ประชาธิปัตย์

ประชาธิปัตย์ที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตย?

ต้องขอจั่วหัวตั้งแต่เริ่มต้นว่า บทความนี่มีเจตนา 'ปรับทัศนคติ' ผู้แทนประชาชนในนามพรรคประชาธิปัตย์ อย่างคุณมัลลิกา บุญมีตระกูลชัย (มหาสุข) หลังออกมาแสดงความคิดเห็น

กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์

การประกาศยุติบทบาทของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เป็นเรื่องเข้าใจว่า เพราะตกอยู่ในสภาพจำยอมจากความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ที่ต้องการให้สังคมไทยหยุดนิ่ง หรือก้าวถอยหลัง ตามอุดมการณ์ของกลุ่มอนุรักษ์นิยม ดังคำประกาศของกลุ่ม “พิทักษ์สยาม” ที่จะแช่แข็งประเทศไทย

ผมไม่อยากอกหัก จาก คุณยิ่งลักษณ์ คนสวย

เมื่อรักจะเล่นกันในระบอบประชาธิปไตย
ก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของประชาชนจากผลการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะออก เหลือง หรือออก แดง ก็ตาม การเลือกตั้งในยุโรปหลายประเทศ ก็มีตัวอย่างมาแล้ว เมื่อประชาชนเบื่อ “ทุนนิยม” ขึ้นมา ก็หันไปเลือก “พรรคสังคมนิยม” เป็นรัฐบาลแทน เปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจจากหน้ามือเป็นหลังมือ พออยู่แบบ “สังคมนิยม” ไปสักพักเกิดเบื่อ “สังคมนิยม” ขึ้นมา ก็กลับไปเลือก “พรรคทุนนิยม”ขึ้นมาใหม่

 

จักรภพปราศรัย 26 กุมภาพันธ์ 2552

ทีมข่าวการเมือง

หลังจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เคลื่อนขบวนจากสนามหลวงมาชุมนุมล้อมทำเนียบรัฐบาลและปักหลักพักค้างชุมนุมอยู่หลายคืน โดยมีข้อเรียกร้องคือ 1.ดำเนินคดีกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 2.ปลดนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 3.นำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้ และ 4.ให้ยุบสภา

การชุมนุมเป็นไปอย่างต่อเนื่องหลายคืนโดยสงบเรียบร้อย ผู้ชุมนุมยอมให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและคณะรัฐมนตรีเข้าไปทำงานในทำเนียบ โดยไม่มีการกระทบกระทั่งเกิดขึ้น จนแม้แต่นายอภิสิทธิ์ และรองนายกรัฐมนตรีอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณเองยังเอ่ยปากชมผู้ชุมนุมที่ชุมนุมอยู่ภายในกรอบ

จนกระทั่งเมื่อคืนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายของการชุมนุม ได้มีการออกแถลงการณ์ โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำเป็นผู้ประกาศว่าจะใช้วิธีเข้มข้นขึ้นทั้งในสภา นอกสภา เมือง ชนบท และต่างประเทศ ตามหลักสันติวิธี ภายใต้กรอบกฎหมาย จนกว่าจะได้ชัยชนะคือนายกฯ ประกาศยุบสภา และเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง ไม่มีประโยชน์อะไรจะชุมนุมที่ทำเนียบให้ยืดเยื้อต่อไป แต่จะออกไปปฏิบัติการทั่วประเทศ ใน 1 เดือนข้างหน้า จุดแห่งชัยชนะกำลังรออยู่

ส่วนนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวถึงวิธีต่อสู้ใหม่ว่า 1.เจอที่ไหนไล่ที่นั่น ไม่มีเจรจา ไม่มีประนีประนอม มีแต่ขับไล่อย่างเดียวเท่านั้น 2.หนึ่งเดือนจากนี้พี่น้องกลับไปภูมิลำเนา ไปขยายเครือข่าย ส่วนแกนนำจะลงพื้นที่ไปตั้งเวทีใหญ่เต็มทั่วอีสานเหนือกลางใต้ จากนั้นกลับมารวมกำลังขับไล่ที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง ไม่ชนะไม่เลิกรา ไม่ชนะไม่กลับไปบ้าน หลังจากคืนนี้ ทุกคนจะต้องแยกจากกันเพื่อไปทำงาน

โดยกลุ่มเสื้อแดงมีการนัดหมายการชุมนุมอีกครั้งที่สนามหลวงในวันที่ 27 มีนาคม

ในคืนสุดท้ายของการชุมนุมล้อมทำเนียบนั้นเอง นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. ได้ขึ้นปราศรัยด้วย อาจเรียกได้ว่าเป็นคำปราศรัยของคนเสื้อแดงที่มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมที่สุดอันหนึ่ง โดยปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอไว้ในกระดานข่าวฟ้าเดียวกัน เมื่อคืนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ว่า

 

หลังจากฟังจบ ผมขอตั้งข้อสังเกตดังนี้

๑. ในความเห็นของผม คำอภิปรายของจักรภพวันนี้ นับว่าดีที่สุดในชีวิตของเขา และอาจเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ได้ โดยเฉพาะใน ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่

- ประกาศว่าขบวนการเสื้อแดง เป็นการต่อยอด อภิวัฒน์ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
- ยืนยันว่าคนเสื้อแดงไม่ใช่เป็นชองทักษิณ แต่ทักษิณเป็นเพียงคนนั่งรถโดยสารมาคันเดียวกันกับคนเสื้อแดง
- การแก้รัฐธรรมนูญ แก้ได้ทุกหมวด
- เสื้อแดง จะไม่ยินยอมต่อรอง หรือประนีประนอมกับฝ่ายอำมาตย์ จนกว่าจะได้ประชาธิปไตย (จักรภพใช้คำว่า ประชาธิปไตยแบบไม่มีเงื่อนไข) หากฝ่ายอำมาตย์เห็นท่าจะแพ้ จะยื่นมือมาขอเจรจาด้วยการยกเลิกคดีความของคนนู้นคนนี้ เสื้อแดงไม่ยอม

