Skip to main content

ขอให้อาจารย์หยุดใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชังในสังคม

ผมอ่านข้อเขียนอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ในชื่อ “เด็กก้าวร้าว : สัญญาณปฏิวัติวัฒนธรรม?” ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของ “สยามเทศะ” ในวันที่ 19 กันยายน 2563 อย่างหดหู่ หากชื่อศรีศักร วัลลิโภดมจะเป็นใครที่ไร้ค่าทางสังคมและแวดวงวิชาการ ผมก็คงไม่อยากเสียเวลาใส่ใจ ยิ่งกับข้อเขียนที่เต็มไปด้วยการสร้างความเกลียดชังและความอ่อนด้อยของการวิเคราะห์ด้วยแล้ว ผมก็ไม่ค่อยจะอยากเสียเวลาอ่านจนจบ  
 
แต่ความเป็นครูบาอาจารย์ของอาจารย์ศรีศักรหรือใครก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้ผู้คนต้องกราบไหว้บูชาอย่างแตะต้องวิจารณ์เขาไม่ได้เสมอไป หรือกระทั่งต้องตักเตือนกันบ้างหากจำเป็น เพราะไม่อย่างนั้นมนุษยชาติก็คงไม่จำเป็นต้องสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ มาจนมีโลกยุคปัจจุบัน ข้อเขียนที่ผมกล่าวถึงนี้ แสดงความอ่อนด้อยและส่อว่าจะเป็นอันตรายแก่สังคมในหลายประการด้วยกัน
 
ประการแรก ข้อเสนอสำคัญของอาจารย์ศรีศักรวางอยู่บนการกล่าวหาที่เลื่อนลอย นั่นคือข้อสรุปที่ว่า การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษามีนักการเมือง “ปลุกระดม” อยู่เบื้องหลัง ข้อสรุปนี้สำคัญเพราะนำไปสู่การค้นหาข้อมูลมาสนับสนุนมากมายว่าการปลุกระดมคนรุ่นใหม่ในหลายสังคมในอดีตก่อผลเสียต่อสังคมนั้นๆ หากแต่อาจารย์ต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่า นักเรียนนักศึกษาที่เคลื่อนไหวเรียกร้องการปฏิรูปด้านต่างๆ ของสังคมไทยอยู่ในขณะนี้ เขาถูกปลุกระดมจากนักการเมืองพรรคฝ่ายค้านอย่างไร เพราะข้อเท็จจริงนี้คือต้นเรื่องของบทความนี้ทั้งหมด
 
การเชื่อมโยงสิ่งที่เชื่อว่าเป็นข้อเท็จจริงข้างต้นกับข้อสรุปที่ว่าการเคลื่อนไหวนี้เป็น “การปฏิวัติวัฒนธรรมในยุคสงครามเย็น” ก็ยังผิดฝาผิดตัว อาจารย์คงรู้ไม่น้อยไปกว่าคนทั่วไปว่า การปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีนนั้น ได้รับการส่งเสริมโดยรัฐ ไม่ใช่เกิดจากการตื่นตัวเพื่อลุกขึ้นสู้กับรัฐอย่างกรณีนักศึกษาในประเทศไทยขณะนี้ แต่ที่ตรงกันข้ามกันนั้น รัฐไทยด้านที่อาจารย์ศรีศักรดูจะเอาใจช่วยอยู่นั่นแหละ ที่ได้ปลุกปั่นเยาวชนให้หวาดกลัวคอมมิวนิสต์มาในยุคสงครามเย็น จนมีส่วนก่อกรรมกระทำรุนแรงต่อนักศึกษาประชาชนมาแล้วนักต่อนัก แถมในปัจจุบัน รัฐยังปลุกระดมให้นักเรียนนักศึกษาหลงเชื่อในสิ่งที่ไร้ข้อเท็จจริงสนับสนุนมากมายอีกด้วย  
 
