาแล้วนี่แหละ อาจารย์อคินไม่รู้จักผม หรือรู้จักแต่ชื่อแต่ไม่เคยเห็นหน้า หรือไม่ก็จำหน้าไม่ได้ ผมแอบได้ยินอาจารย์อคินเปรยกับอาจารย์อีกท่านว่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คืนวาน วันฮาโลวีน นักศึกษาชวนผมไปพูดเรื่องผี ปกติผมไม่อยู่รังสิตจนมืดค่ำ แต่ก็มักใจอ่อนหากนักศึกษาชวนให้ร่วมเสวนา พวกเขาจัดงานกึ่งรื่นเริงกึ่งเรียนรู้ (น่าจะเรียกว่าเริงรู้ หรือรื่นเรียนก็คงได้) ในคืนวันผีฝรั่ง ในที่ซึ่งเหมาะแก่การจัดคือพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยา เพราะมีของเก่าเยอะ ก็ต้องมีผีแน่นอน ผมก็เลยคิดว่าน่าสนุกเหมือนกัน 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไม่ถึงกับต่อต้านกิจกรรมเชียร์อย่างรุนแรง เพราะคนสำคัญใกล้ตัวผมก็เป็นอดีตเชียร์ลีดเดอร์งานบอลประเพณีฯ ด้วยคนหนึ่ง และเพราะอย่างนั้น ผมจึงพบด้วยตนเองจากคนใกล้ตัวว่า คนคนหนึ่งกับช่วงชีวิตช่วงหนึ่งของมหาวิทยาลัยมันเป็นเพียงแค่ส่วนเสี้ยวหนึ่งของพัฒนาการของแต่ละคน แต่ก็ยังอยากบ่นเรื่องการเชียร์อยู่ดี เพราะความเข้มข้นของกิจกรรมในปัจจุบันแตกต่างอย่างยิ่งจากในสมัยของผม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมเพิ่งไปเก็บข้อมูลวิจัยเรื่องการรู้หนังสือแบบดั้งเดิมของ "ลาวโซ่ง" ในไทยที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ได้ราว 2 วัน ได้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับประเด็นที่สนใจ แต่ก็ได้อย่างอื่นมาด้วยไม่น้อยเช่นกัน เรื่องหนึ่งคือความรู้เกี่ยวกับปลา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันก่อนปฐมนิเทศนักศึกษาปริญญาโท-เอกของคณะ ในฐานะคนดูแลหลักสูตรบัณฑิตศึกษาทางมานุษยวิทยา ผมเตรียมหัวข้อมาพูดให้นักศึกษาฟัง 4 หัวข้อใหญ่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ชื่อโมเฮน-โจ-ดาโรแปลตามภาษาซินธ์ (Sindh) ว่า "เนิน (ดาโร) แห่ง (โจ) ความตาย (โมเฮน)" เหตุใดจึงมีชื่อนี้ ผมก็ยังไม่ได้สอบถามค้นคว้าจริงจัง แต่ชื่อนี้ติดหูผมมาตั้งแต่เรียนปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน และเพราะโมเฮนโจดาโรและเมืองคู่แฝดที่ห่างไกลออกไปถึง 600 กิโลเมตรชื่อ "ฮารัปปา" นี่แหละที่ทำให้ผมชอบวิชาโบราณคดีและทำให้อยากมาปากีสถาน 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ก่อนมา รู้อยู่แล้วว่าปากีสถานช่วงเดือนนี้คือเดือนที่ร้อนมาก และก็เพิ่งรู้ว่าเดือนนี้แหละที่ร้อนที่สุด แต่ที่ทำให้ “ใจชื้น” (แปลกนะ เรามีคำนี้ที่แปลว่าสบายใจ โดยเปรียบกับอากาศ แต่ที่ปากีสถาาน เขาคงไม่มีคำแบบนี้) คือ ความร้อนที่นี่เป็นร้อนแห้ง ไม่ชื้น และจึงน่าจะทนได้มากกว่า 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ครึ่งวันที่ผมมีประสบการณ์ตรงในกระบวนการยุติธรรมไทย บอกอะไรเกี่ยวกับสังคมไทยมากมาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมลองเอากรณีทุบรถกับทุบลิฟมาเปรียบเทียบกัน แล้วก็เห็นความแตกต่างกันมากหลายมุม ได้เห็นความเหลื่อมล้ำของสังคมที่สนใจกรณีทั้งสองอย่างไม่สมดุลกัน แต่สุดท้ายมันบอกอะไรเรื่องเดียวกัน คือความบกพร่องของสถาบันจัดการความขัดแย้งของประเทศไทย 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คนรุ่นใหม่ครับ...