- เขาฉายภาพให้เห็นถึงขบวนการของอำมาตย์ในการ ตัดทอน-บอนไซ ประชาธิปไตย (ลองไปฟังดูนะครับ เห็นภาพมาก)

๒. จักรภพบอกว่า คดีของเขา จะรู้ว่าสั่งฟ้องหรือไม่ ในวันที่ ๕ มีนาคมนี้ เมื่อเห็นคำอภิปรายของเขาแล้ว ผมกังวลใจว่า อาจจะไม่รอด และหากเป็นเช่นนั้น จักรภพจะหนีหรือไม่?

๓. คำอภิปรายของจักรภพที่ "ยิงตรง" แบบนี้ มองได้หลายแง่ หากประเมินแบบต่ำที่สุด ก็เป็นเพียงการปลุกใจมวลชนธรรมดาๆ เพราะคืนนี้ จะมีการประกาศจุดยืนของเสื้อแดงใหม่ เลยต้องโหมโรงกันเสียหน่อย แต่หากประเมินแบบขั้นสูงสุด ผมคิดว่า นี่แหละเป็นคำประกาศ "อุดมการณ์" ของคนเสื้อแดง

๔. ผมประเมินโดยส่วนตัว เห็นว่า คนเสื้อแดงเป็นเอกภาพมากขึ้น มากขึ้นอย่างเห็นชัด ตอนนี้มันเกินเลยเรื่องทักษิณ ไปแล้ว และความเป็นเอกภาพนี้ ไม่ได้เกิดจากทักษิณเลย ไม่ได้เกิดจากนักการเมืองคนไหนสั่งเลย แต่มันเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับจาก ประพฤติกรรมของอำมาตย์เองต่างหาก

ปัญหาต่อไปก็เหมือนที่อาจารย์สมศักดิ์ตั้งข้อสังเกตไว้ คือ คนเสื้อแดง คิดทางออกต่อไปว่าอย่างไร

 

และต่อไปนี้คือคำปราศรัยของจักรภพ เพ็ญแข ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล

000

 

จักรภพ เพ็ญแข
ปราศรัยหน้าทำเนียบรัฐบาล,
26 กุมภาพันธ์ 2552

 

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพครับ วันนี้ เรามีสภาพเหมือนคนมาเที่ยวชมสวนสัตว์ภายในนั้น ที่พูดอย่างนี้ ไม่ได้หมายถึงพี่น้องทหารและตำรวจระดับปฏิบัติการ ซึ่งถูกเขาสั่งมาอีกต่อหนึ่ง แต่หมายถึงคนที่ปล้นกล่องดวงใจประชาชนไป และหน้าด้านนั่งอยู่ในตึกหลังนี้

วันนี้เราได้ประกาศสูตรใหม่ของการชุมนุมประท้วง 3 วันที่ผ่านมานี้ พี่น้องชาวเสื้อแดงได้แสดงให้เห็นกันทั่วประเทศและทั่วโลกแล้วว่า เราคือมวลชนที่ไม่ต้องมีการจัดตั้ง เราคือมวลชนที่ไม่ต้องมีการให้น้ำมันหยอดให้เครื่องเดิน แต่เราเป็นมวลชนอัตโนมัติ เมื่อไหร่ยึดบ้านยึดเมืองเราออกมาได้ตลอดเวลา

รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และคนที่วางแผนจะอยู่ในอำนาจอย่างยืดยาวนี้ ให้สำนึกตัวเองไว้เลยว่า วันนี้พี่น้องคนเสื้อแดงมารวมกันอย่างนี้ไม่ใช่มาง่ายๆ ต่างคนต่างลงทุนลงรอน สละเวลา สละความเหนื่อยยากมา แต่เขาก็มา

อย่าได้ละเมอเพ้อพกว่าคนเสื้อแดงมีศักดิ์ศรีเท่ากับคนเสื้อเหลืองพันธมิตรฯ งานนี้ไม่มีเงินใส่กล่องข้าว ไม่มีการล้างสมอง ไม่มีโฆษณาชวนเชื่อ และไม่มีกระบวนการทำให้คนตาบอดกลางวัน

มวลชนคนเสื้อแดงจะแพร่เชื้อตาสว่างทั้งแผ่นดิน

นานพอแล้วครับ พี่น้องประชาชนก็เป็นสักขีพยาน ว่าหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพุทธศักราช 2475 ก็มีความพยายามบ่อนทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนมาตลอดเวลานั้น จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่หยุดทำลาย ก็ประกาศเสียวันนี้เลยก็แล้วกัน ว่าการชุมนุมคนเสื้อแดงและการจัดตั้งกองกำลังคนเสื้อแดงจากนี้เป็นต้นไป คือการต่อยอดอภิวัฒน์สยาม 2475