ประการที่สอง แนวคิดเบื้องหลังการวิเคราะห์สังคมของอาจารย์วางอยู่บนแนวคิดโครงสร้าง-การหน้าที่ (structural-functionalism) ดังที่มีตอนหนึ่งอาจารย์ศรีศักรสรุปว่า “สังคมพัฒนาจากครอบครัวและเครือญาติ รวมกันเป็นชุมชน เป็นเมือง นคร และรัฐ ที่ต้องมีผู้นำ ผู้ปกครอง จากกษัตริย์จนถึงประธานาธิบดี”  และอีกตอนหนึ่งที่ว่า “สถาบันกษัตริย์ยังมีหน้าที่ในทางคุณูปการแก่สังคมที่มีอยู่ในสยามประเทศ” ทัศนะอย่างนี้ มองสังคมราวกับสิ่งมีชีวิตทางชีวภาพ มีพัฒนาการที่เติบโตอย่างซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เป็นเส้นตรง วิธีมองเช่นนี้มองว่าคนกลุ่มต่างๆ แม้ในสังคมที่ซับซ้อน ต่างมีหน้าที่ของตน ต่างเกื้อหนุนกันให้สังคมดำรงอยู่และดำเนินไป  
 
ในขณะที่นักเรียนนักศึกษาปัจจุบันมองว่าสังคมไทยอยู่บนโครงสร้างที่มีการขูดรีดตักตวงผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มจากคนส่วนใหญ่ของสังคมเสมอมา คำถามของพวกเขาคือ หากว่าผู้ปกครองมีหน้าที่เฉพาะ ส่วนผู้อยู่ใต้การปกครองก็มีหน้าที่ของตนเอง ทำไมผู้ปครองจะต้องมีชีวิตสุขสบาย กินอยู่ดีกว่า เป็นที่เคารพบูชากราบไหว้ราวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ราวภูติผีปีศาจ ทำไมพวกผู้ปกครองไม่แค่ทำหน้าที่ปกครองด้วยฐานะที่เป็นคนเท่ากับคนอื่นๆ มีความสุขสบายตามสมควรเยี่ยงประชาชนทั่วไปล่ะ ผู้ปกครองแบบนั้นก็คือนักการเมืองในระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย ไม่ใช่เจ้านาย ขุนนาง กษัตริย์ ในระบอบศักดินาหรือระบอบที่นิยมกษัตริย์อย่างล้นเกินเยี่ยงในการเมืองไทยปัจจุบัน  
 
เมื่อวางอยู่บนฐานคิดคนละแบบ อาจารย์ก็ต้องถกเถียงกับเขาไป อย่าไปปลักปรำว่าเขาคิดล้มล้างสังคมดีงามในอดีตอย่างไม่มีเหตุผล หรือที่ยิ่งต้องเลี่ยงคือการทำให้เขาเป็นเหยื่อของความเกลียดชังในสังคม
 
ประการที่สาม ทัศนะต่อการปฏิรูปและการปฏิวัติ คำว่าปฏิวัติ หรือ revolution ในการวิเคราะห์ทางสังคมนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้แบบเดียวกันกับในทางการเมือง ในทางการเมืองอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน แต่ในการวิเคราะห์สังคม หมายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ ที่ไม่ได้จำเป็นต้องเกิดขึ้นทันทีทันใด แต่บางครั้งกินระยะเวลายาวนาน เช่น การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษศตวรรษที่ 18 ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ชั่วไม่กี่ปีอย่างแน่นอน ส่วนการปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1789 ก็ต้องรออีกยาวนานจึงจะสรุปได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างพลิกผันลึกซึ้งจริงๆ  
 
อันที่จริง นักเรียนนักศึกษาเองใช้คำว่าปฏิรูปอยู่บ่อยครั้งมากกว่าคำว่าปฏิวัติด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเสนอของกลุ่มหนึ่งที่เรียกร้องให้ “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” แต่อาจารย์เองนั่นแหละที่อาจเห็นว่า นี่เป็นการปฏิวัติ ซึ่งก็ชี้ว่า บางครั้งการปฏิรูปก็อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างขนานใหญ่จนอาจเรียกได้ว่าการปฏิวัติ ส่วนการปฏิวัติบางลักษณะก็ไม่ได้มีใครตั้งใจทำให้เกิด อย่างการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่อาศัยการค่อยๆ ปฏิรูปจนเห็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เป็นการปฏิวัติ
 
