Skip to main content

ผมอ่านงานจิตรครั้งแรกๆ ก็ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรี ตอนนั้นเมื่อออกจากโลกโรงเรียนก็รู้สึกว่า โลกหนังสือของห้องสมุดธรรมศาสตร์ช่างกว้างใหญ่มาก กว้างใหญ่กว่าห้องสมุดแห่งชาติที่สมัยเรียนมัธยมผมชอบไปสิงอยู่มากนัก นี่กล่าวเฉพาะหนังสือที่น่าอ่านเกี่ยวกับสังคม วัฒนธรรม ปรัชญา และศาสนา

เนื่องจากปีนั้นเป็นปีแรกที่นักศึกษาธรรมศาสตร์ต้องเรียนที่รังสิต 1 ปี ห้องสมุดที่ มธ. รังสิตยังโหรงเหรงมาก หนังสือแทบจะไม่มี แต่พอพบว่าห้องสมุดธรรมศาสตร์ที่ท่าพระจันทร์ดีเหลือหลาย เป็นคลังความรู้มหาศาล ผมก็แทบจะไม่ได้เข้าห้องเรียนปี 1 ที่รังสิตอีกเลย ส่วนใหญ่มาขลุกอยู่ห้องสมุดที่ท่าพระจันทร์ (กับมุ่งมั่นฝึกเขียนรูปเพราะอยากย้ายไปเรียนศิลปะที่ศิลปากร)  

ที่ห้องสมุดธรรมศาสตร์ หนังสือของจิตรเล่มแรกๆ ที่ผมอ่านไม่ใช่ "โฉมหน้าศักดินาไทย" เพราะขณะนั้นจำได้ว่าหนังสือเล่มนี้ยังเป็นหนังสือต้องห้ามอยู่ ยังอ่านไม่ได้ แต่ภายหลังเมื่อได้อ่านแล้วก็ไม่ชอบนัก ไม่ประทับใจเท่าใดนัก ผมกลับชอบ "สังคมไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยาก่อนสมัยอยุธยา" มากกว่า อ่านแล้วเปิดหูเปิดตามาก แทบจะเป็นการกระแทกทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเรียนมาทั้งหมด ในสายตาของเด็กที่เพิ่งจบมัธยมมา  

สมัยนั้นเพื่อนร่วมรุ่นผมคนหนึ่งคลั่งไคล้งานของจิตรมาก เขาเป็นคนเรียนเก่งมาก ผมรู้จักเขาเพราะเรียน รด. ด้วยกัน เป็นนักเรียน รด. กลุ่มเล็กๆ เพราะพวกเราออกจากโรงเรียนก่อน ม. 6 ก็เลยต้องมาเรียน รด. ต่ออีกปีตอนเรียนปี 1 ซึ่งก็ทำให้ได้เจอเพื่อนต่างคณะหลายคน รวมทั้งคนนี้แหละ เพื่อนๆ เรียกเขาว่า "ไอ้หลง" ไอ้หลงมาเรียน รด. ทีไรหอบหนังสือ 4-5 เล่มมาตลอด  

ผมกับหลงมักคุยกันเรื่องงานเขียนของจิตร ที่จริงไอ้หลงมันคุมบทสนทนามากกว่า เพราะมันช่างพูด ผมชอบฟังมันด้วย น้ำเสียงมันเพราะดีกับมันพูดจาภาษาไทยเพราะดี มันชอบภาษาและวรรณคดี แล้วมันก็บรรยายความงามของงานบทกวีของจิตรได้สนุกมาก มันเอาไปเทียบกับงานท่านจันทร์ เทียบกับใครต่อใครที่ผมไม่รู้จักอีกหลายคน แล้วมันก็อธิบายความงามของเพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" ให้ฟังอย่างจับใจ ผมก็เลยต้องพลอยไปหางานเขียนบทกวีของจิตรมาอ่านบ้าง แต่ก็ไม่ได้ใจความอะไรลึกซึ้งเท่าที่ไอ้หลงมันอ่านหรอก 