รู้ล่ะครับว่าเริ่มหักหลังประชาชนครั้งแรกๆ หลังจากนั้น เช่นการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2490 เรารู้ล่ะครับว่าการรัฐประหารในปี 2500 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เกิดขึ้นด้วยจุดประสงค์ใด เรารู้ล่ะครับว่า 14 ตุลาคม 2516 นั้น ประชาชนอุตสาห์ได้รับชัยชนะ แต่กลับมีคนมายืนจ้องด้านหลัง แล้วคว้าชัยชนะไปจากประชาชนจนเกิด 6 ตุลาคม 19 แล้วเราก็รู้ล่ะครับว่าเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรมนั้น ก็มีประชาชนนี่แหละที่เป็นหน่วยกองหน้าออกไปต่อสู้จนได้รับชัยชนะจากเผด็จการทรราชในยุคนั้น ขณะเดียวกันก็ไม่คิดถึงบุญคุณประชาชนกลับมาปล้นชิงประชาธิปไตยไปอีกในวันที่ 19 กันยายน 2549 เดี๋ยวนี้คนเขารู้กันทั้งประเทศแล้ว เขาต่อภาพชิ้นส่วนเป็น เขาต่อภาพได้

เพราะฉะนั้น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยจึงแบ่งเป็นสองกลุ่มอย่างที่ผมกราบเรียนพี่น้องไปเมื่อคืนนี้ กลุ่มแรกคืออภิสิทธิ์ชน กลุ่มที่สองคือสามัญชน ซึ่งแปลว่าฝ่ายหนึ่งที่ได้รับอภิสิทธิ์ทุกอย่าง ไม่เฉพาะมรดก ไม่เฉพาะเส้นสาย แต่ยังรวมถึงการทำอะไรไม่มีผิดบนแผ่นดินนี้อีกด้วย นั่นคือความหมายของอภิสิทธิ์ชน

และก็โชคดี ว่าได้นายกฯ ชื่ออภิสิทธิ์พอดีพี่น้อง มันช่างเหมาะเจาะอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นระบอบอภิสิทธิ์ที่นั่งหน้าด้านอยู่ในทำเนียบรัฐบาลมันต้องเจอระบอบประชาชน แหมมันน่าตั้งรัฐบาลสามัญชนขึ้นมานะครับพี่น้อง เพราะสามัญชนมีความหมายว่าเป็นคนที่ต้องทำงาน เป็นคนที่ต้องพัฒนาตนเอง เป็นคนที่ไม่มีความเห่อเหิม แต่มีความพอดีพองามในตัวเอง ผมก็เลยมีความรู้สึกว่าจริงๆ แล้วคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เหมาะสมกับสามัญชนมากกว่าอภิสิทธิ์ชน

ประชาชนรู้จักคำว่าพอเพียง รู้จักคำว่าพอดี พอดี พอเพียง เพราะประชาชนนั้นไม่เคยมีส่วนเหลือ ส่วนเกิน หรือการไปตบทรัพย์ขู่กรรโชกมาจากใครในการใช้ชีวิต ประชาชนไม่ต้องแสร้งว่าเป็นคนจน หรือรักคนจน แต่ประชาชนเป็นคนจนตัวจริง ถ้าจะมีนายทุนมาคบกับประชาชน เราคบได้เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น คือทุนนิยมก้าวหน้า ไม่ใช่ทุนนิยมล้าหลัง

ทุนนิยมล้าหลังแปลว่าอะไรครับพี่น้อง สิบเบี้ยใกล้มือ อะไรอยู่ใกล้ต้องเก็บค่าต๋ง เก็บค่าธรรมเนียม เอาเข้าพกเอาเข้าห่อ เพื่อตอบแทนว่าข้าจะได้ไม่ทำร้ายเอ็ง อยู่กันแบบมาเฟียอย่างนั้น

แต่ขณะเดียวกัน ระบอบสามัญชนนั้นคือระบอบที่ไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องของส่วนเหลือส่วนเกินเป็นการพยายามจะเอาชีวิตรอด พยายามจะพัฒนาตนเอง พัฒนาครอบครัว และแม้กระทั่งตัวเองจะจนจะยาก จะเป็นทุกข์เป็นร้อน ก็ยังสบายใจ ถ้ามีคนประกันได้ว่าลูกหลานจะดีกว่าตัวเองในอนาคต ยังพอทนได้ พ่อแม่ไทยนี่รักลูกมาก ยอมอดเพื่อให้ลูกมีกิน ยอมลำบากเพื่อลูกสบาย ยอมไม่มีการศึกษาให้ลูกเก่งได้เรียนหนังสือสูง สิ่งเหล่านี้เป็นค่านิยมของระบอบสามัญชนไม่ใช่ระบอบอภิสิทธิ์ชน ขอให้รู้ไว้

เพราะฉะนั้นวันนี้ใครบอกว่าคนเสื้อแดงสู้เพื่อคนๆ เดียวคือนายกฯ ทักษิณ ไอ้นั่นโง่สิ้นดี ลืมไปว่าอยู่ใกล้ทำเนียบรัฐบาล ขอใช้คำใหม่ มันโง่บัดซบ

วันนี้สมการเปลี่ยนไปแล้ว คนเสื้อแดงไม่ได้มาช่วยคุณทักษิณ แต่คุณทักษิณเป็นสัญลักษณ์และแรงดลใจของเสื้อแดงในการต่อสู้เพื่อสามัญชน รถขบวนใหญ่ที่มีสีแดงและมีคนอยู่บนนั้นเป็นหลายสิบล้านคน ไม่ได้มีทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้ขับ แต่นั่งรวมกันเป็นผู้โดยสารเต็มภาคภูมิเสมอภาคกับคนอื่น และโชเฟอร์รถก็เปลี่ยนกันไปตามกลไกการเลือกตั้งใช่ไหมครับ พี่น้อง ให้คนนี้นำ 4 ปี ให้คนนี้ขับ 4 ปี

แต่ปัญหาก็คือ คนที่ต่อสู้กับสัญลักษณ์อย่างทักษิณ ชินวัตร เขาไม่ได้ต่อสู้มานั่งร่วมกับเราอย่างเสมอภาคในขบวนเดียวกัน เขาอยากไปนั่งคุมเราบนหลังคารถ