ในกรณีของสังคมไทยขณะนี้ หากผมจะยืมคำพูดของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ว่าด้วยรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมของสังคมไทย ผมเห็นว่านักเรียนนักศึกษากำลังเสนอว่า รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทยของสังคมไทยปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ผู้คนต้องการมีสิทธิ มีเสียง มีเสรีภาพ มีความเท่าเทียม สิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการคือ เขาแค่ต้องการให้รัฐธรรมนูญฉบับลายลักษณ์อักษรสอคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบบวัฒนธรรม ก็เท่านั้นเอง
 
ประการที่สี่ ข้อเขียนชิ้นนี้ของอาจารย์ศรีศักรลดทอนความเป็นมนุษย์ของนักเรียนนักศึกษาในสองชั้นด้วยกัน กล่าวคือ หนึ่ง ไม่เห็นว่าคนรุ่นใหม่จะมีความคิดเป็นของตนเองได้ และสอง เป็นการสร้างภาพให้นักเรียนนักศึกษาที่เคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้เป็นที่น่าจงเกลียดจงชังหรือเป็นผู้ร้ายในสังคมไทย
 
ในด้านของการลดทอนความเป็นมนุษย์ อาจารย์ศรีศักรเชื่อตั้งแต่ต้นโดยไม่มีหลักฐานข้อมูลใดๆ ว่า นักเรียนนักศึกษาถูกปลุกปั่น ถูกชักจูง โดยนักการเมืองฝ่ายค้าน นี่คือทัศนะที่อยู่สังคมไทยมานาน แล้วเป็นทัศนะที่ชะลอความก้าวหน้าของสังคมไทยมาตลอด การลดทอนคุณค่าของคนรุ่นใหม่วางอยู่บนระบบอำนาจนิยมของความอาวุโส การเกิดทีหลังไม่ได้จะทำให้คนรุ่นใหม่มีความรู้ด้อยกว่าหรือมีความคิดแย่กว่า และประสบการณ์ของคนแต่ละรุ่นในโลกที่แตกต่างกัน ก็ย่อมจะทำให้คนคิดเห็นต่อโลกต่างกันไป วิธีที่ดีที่สุดคือการร่วมเรียนรู้จากกันและกัน ไม่ใช่การปิดปากคนรุ่นใหม่พร้อมกับปิดหูคนรุ่นเก่า
 
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้น คือการที่อาจารย์ศรีศักรสร้างภาพให้คนรุ่นใหม่ดูน่าสะพรึงกลัว นอกจากจะนำคนรุ่นใหม่ในไทยปัจจุบันไปโยงกับคนรุ่นใหม่ในอดีตที่ถูกพรรคคอมมิวนิสต์ปลุกปั่น ที่นับเป็นการเอาผีคอมมิวนิสต์มายัดเยียดให้นักเรียนนักศึกษานั่นเองแล้ว อาจารย์ศรีศักรยังพยายามหว่านล้อมให้เชื่อว่า คนรุ่นใหม่ต้องการ “ทำลายสิ่งที่เป็นสถาบันในความเป็นมนุษย์ เช่น สถาบันครอบครัว ชุมชน และการแต่งงาน... กับสถาบันทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งคือศาสนา” นี่คือทำให้นักเรียนนักศึกษากลายเป็นอาชญากรทางสังคมผู้ทำลายสิ่งดีงามของสังคมไทย
 
ข้อเท็จจริงที่อันตรายอีกประการคือการสรุปว่า “การเกิดความไม่สงบแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ก็มีการใช้เด็กและผู้หญิงเป็นกำลังในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน” หากจะไม่สนใจข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ก็มีการวิเคราะห์กันมามากมายแล้วและไม่ได้ตรงกับข้อสรุปนี้แม้แต่น้อย สิ่งที่น่ากังวลคือการสร้างภาพให้เยาวชนกลายเป็นผู้นิยมความรุนแรงและเป็นผู้ทำลายชาติ
 