นอกจาก "สังคมไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยาฯ" แล้ว งานเขียนประวัติศาสตร์ที่ผมชอบมากคือ "ตำนานแห่งนครวัด" เล่มนี้อ่านรวดเดียวจบ อ่านสนุกมาก เพราะนอกจากได้ความรู้ต่างๆ แล้ว จิตรเขียนด้วยลีลาการประพันธ์แบบการเดินทางท่องเที่ยว ที่ตัวเขาเองที่สวมบทผู้เล่าที่ดูเหมือนไม่มีความรู้อะไรมากมาย แต่เล่าไปเล่ามาได้สนุกสนานมาก และนั่นเป็นครั้งแรกๆ ที่ทำให้ผมสนใจประวัติศาสตร์กัมพูชาและประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากเล่มนั้นผมหางานเกี่ยวกับนครวัดอ่านอีกหลายเล่ม แต่ไม่มีเล่มไหนประทับใจเท่าที่จิตรเขียน 

เดิมทีผมก็คิดว่าจิตรเขียนแต่งานประวัติศาสตร์ แล้วก็มองข้ามงาน "ความเป็นมาของคำสยามฯ" ส่วนหนึ่งคงเพราะเป็นหนังสือเล่มหนามาก แล้วขณะนั้นก็คิดว่าอ่านยากมาก แต่หลังๆ มาผมคิดว่า ในบรรดาหนังสือของจิตร ผมชอบงานเขียนแนวชาติพันธ์ุของเขามากที่สุด 

สารภาพเลยว่าครั้งแรกที่ได้อ่าน "ความเป็นมาของคำสยามฯ" ผมกำลังเรียนปริญญาเอก พอดีไปเยี่ยมญาติพ่อที่ทางใต้ บ้านเก่าของพ่ออยู่ริมทะเล ไปอยู่นั่นวันๆ ไม่มีอะไรทำ นั่นแหละถึงได้นั่งอ่านหนังสือเล่มนี้จริงๆ จังๆ นอนในเปลอ่านริมทะเลอย่างสนุกสนานรวดเดียวจบ แล้วได้มาอ่านจริงจังอีกครั้งก็เมื่อ บก. ธนาพล แห่งฟ้าเดียวกัน ให้มาพูดเปิดตัวโครงการพิมพ์หนังสือจิตร ภูมิศักดิ์อีกครั้งหนึ่งที่ธรรมศาสตร์  

สุดท้ายบทความชิ้นนี้ของผมไปพิมพ์ใน "ศิลปวัฒนธรรม" เป็นบทความชิ้นแรกและชิ้นเดียวในชีวิตผมที่ได้รับเกียรติจากวารสารนี้ (แต่ปัจจุบันนี้มหาวิทยาลัยและ สกอ. ไม่ให้ค่าบทความที่พิมพ์ในศิลปวัฒนธรรมนะครับ) 

มีครั้งหนึ่งที่หยิบหนังสือ "ภาษาละหุหรือมูเซอร์" ของจิตรมาอ่าน แต่แล้วไม่ค่อยเข้าใจ เข้าใจว่าเป็นผลงานที่จิตรเองไม่ได้เขียนเป็นเรื่องเป็นราวเท่ากับว่าจะรวมรวมคำศัพท์และเรื่องเล่าบางอย่าง แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของผลงานในคุกที่เขาเขียนจากการสัมภาษณ์คนละหุที่มาติดคุกด้วยกัน   

หนังสืออีกเล่มที่อ่านจริงจังคือ "โองการแช่งน้ำฯ" นี่ก็อ่านหลังจบปริญญาเอก อ่านรวดเดียวจบเช่นกัน ตอนนั้นเป็นงานครบรอบจิตรเช่นกัน แต่เป็นที่จุฬาฯ จัด เป็นงานใหญ่ มีนักวิชาการรุ่นเดียวกับผมหลายคนอ่านงานจิตรแล้วมาเสนอความเห็นใหม่ๆ หลายอย่าง นอกจากนั้นยังได้ฟังทัศนะของนักวิชาการรุ่นใหญ่อย่างอาจารย์ยิ้ม โต้โผจัดงานครั้งนั้น สุดท้ายงานผมกลายมาเป็นบทความรวมเล่มอยู่ในหนังสือรวมบทความเกี่ยวกับจิตรที่อาจายร์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐเป็นบรรณาธิการ 