ขอให้สำนึกไว้นะครับ ฝ่ายตรงข้ามกับประชาธิปไตย ประชาชนคนเสื้อแดงนั้นกำลังต่อสู้เพื่อตนเองและลูกหลานในอนาคต เพราะสามัญชนขอมีที่ยืนบางในประเทศนี้ได้ไหมแค่นั้นน่ะ

จะไล่ประชาชนไปถึงไหน คุกมีพอขังคนเสื้อแดงหรือไม่

กลไกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยเริ่มจะหมดเครื่องมือและปุ่มที่กดลงทุกทีๆ แล้วครับพี่น้อง หลังเริ่มชนฝาแล้วตอนนี้

และอย่าหวังว่าเมื่อประชาชนแสดงพลังอย่างนี้ และจะมาเปิดเจรจาในเรื่องกระจอกกระจิบเพื่อคดีคนนั้น เพื่อคดีคนนี้ ผมขอบอกได้เลยครับว่า พูดแทนตัวเองได้ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่จะฟังผลวินิจฉัยในวันที่ 5 มีนาคม เสื้อแดงแลกกับอะไรแบบนั้นไม่ได้

ถ้าจะมีการเจรจา จะต้องย้อนกลับไปหาเรื่องที่ใหญ่ที่สุด นั่นก็คือรัฐธรรมนูญของประชาชน เอาคืนมา และเอาคืนมาพร้อมเงื่อนไขที่ว่าทั้งฉบับต้องแก้ไขได้ทั้งหมด ไม่เว้นหมวดใดทั้งสิ้น นั่นแหละครับ พูดกันให้ชัด ประกาศไว้กลางที่ชุมนุมอันมีเกียรติของคนเสื้อแดง ให้รู้เลยครับว่าคนเสื้อแดงนั้นรักชาติ รักแผ่นดิน แต่ไม่รักเหลือบริ้นที่คอยกินแผ่นดินแต่อย่างเดียว

นึกหรือครับว่าคนเสื้อแดงเขามาสบายๆ มานั่งหลังขดหลังแข็ง เข้าห้องน้ำก็ยาก กินอยู่ก็ลำบาก แต่เขาก็พร้อมจะมาเพราะถ้าไม่ได้ประชาธิปไตยคืนศักดิ์ศรีก็ไม่มี กลับบ้านไปก็นอนไม่หลับ นี่ไงล่ะครับ ที่เป็นพลังงานอันแท้จริงของคนเสื้อแดง ถ้ายังโง่เขลาเบาปัญญาก็จะบอกให้รู้ ว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่การสู้ของคนเสื้อแดงในปีพุทธศักราชนี้ แต่เป็นการสะสม ความเจ็บช้ำน้ำใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความไร้ค่าไร้ราคา มาตั้งแต่ 2475 และก่อนหน้านั้นแล้ว

ถามว่าคนเสื้อแดงของเรา จะเดินอย่างไรต่อไป เราเองก็ขอร้องและพี่น้องก็กรุณาทำให้ ก็คือทำให้คนเสื้อแดงเป็นมวลชนที่มีความสุภาพเรียบร้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ คำว่าม็อบ เป็นไปตามที่คุณวิสา คัญทัพได้เสนอแนะไว้ ใช้ไม่ได้กับคนเสื้อแดง เพราะต้องไปใช้กับม็อบประเภทคนเสื้อเหลืองพันธมิตรฯ ซึ่งเหมือนติดเชื้อหมาบ้ามาทุกคน

พี่น้องอย่าได้แปลกใจเลยครับ ว่าทำไมคนเสื้อเหลืองพันธมิตรฯ เขาถึงมีลักษณะน้ำลายฟูมปากกันแบบนั้น เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาปิดหูปิดตา ปิดทวารทั้ง 5 ไม่ยอมรับความจริง เพราะในโลกนี้ คนที่โง่เขลาเบาปัญญาที่สุดคือคนที่ไม่อยากรู้อยากเห็นและไม่พัฒนาตนเอง คนที่โง่ที่สุดในทางการเมือง คือคนที่ไม่รู้ว่าตัวโง่แค่ไหน นี่แหละครับคือกลไกเดียวที่เขายังมัดเสื้อเหลืองพันธมิตรฯ ไว้ได้

และวันนี้ผมต้องขอบคุณอดีตเสื้อเหลืองพันธมิตรฯ หลายคนที่วันนี้เข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร และสวมเสื้อแดงด้วยความภาคภูมิใจมาร่วมกับเรา และพี่น้องสังเกตอะไรไหมครับ วันนี้เราก็พูดกันในหมู่พวกเรา ผมต้องขอประกาศตรงนี้ด้วยความชื่นใจ ความภูมิใจ เมื่อตอนที่เราไปประท้วงที่สนามหลวง ในนามพีทีวี หรือแม้แต่ในนาม นปก. และ นปช. ในเวลาต่อมา แต่เมื่อเรามีวิวัฒนาการมาถึงความจริงวันนี้ และมวลชนคนเสื้อแดง ปรากฏว่ามวลชนคนรากฐานของไทยได้เกิดการรวมกันแล้วระหว่างประชาชนทั่วไปกับชนชั้นกลางในประเทศ คนชั้นกลางคือคนเสื้อแดงแล้วในวันนี้

อย่าให้ใครมาเรียกเราอีกต่อไปนะครับพี่น้อง ว่าเป็นมวลชนคนรากหญ้า ถึงจะรากหญ้า ถึงจะรากฐาน แต่จับมือกันหมดแล้ว เพราะทนไม่ได้อีกแล้ว