หากคนที่สติไม่สมประกอบพูดอะไรแบบนี้ สังคมก็สมควรจะยอมให้อภัยได้เนื่องจาเขาเสียสติ เขาต้องการการเยียวยา อาจต้องให้พักจากความรับผิดชอบไปสักครู่เพื่อให้เขาฟื้นฟูสภาพจิตใจ หากแต่นี่เป็นถ้อยคำที่ออกมาจากคนที่มีสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม แล้วแสดงทัศนะบั่นทอนความเข้าใจกันในสังคม สร้างภาพให้คนหวาดกลัวเกลียดชังนักเรียนนักศึกษา ดูแคลนนักเรียนนักศึกษาอย่างนี้แล้ว สังคมจะยังสมควรให้อภัยเขาอยู่หรือ
 
หากข้อเขียนนี้จะไม่ได้ถูกเรียกว่า “งานวิชาการชั้นเลว” แล้ว ก็คงต้องเรียกว่า “ถ้อยคำยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังกันในสังคม” (hate speech) คนแบบนี้ ทัศนคติแบบนี้ ยังสมควรเป็นครูบาอาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัยอยู่อีกหรือ ยังสมควรนับถือกันว่าเป็นผู้นำทางปัญญาที่จะคอยเชิญไปเทศนาเผยแพร่ความคิดแก่สังคมอยู่อีกหรือ
 
ที่ผมจะนึกเสียใจและน้อยใจอยู่สักหน่อยก็ตรงที่ว่า วิชามานุษยวิทยาที่ผมก็ร่ำเรียนมานั้น คงจะไม่ได้ช่วยให้คนคนหนึ่งที่ผ่านการศึกษาระดับสูง ในมหาวิทยาลัยทรงเกียรติทั้งในและต่างประเทศ มีสำนึกเคารพคน มองเห็นคนเท่ากันขึ้นมาเลยหรืออย่างไร ถ้าเช่นนั้น เราคงต้องปรับปรุงความรู้สาขาวิชานี้ให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อว่าในอนาคต สาขามานุษยวิทยาจะได้มีคนแบบนี้น้อยลง