อีกเล่มที่อ่านค่อนข้างจริงจังคือ "ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน" อ่านเพื่อไปพูดเรื่องศิลปะเพื่อชีวิตที่ร้านหนังสือก็องดิด ตอนนั้นร้านยังอยู่ที่ถนนตะนาว ผมอ่านไปหงุดหงิดไปกับวิธีคิดทางศิลปะของจิตร แล้วเถียงในใจไปตลอด ผมเอาวิธีคิดเกี่ยวกับศิลปะแบบมาร์กซิสต์ของ Raymond Williams ไปเถียงด้วยตลอด เพราะเห็นว่าข้อเสนอของจิตรแข็งทื่อเกินไป เสียดายที่ยังไม่มีโอกาสเขียนร่างที่พูดตอนนั้นเป็นบทความสักที ขณะนี้ก็คงหาร่างนั้นไม่เจอแล้วด้วย 

งานของจิตรที่ผมอ่านส่วนใหญ่อ่านสนุก อ่านแล้วชวนให้คิด ชวนให้เถียง มีทั้งหลักฐานและหลักเหตุผลที่หนักแน่นมาก แต่เขาก็เขียนหนังสือแบบท้าทาย เขียนด้วยภาษาที่เหมือนการเล่าเรื่อง เมื่อจบปริญญาเอกแล้วกลับมาสอนหนังสือ ผมให้นักศึกษาอ่านงานของจิตรมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ความเป็นมาฯ" ผมให้นักศึกษาอ่านทุกปี ไม่ว่าจะชั้นปริญญาตรี โท หรือเอก ผมคิดว่า ถ้านักศึกษารุ่นหลังๆ จะไม่รู้จักงานเขียนที่ยิ่งใหญ่ของนักวิชาการไทยคนไหนเลย อย่างน้อยเขาจะต้องรู้จักและได้อ่านงานของจิตร ภูมิศักดิ์