กี่โรงงานที่เจ๊งไป กี่บริษัทที่ขาดทุนไป ว่างงานกี่สิบล้านคนทั่วประเทศ ทั้งหมดนี้มันไล่กลับไปยังจุดประสงค์และต้นเหตุได้อย่างเดียวเท่านั้น ก็คือการมีระบอบการปกครองที่ปิดกั้นโอกาสที่ประชาชนจะลืมตาอ้าปากได้เท่านั้น นี่คือการเมืองไทยเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ยาก ไม่ได้ซับซ้อน เป็นเพียงการสู้รบกับพวกที่ใช้เวลาทั้งวันในการอิจฉาริษยาประชาชนเท่านั้นเอง

ขณะนี้ รัฐบาลประชาธิปัตย์ กองทัพไทย ภายใต้การบงการของนายทหารทรราชรับใช้อำมาตยาธิปไตยไม่ที่คนเนี่ย ขอให้รู้ไว้ว่า ถ้าแตะคนเสื้อแดงตรงไหนตอนนี้ มันช่วยให้ขยายให้แดงทั้งแผ่นดินยิ่งขึ้นทั้งนั้น

เพราะมนต์คาถาที่เคยขลังมันเสื่อมมาตั้งแต่ 19 กันยายน 49 แล้ว คนบางคนเราช่วยเขาได้สารพัดนะครับพี่น้อง แต่ช่วยเขาไม่ได้อย่างเดียวคือช่วยไม่ได้จากความมีอวิชชาของตัวเขาเอง ช่วยไม่ได้จริงๆ ผมคิดว่าเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม ซึ่งได้ไปก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้นาน เอาไว้หนัก เอาไว้หนา จนในที่สุดนั้นก็กลายเป็นสิ่งที่พอกพูนอยู่บนไหล่อยู่บนบ่าของตัวเอง และถ้าไม่มองคนเสื้อแดงอย่างให้เกียรติให้ศักดิ์ศรี คนเสื้อแดงจะแสดงพลังให้เห็นทั่วประเทศและน้ำหนักบนบ่าอันนั้นมันจะทำให้ขาหักลงเองครับพี่น้อง

ครูด้านนาฏศิลป์ ท่านสอนวิชาร่ายรำโขนมามาก ว่าถ้าหากใส่หัวโขนที่หนาและหนัก มีน้ำหนักสูง จะต้องย่อขาอย่างไร วางลักษณะสมดุลของร่างกายอย่างไร เพื่อจะได้รับไว้ได้ นี่ใส่หัวโขนที่หนักขึ้นทุกวันๆๆ แต่ประชาชนที่เปรียบเสมือนร่างกายและแขนขาลีบลงทุกวันๆ มันจะไปตั้งตัวอยู่ได้อย่างไร ตกลงจะอยู่แต่หัวเรอะ

นี่แหละครับ คือการเมืองไทยเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ยาก ไม่ได้ซับซ้อน และประชาชนก็รู้เท่าทันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ เดี๋ยวเมื่อถึงเวลาเราก็จะได้ประกาศกันว่า มวลชนคนเสื้อแดงนั้น เราจะเดินและวิ่ง จากขั้นตอนนี้อย่างไร เพราะการขอร้อง หรือการเรียกร้องจะจบสิ้นในวันนี้ ไม่ขออีกแล้ว

ของๆ เราแท้ๆ พี่น้อง เราอุตสาห์มีมารยาท คอยมาจนเข้าปีที่ 4 นี้แล้ว ไม่รู้สำนึก ประชาชนเปิดโอกาสให้คืนสิ่งที่ปล้นไป ตอนที่มวลชนได้อุ้มพรรคพลังประชาชนกลับมาในการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 นั่นคือสัญญาณเตือนจากประชาชนแล้ว

คุณใช้ คมช. ไปข่มขู่พี่น้องระดับท้องถิ่นในทุกจังหวัด ให้เลือกพรรคอื่นที่เป็นข้ารับใช้คุณ อย่าเลือกพรรคพลังประชาชน แต่พี่น้องประชาชนเขาก็ฝ่าด่านอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายจนพรรคพลังประชาชนโผล่พ้นน้ำเป็นรัฐบาลได้

พรรคพลังประชาชน หรือแม้แต่ในตอนนี้ ส่วนหนึ่งมาเป็นพรรคเพื่อไทย ก็ต้องรู้สำนึกนะครับ ว่าถ้าไม่มีมวลชนในครั้งนั้น ไม่มีวันที่จะมีลมหายใจต่อเนื่องมาถึงวันนี้ได้ การเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 50 เชื่อกันว่าทั้งขู่ ทั้งโกง ทั้งปล้น ทั้งชิง แต่พี่น้องก็เอาฝ่ายประชาธิปไตยกลับคืนมาได้ แล้วฝ่ายนี้ทำอย่างไรครับ แทนที่จะรู้สำนึกว่าประชาชนเขาแสดงเจตนาอันแก่กล้า ยอมเข้าบ้างเถอะ รอมชอมกับเขาบ้างเถอะ รู้จักสะกดคำว่าสมานฉันท์ที่ชอบมาสอนกรอกหูเขาบ้างเถอะ ปรากฏว่าไม่ได้รู้สำนึกเลย รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องประสบกับภัยพิบัติทางการเมือง จนกระทั่งไม่สามารถบริหารประเทศได้ อย่างที่พูดกันวันนี้ไงครับ การประชุมสุดยอดอาเซียน ควรจะมีตั้งแต่รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์แล้ว