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
 แน่นอนว่าโฆษณาโปรแกรมเรียนภาษาไทย (บางคนบอกเป็นแค่ตลกล้อเลียน?) ที่เป็นข่าว 2-3 วันที่ผ่านมานั้น ตั้งอยู่บนอคติทางเพศ ดูถูกเพศหญิงว่าเป็นวัตถุทางเพศ ดูถูกเพศชายว่าจ้องเสพสุขทางเพศท่าเดียว (หรือหลายท่า?) สร้างภาพเหมารวมให้คนไทยและสังคมไทยไร้ศีลธรรม (ดูสิ เราออกจะเมืองพุทธ เมืองพระ) แต่ที่ยังน่าจะต้องทำความเข้าใจคือ ปฏิกิริยาที่คนไทยมีต่อวิดีโอล้อเลียนนี้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อเขียนนี้พยายามทำความเข้าใจตรรกะของพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงแสดงไว้ในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ว่าพระองค์มีทัศนะต่อแนวคิด The King Can Do No Wrong อย่างไร และมาตรา 112 ควรแก้ไขเพราะเหตุใด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การตัดสินคดีของสมยศ พฤกษาเกษมสุขและอีกหลายๆ คดีก่อนหน้านี้ด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 (ม.112) ชี้ให้เห็นยิ่งขึ้นทุกวันว่า รัฐไทยกำลังสร้างความรักด้วยการใช้กำลังข่มเหงให้ประชาชนรักประมุขของประเทศ หาใช่การส่งเสริมให้เกิดความรักประมุขจากใจจริงของประชาชนไม่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
งานวิจัยทางสังคมศาสตร์ที่ดี โดยเฉพาะงานทางมานุษยวิทยา มักมีแรงขับจากอารมณ์ใคร่บางอย่าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากเรียกร้องเรื่องทรงผม ก็ต้องเรียกร้องเรื่องชุดนักเรียนนักศึกษาด้วย จะได้เป็นก้าวแรกของการอภิวัฒน์การศึกษาไทยอย่างจริงจังเสียที พวกผู้ใหญ่ที่คอยเรียกร้องนักเรียนกับครูอาจารย์ ให้สอนให้เด็กรู้จักคิดน่ะ พวกท่านเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า ชุดนักเรียนนักศึกษาเป็นปราการปิดกั้นเสรีภาพการคิดอย่างไร และเด็กๆ เองก็ควรเข้าใจด้วยว่า การควบคุมเรือนร่างเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมแบบอำนาจนิยมอย่างไร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข่าวการเสียชีวิตของอาจารย์พัฒนา กิติอาษาเมื่อเช้าตรู่วานนี้ (10 มกราคม 2556) คงไม่เป็นที่สนใจของใครต่อใครนอกแวดวงวิชาการสังคมศาสตร์มากนัก แต่นี่นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของแวดวงสังคมศาสตร์ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากพวกคุณวิจัยสำรวจอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ พวกคุณก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่า ชัยชนะจากคะแนนเสียงที่ "ไม่่่ท่วมท้นนัก" ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มาจากกลุ่มคนที่มีความหวังว่าเพื่อไทยจะเป็นเดินหน้าพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทยอย่างจริงจังเสียที
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สังคมไทยมีสังคมแบบหนึ่งที่แทรกซ้อนอยู่ในสังคมขนาดใหญ่ คือสังคมดัดจริต สังคมดัดจริตไม่ได้มีขนาดใหญ่โต แต่เป็นสังคมของคนชั้นกลางและคนใหญ่คนโตที่กำลังเสื่อมอำนาจ สังคมดัดจริตคอยผลิตวัฒนธรรมดัดจริตเพื่อทำให้ตนเองดูดีมีหลักการ เพื่อให้ตนเองอยู่เหนือคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีจริตจะดัด และเหนืออื่นใดคือเพื่อปกป้องฐานะอำนาจของตนเอง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้ คือวันที่ 1 มกราคม 2556 ผมลองคิดบวกดูบ้าง คือคิดแบบเข้าข้างตนเองทบทวนดูว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาได้ทำอะไรใหม่ๆ ให้ตนเองบ้าง คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองผมคือ ได้อ่านหนังสืออะไรที่นับว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บ้าง แล้วก็คิดไปเรื่อยว่า ได้ทำอะไรที่ให้การเรียนรู้ใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ คิดอะไรใหม่ๆ บ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ยามปีใหม่ ยากที่จะหาของขวัญที่ไม่กลายเป็นขยะในชั่วข้ามคืนได้ เพื่อนชาวอเมริกันที่ผมรู้จักหลายคน ซึ่งดูท่าจะทั้งเป็นนักช้อปและเป็นคนช่างมีเหตุผล ก็เลยใช้วิธีให้เด็กๆ เขียนลิสต์รายการสิ่งของที่อยากได้ยามสิ้นปี เพื่อเป็นหลักประกันว่าของที่ซื้อมาให้จะถูกใจผู้รับสักชิ้นหนึ่ง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (24 ธันวาคม 2555) กสทช.เชิญให้ผมไปร่วมแสดงความเห็นในเวทีเสวนาสาธารณะ “1 ปี กสทช. กับความ (ไม่) สมหวังของสังคมไทย” ทีแรกผมไม่คิดว่าตนเองจะสามารถไปวิจารณ์อะไรกสทช.ได้ แต่ผู้จัดยืนยันว่าต้องการมุมมองแบบมานุษยวิทยา ผมจึงตกปากรับคำไป 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ข้อโต้แย้งต่อความเห็นผมจากของเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ที่ลงในมติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355920241&grpid=03&catid=&subcatid=) ย้ำให้เห็นชัดถึงความอับจนของกรอบคิดของคนกลุ่มนี้ต่อไปนี้