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลายคนคงเป็นแบบผม คือพยายามข่มอารมณ์ฝ่าฟันการสบถของท่านผู้นำ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตั้งแต่ที่ผมรู้จักงานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์มา มีปีนี้เองที่ผมคิดว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่มีความหมาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ปี 2558 เป็นปีที่คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีอายุครบ 50 ปี นับตั้งแต่เริ่มเป็นแผนกอิสระในคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มาตั้งแต่ปี 2508
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เปิดภาคการศึกษานี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นคือ วันแรกที่ไปสอน (ผมสอนอังคาร, พฤหัสบดี ครั้งละ 1 ชั่วโมง 15 นาที) มีนักเรียนมาเต็มห้อง เขากำหนดโควต้าไว้ที่ 34 คน แต่หลังจากผมแนะนำเค้าโครงการบรรยาย คงเพราะงานมาก จุกจิก ก็มีคนถอนชื่อออกไปจำนวนหนึ่ง คืนก่อนที่จะไปสอนครั้งที่สอง ผมก็เลยฝันร้าย คือฝันว่าวันรุ่งขึ้นมีนักเรียนมาเรียนแค่ 3 คน แล้วเรียนๆ ไปนักเรียนหนีหายไปเหลือ 2 คน แต่พอตื่นไปสอนจริง ยังมีนักเรียนเหลืออีก 20 กว่าคน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อได้ทราบว่าอาจารย์เก่งกิจทำวิจัยทบทวนวรรณกรรมด้านชนบทศึกษา โดยลงแรงส่วนหนึ่งอ่านงาน “ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย” (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “ทบทวนภูมิทัศน์ฯ”) (อภิชาต ยุกติ นิติ 2556) ที่ผมมีส่วนร่วมกับนักวิจัยในทีมทั้งหมด 6 คนในตอนแรก และ 9 คนในช่วงทำวิจัยใหญ่ [1] ผมก็ตื่นเต้นยินดีที่นานๆ จะมีนักวิชาการไทยอ่านงานนักวิชาการไทยด้วยกันเองอย่างเอาจริงเอาจังสักที 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จะให้ผมเขียนเรื่องอุปสรรคขัดขวางโลกวิชาการไทยต่อการก้าวขึ้นสู่ความเป็นเลิศในระดับนานาชาติไปอีกเรื่อยๆ น่ะ ผมก็จะหาประเด็นมาเขียนไปได้อีกเรื่อยๆ นั่นแหละ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ถ้านับย้อนกลับไปถึงช่วงปีที่ผมเริ่มสนใจงานวิชาการจนเข้ามาทำงานเป็นอาจารย์ ก็อาจนับได้ไปถึง 25 ปีที่ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงในโลกวิชาการไทย ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่สำคัญคือการบริหารงานในมหาวิทยาลัย แต่ขอยกเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เพราะหากค่อยๆ ดูเรื่องย่อยๆ ไปเรื่อยๆ แล้วก็น่าจะช่วยให้เห็นอะไรมากขึ้นว่า การบริหารงานวิชาการในขณะนี้วางอยู่บนระบบแบบไหน เป็นระบบที่เน้นสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการในเชิงปริมาณหรือคุณภาพกันแน่ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
บอกอีกครั้งสำหรับใครที่เพิ่งอ่านตอนนี้ ผมเขียนเรื่องนี้ต่อเนื่องกันมาชิ้นนี้เป็นชิ้นที่ 5 แล้ว ถ้าจะไม่อ่านชิ้นอื่นๆ (ซึ่งก็อาจชวนงงได้) ก็ขอให้กลับไปอ่านชิ้นแรก ที่วางกรอบการเขียนครั้งนี้เอาไว้แล้ว อีกข้อหนึ่ง ผมยินดีหากใครจะเพิ่มเติมรายละเอียด มุมมอง หรือประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป แต่ขอให้แสดงความเห็นแบบ "ช่วยกันคิด" หน่อยนะครับ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อันที่จริงวิทยานิพนธ์เป็นส่วนน้อยๆ ของโลกวิชาการอันกว้างใหญ่ และเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเป็นนักวิชาการ แต่วิทยานิพนธ์ก็เป็นผลงานที่อาจจะดีที่สุดของนักวิชาการส่วนใหญ่ แต่สังคมวิชาการไทยกลับให้คุณค่าด้อยที่สุด พูดอย่างนี้เหมือนขัดแย้งกันเอง ขอให้ผมค่อยๆ อธิบายก็แล้วกันครับ
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ก่อนเริ่มพูดเรื่องนี้ ผมอยากชี้แจงสักหน่อยนะครับว่า ที่เขียนนี่ไม่ใช่จะมาบ่นเรื่อยเปื่อยเพื่อขอความเห็นใจจากสังคม แต่อยากประจานให้รู้ว่าระบบที่รองรับงานวิชาการไทยอยู่เป็นอย่างไร ส่วนจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร อย่าถามผมเลย เพราะผมไม่มีอำนาจ ไม่ต้องมาย้อนบอกผมด้วยว่า "คุณก็ก้มหน้าก้มตาทำงานไปให้ดีที่สุดก็แล้วกัน" เพราะถ้าไม่เห็นว่าสิ่งที่เล่าไปเป็นประเด็นก็อย่าสนใจเสียเลยดีกว่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมขอเริ่มที่เรืองซึ่งถือได้ว่าเป็นยาขมที่สุดของแวดวงมหาวิทยาลัยไทยเลยก็แล้วกัน ที่จริงว่าจะเขียนเรื่องการผลิตความรู้ก่อน แต่หนีไม่พ้นเรื่องการสอน เพราะนี่เป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการทำงานวิชาการในไทยมากถึงมากที่สุดเลยก็ว่าได้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อผมมาสอนหนังสือถึงได้รู้ว่า วันครูน่ะ เขามีไว้ปลอบใจครู ก็เหมือนกับวันสตรี เอาไว้ปลอบใจสตรี วันเด็กเอาไว้หลอกเด็กว่าผู้ใหญ่ให้ความสำคัญ แต่ที่จริงก็เอาไว้ตีกินปลูกฝังอะไรที่ผู้ใหญ่อยากได้อยากเป็นให้เด็ก ส่วนวันแม่กับวันพ่อน่ะอย่าพูดถึงเลย เพราะหากจะช่วยเป็นวันปลอบใจแม่กับพ่อก็ยังจะดีเสียกว่าที่จะให้กลายเป็นวันฉวยโอกาสของรัฐไทยอย่างที่เป็นอยู่นี้