ผมไม่เรียกมันว่ารัฐบาลอาเซียนหรอกครับ ไอ้รัฐบาลอาเงี่ยน ไอ้สถานีรถไฟมาร์คกระสัน

นี่คือสิ่งที่ต้องทบทวนกันบ้าง เพราะเรากำลังสู้กับคนหน้าด้านหน้าทน บางครั้งต้องพูดให้ฟังให้ได้ยินกันซ้ำๆ หลายครั้ง เผลอๆ จะได้เจาะกะโหลกหนาปัญญาควายเข้าไปได้บ้าง และจะได้พูดให้พี่น้องทหารที่อยู่ในรั้วทำเนียบรัฐบาล และที่หลบอยู่เบื้องหลังในตึกต่างๆ กำลังต่อสู้ร่วมกับฝ่ายที่จะพ่ายแพ้ในที่สุด นี่คือการเมืองไทย ทุกอย่างที่เป็นการอ้างในวันนี้ ว่าขอประชุม ขอทำงาน ขอบริหารประเทศ ขอแก้ไขเศรษฐกิจ มันก็เสมือนกับมีโจรมาปล้นทั้งบ้านแล้วดันใส่สูทกลับมาบอกว่าจะเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจก็ไอ้ควาย เขาจำหน้ามึงได้ตั้งแต่ออกจากบ้านแล้วโว้ย

เพราะฉะนั้นเราจะไม่หลงละเมอ ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะเป็นทางออกของปัญหาได้ เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือส่วนหนึ่งของปัญหานี้ นี่คือตัวปัญหา ไม่ใช่ทางออก นี่คือต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุ เมืองไทยมันพลิกเรื่องกันเก่งพี่น้อง คนดีกลายเป็นคนเสีย คนเก่งกลายเป็นคนไม่เก่ง คนหน้าบางกลายเป็นคนหน้าด้าน คนจงรักภักดีกลายเป็นคนไม่จงรักภักดี โดยเฉพาะประเด็นหลังนี้ก็ดีเหมือนกัน ได้เห็นว่าคนอ้างความจงรักภักดีทั้งหลาย ไม่ไว้หน้าสถาบันในการกล่าวอ้างแม้แต่น้อยเลยสักคนเดียว

คนที่อ้างว่าตัวรักสถาบันต้องเปลี่ยนเป้าหมาย คนที่ควรถูกประหารชีวิตคือสนธิ ลิ้มทองกุล คือสนธิ บุญยรัตกลิน คือสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว อย่าเห็นคนที่มาช่วยทำงานเป็นความรำคาญและเป็นเสนียดที่ต้องแก้ไขให้พ้นตัว พี่น้องครับ เราเคยพูดกันมานานแล้วว่า สิ่งที่เป็นความเสื่อมง่ายที่สุดในตัวมนุษย์คือความอิจฉาริษยา ความที่ไม่ยอมให้คนเก่งมาอยู่ใกล้ตัว และผลที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ คือการผลักคนเก่งไปอยู่ไกลตัว แล้วเอาคนที่เป็นพาลชนมาอยู่ใกล้ตัว มันถึงได้เสื่อมอย่างนี้

ได้โปรดขยายโลกทัศน์ โลกทัศน์ก็แปลว่า การมองเห็นในการเข้าไปร่วมโลก ถ้าคบคน 3 คน แล้วฟังอยู่แค่ 3 คน โลกทัศน์ก็อยู่ในคน 3 คน ถ้าหากไม่รู้จะหาปัญญาที่ไหน มานั่งฟังในมวลชนคนเสื้อแดงนี้ แล้วโลกทัศน์จะขยายกว้างไปเอง

ผมได้บอกแล้วไงครับ ผมไม่อยากพูดถึงคุณทักษิณในฐานะบุคคล แต่ต้องพูดในฐานะสัญลักษณ์ ถ้าตวงตาเห็นธรรมสักหน่อย แล้วเก็บนายกฯ ทักษิณไว้ทำงาน ป่านนี้ก็พากันสูงไปทั้งหมดแล้ว

ในบรรดาคนที่ลุกขึ้นมา กล่าวหาคนอื่นว่าไม่จงรักภักดีนั้น ในที่สุดแล้ว มันต้องถามกลับครับว่าแล้วคนที่เขาแสดงความจงรักภักดียุคนี้เขาต้องทำสามอย่างใช่ไหม หนึ่ง อ้างสถาบันแล้วลากลงต่ำโดยไม่บันยะบันยังใช่ไหม สอง เขาเสนอแนะอะไรตรงๆ ไม่ได้ ต้องไปแอบนินทาลับหลังใช่ไหม และสาม ถ้าประชาชนเปิดโอกาสให้ผลักไสไม่ยอมยืนกับประชาชนใช่ไหม นี่ใช่ไหมที่เรียกว่า จงรักภักดี

ในยุคนี้ คิดเสียใหม่ ตั้งสติเสียใหม่ รัฐบาลประชาธิปัตย์นั้น มีประวัติศาสตร์อันคงเส้นคงวาในการทำลายทุกอย่างที่อยู่ใกล้ อยู่ใกล้ปรีดี พนมยงค์ ทำลายปรีดี พนมยงค์ อยู่ใกล้ขบวนการนักศึกษา 14 ตุลา ทำลายขบวนการนักศึกษา 14 ตุลา พฤษภาประชาธรรม หายหัวไปอย่างไม่เห็นหน้า แล้วเมื่อเขาชนะแล้ว หน้าด้านออกมาอ้างความดีความงามกับเขาด้วย เหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะวัฒนธรรมพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่มีอย่างอื่นนอกจากการเล่นการเมือง เป็นเครื่องจักรอันวิเศษ เอาคนดีหรือคนกึ่งดิบกึ่งดีเข้าไป ออกมาเป็นมารเต็มขั้นทั้งนั้น เป็นอย่างที่คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อพูด คือเป็นโรงเรียนดัดสันดาน ดัดสันดานดีให้กลายเป็นสันดานเลว

ครั้งหนึ่งคนกรุงเทพฯ เขาก็มีเมตตาต่อตัวคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในการลงสมัครเป็น ส.ส. สมัยแรกๆ ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. หนุ่ม คนเดียวหรือไม่กี่คนในการเลือกตั้งครั้งนั้นก็เคยผ่านมาแล้ว เพราะตอนนั้นเป็นพลังธรรมหรือเป็นจำลองฟีเวอร์ แต่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะตัดสินใจผิดอย่างฉกรรจ์ทางการเมือง เพราะหลังจากที่ได้รับความเมตตาจากคนกรุงเทพฯ แล้ว กลับวิ่งไปหาครูบาอาจารย์ที่เขานึกว่าจะพาเขาไปรอด ชื่อชวน หลีกภัย แล้ววันนี้มาหาครูบาอาจารย์หรือบุพการีคนใหม่ชื่อสุเทพ เทือกสุบรรณ

ตกลงจากอีตันลงมาถึงอีแอบเลยหรือครับอภิสิทธิ์ ทำไมกราฟมันลงอย่างนั้น ได้รับการศึกษา ทุน พ.ก. หรือทุนพ่อกูมาแล้ว ก็น่าจะยังที่ให้มีความสำเร็จ มีความสบาย พอสัณฐานประมาณ แต่ปรากฏว่าด้วยความอยากจะใหญ่โตทางการเมือง โดยที่ไม่สนใจจะปรับตัวให้เข้ากับพี่น้องประชาชน ดันมาใช้วิธีปรับประชาชนให้เข้ากับตัวด้วยการรัฐประหารและระบบกฎหมู่ครองเมือง เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่สำนึกตน ขอให้อภิสิทธิ์สารภาพกับประชาชนว่า ที่ผมยอมตามวิชามารต่างๆ นานามาถึงวันนี้ เพราะผมไม่มีปัญญาชนะเลือกตั้งครับ

ประเทศเขาต้องการนายกเลือกตั้ง ไม่ใช่นายกไต่เต้า อภิสิทธิ์ หรือไม่ใช่ต้องการอย่างรองนายกฯ สุเทพ ที่ไต่เต้าอย่างเดียว ไต่เตียงด้วย

หยุดเป็นรัฐบาลที่บริหารโดยกามคุณสักทีสุเทพ เทือกสุบรรณ ประเทศไทยสูงกว่านั้น ประชาชนสูงกว่านั้น และปณิธานของระบอบประชาธิปไตยต้องงดงามกว่านั้น อย่าได้เอามือหรืออวัยวะอันสกปรกของคนทุกคนในทำเนียบจากพรรคประชาธิปัตย์ในตอนนี้มาแปดเปื้อนกับของมงคลของประชาชนคือระบอบประชาธิปไตย

พี่น้องครับ ในขณะนี้มวลชนคนเสื้อแดงของเรา มาถึงจุดที่ต้องแสดงกำลังให้เขาเห็นทั่วประเทศ การที่เราจะต้องแสดงพลังในแต่ละจังหวัด ในแต่ละจุดนั้น จะต้องเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ พี่น้องเสื้อแดงที่มาที่ชุมนุมหน้าทำเนียบไม่ได้ ติดภารกิจ ไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ต้องดูแลธุรกิจ เรือกสวนไร่นา อย่าได้ห่วงครับ เสื้อแดงนั้นจะขยายเป็นการล้อมประเทศนี้จากทุกจังหวัดแทน

กลับมาที่การต่อยอดปณิธานของการอภิวัฒน์สยาม 2475 พี่น้องที่เคารพครับ ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ได้เคยเล่าเป็นการส่วนตัวว่า ท่านพลาดสองเรื่อง เรื่องแรกก็คือ ท่านไม่เผด็จศึกเสียตอนที่เผด็จศึกได้นั่นคือระลอกแรก

ครั้งที่สอง เมื่อท่านเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทย มีสมาชิกเป็นจำนวนแสนๆ ติดอาวุธพร้อม สู้กับรัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งเป็นศัตรูในขณะนั้นไม่ใช่ในตอนนี้ ซึ่งยึดครองประเทศไทยอยู่ แต่ท่านเป็นคนดีเหลือเกินครับ พอหมดสิ้นเสรีไทย ท่านปลดอาวุธเสรีไทยหมดเลย ท่านยอมรับว่าท่านพลาดครั้งที่สอง

ผมจะขอไม่พูดตรงนี้ ว่ามวลชนคนเสื้อแดงจะเรียนรู้จากสิ่งที่ท่านรัฐบุรุษอาวุโสท่านพูดเองว่าเป็นความผิดพลาด เพราะเป็นเรื่องผู้ใหญ่ต้องวิจารณ์ตน และเราก็เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง แต่อยากจะขอเรียนพี่น้องครับว่า ในระดับของวุฒิภาวะของการเรียนรู้พัฒนาตนเอง เพียง 4 ปีเท่านั้น มวลชนคนเสื้อแดงจบปริญญาเอกทางรัฐศาสตร์นั้น มันจะทำให้การต่อยอดอภิวัฒน์สยามเร็วกว่า 70 กว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เป้าหมายของมวลชนคนเสื้อแดงจึงมากกว่าการจะบุกเข้า นายทหารที่อยู่เบื้องหลังทั้งหลายได้สำนึกเอาไว้ ทำเนียบรัฐบาลมันแค่นี้ มาล้อมดูตัวประหลาดเท่านั้นเอง

ชัยชนะของคนเสื้อแดงมาจากการที่เราติดอาวุธทางปัญญา ทำให้พี่น้องประชาชนได้ตื่นจากความมืด และได้รับความสว่าง เมื่อนั้นแหละครับ ไม่ว่าจะมีอะไรที่หนาหนักแค่ไหน ครอบไว้ ทับไว้ เรายกออกจากตัวได้หมดครับพี่น้อง

ก็ขอขอบคุณ ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ที่ใน 4 ปีที่ผ่านมานี้ กลั่นแกล้ง รังแก บีบคั้น กดขี่ประชาชน จนเขารู้กันทั่วว่าอะไรเป็นอะไร ขอขอบคุณมาก ถ้าไม่ได้เขาเนี่ยเราช้านะครับพี่น้อง เพราะยังมีคนที่ไม่เชื่ออีกมาก เอ๊ะ มันใช่เรอะ มันจริงเรอะ ไม่อยากจะเชื่อ แต่วันนี้มีแต่คนช่วยเผยแพร่ต่อทั้งนั้น หลักฐานมันมัดคอแล้วตอนนี้ นี่แหละครับ ความผิดพลาดที่ไม่ยอมรับผู้นำที่ประชาชนเขายอมรับ ผลกรรมมันตามมาวันนี้

การเมืองไทยจึงมาจุดโค้งที่สำคัญ เป็นจุดโค้งที่ต้องตัดสินใจว่าเอกลักษณ์ของไทยคืออะไร เราได้เห็นธงชาติ ที่พี่น้องของเราโบกไสวอยู่ตรงนี้ เรารู้ดีว่าธงชาติหมายถึงสีแดง สีขาว และสีน้ำเงิน สามสีคู่กัน เสมอภาคเท่าเทียมจึงสงบ สันติ และไม่ต้องใช้อาวุธ นี่เรียกว่าธงไตรรงค์ ไม่ใช่ธงเอกรงค์ สามสี ไม่ใช่ สีเดียว เท่านั้นแหละครับคือความต้องการของประชาชน ไม่อย่างนั้นไม่ยอมลำบาก ไม่ยอมสละความสุขส่วนตัว มาร่วมกันทุกครั้งที่แกนนำกราบขอร้องอย่างนี้หรอก ได้เห็นภาพนี้แล้วได้สำนึก ได้คิด ได้ตึกตรองอะไรบ้างหรือไม่

เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยครึ่งใบก็ไม่เอา ประชาธิปไตยเอาไปแค่นี้ก่อนเพราะประชาชนไม่พร้อมก็ไม่ต้องการ ต้องการประชาธิปไตย ที่มันสมตัวประชาชนและสมศักดิ์ศรีประชาชน นั่นคือประชาธิปไตยไม่มีเงื่อนไข

นั่นคือความต้องการ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรฉบับปี 2540 เป็นจุดเริ่มต้นของการสานประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ยกเว้นอยากจะเป็นหัวที่ตัวไม่มี

นี่แหละครับคือความต้องการของพวกเรา นี่แหละครับคือความเรียบง่ายของสิ่งที่ต่อสู้เพื่อให้ได้มา เมื่อเราได้ประชาธิปไตยมาแล้ว เราก็จะมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องรายละเอียด นั่นเป็นกลไกประชาธิปไตย แต่ประเด็นที่คนไทยไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันก็คือ เรามีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์เท่ากันไม่แบ่งสี

ย้ำอีกครั้ง ว่าเกิดสีแดงเพราะมีสีเหลืองพันธมิตรฯ ขึ้นก่อนนะครับ ถ้าไม่เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 49 ก็ไม่ต้องมีสีแดง มีแต่ประชาชนเต็มขั้นของประเทศไทย ลำดับเรื่องกันให้ดี ลำดับเหตุการณ์กันให้ถูก แล้วจะเกิดปัญญาขึ้นมา

พี่น้องครับสุดท้าย ฝากไว้ เพื่อให้เวลายังคงอยู่ในย่านที่เราจะได้ประกาศเรื่องราวสำคัญต่อไปได้ วันนี้ทำหลายภารกิจหน่อย กลอนสั้นไปนิดนะครับพี่น้อง ไม่มีเวลาจะต่อกลอนยาวนัก ขอฝากไว้ว่า

 

เมืองไทยวันนี้ระบอบไหน
มวลชนไทยจึงยากแค้นสุดแสนเข็ญ
ใช้อำนาจเฉือนเชือดอย่างเลือดเย็น
ขุกฆ่าเข่นคนตรงข้ามตามอารมณ์
 
สนุกหรือที่ได้ฆ่าประชาราษฎร์
จนสังคมฉีกขาดและขื่นขม
มีของดี ดันไปคว้า ก้อนอาจม
เพียงเพราะคนเขานิยมมากกว่าตัว
 
เราพูดถึงประเทศไทยอันไพศาล
ใช่อาการหน้าละเหี่ยแบบเมียผัว
เรามุ่งหาคำตอบทุกครอบครัว
แต่เพราะเห็นแก่ตัวมัวทำลาย
 
ขุดหลุมฝังตัวเองอยู่ทุกวัน
ประชาชนทั้งนั้นเขาแหนงหน่าย
ปล่อยให้เขาโศกศัลย์รอวันตาย
สีแดงจึงขยายทั้งแผ่นดิน
 
จากวันนี้เราไม่ฟังอย่านั่งหลอก
เพราะกลับกลอกเหลือร้ายหัวใจหิน
ขอประกาศว่าแดงทั้งแผ่นดิน
ต่อให้สิ้นใจตายไม่เลิกรา
 
ขอบคุณมากครับ

หมายเหตุ:
ขอบคุณคุณ
Tuxedo ผู้รวบรวมคลิปการปราศรัยในคืนวันที่ 26 ก.พ. ใน กระดานข่าวประชาไทเว็บบอร์ด

Subscribe to ประชาธิปัตย์