Skip to main content

เกิดหลงไปในเมฆอย่างฉับพลัน  อยากชวนไปดูเมฆ ฉากหลังเบื้องหลังของคนสัตว์สิ่งของ (ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้รบฆ่ากันของมนุษย์) เรื่องของเรื่องก็คือผมผ่านไปเห็นอะไรที่เหมือนไม่เกี่ยวกับเมฆ มาตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา  

แต่น่าแปลก กลับเกี่ยวกับเมฆตลอดเวลา  
ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเลย กว่าจะได้ไปยืนอยู่เบื้องหน้ายอดอกเมฆก้อนนั้น ก้อนโน้น
อันที่จริงจะเรียกว่า มองเมฆก่อนเห็นใดอื่น ก็ไม่ใช่ เห็นสองฝักราชพฤกษ์แล้วเกิดหลงรักในฝักที่ห้อยย้อยคู่ขนานลงมา   

20080225 ภาพประกอบ (2)

เหมือนมันจะวัดวันยืนยาวกันหรือเปล่า ว่าใครร่วงหล่นก่อน ก็ไปนอนรออยู่บนพื้นดิน   
แปลกแท้  ผมกลับยืนมองด้วยความเพลิดเพลิน  
ยิ่งท้องฟ้าเป็นสีฟ้า  ยิ่งไม่รู้สึกเสียดายฟิล์ม
(ผมยังอยู่ในโลกย้อนยุคอันอุดมไปด้วยฟิล์มสี  ตอนนี้ราคา 95 บาทต่อม้วน  ค่าล้าง 30 บาท/ม้วน  ค่าล้างรูปขนาดจัมโบ้ 5 บาท/รูป  หักลบคูณหารภาพเสีย  ภาพไม่ได้ใช้งานบ้าง  ก็ยังต้องยอมใช้ฟิล์มสีถ่ายรูปอยู่ดี  ล้างอัด  อัดแล้วซื้อฟิล์มม้วนใหม่อีกครั้ง ..)

กว่าจะเห็มเมฆ  ต้องรอล้างฟิล์มจนเห็นรูป  เห็นเมฆ

20080225 ภาพประกอบ (4)

อีกฟากหนึ่งของดอยหลวงเชียงดาว  พลันปรากฏเมฆไหล  อ้อมตีวงล้อมยอดเขาใหญ่  งามตาเย็นใจ  
โหย ... ว่างงานเสียจริง  ดั้นด้นไปมองเมฆ  
(ยุคน้ำมันแพงนี่หนา  ปาท่องโก๋ (ขนาดข้อมือเด็กริมถนนนิมมานเหมินทร์) เพิ่มราคา 1 ตัวต่อ 1 บาท  น้ำมันพืชกับน้ำมันเบนซิน-โซล่า เป็นเรื่องเดียวกัน)  

เมฆหนึ่งก้อนราคาเท่าไหร่!!?..

20080225 ภาพประกอบ (1)

ล่องน้ำแม่ปิง  โดยบังเอิญเช่นกัน  ติดเรือหางแมงป่องตอนบ่ายแก่ๆ   พลันปรากฏเมฆขึ้นเหนือหอ  หอไม่ได้เอน  แต่เรือเอน  ยืนถ่ายบนแคมเรือเอียง  กลับได้เมฆก้อนทรงงามอย่างไม่คาดฝัน
(ขอเลี่ยงไม่เขียนเหนือเมฆ ให้เหนือความคาดหมาย ผูกโยงไปถึงฝายหินกั้นแม่น้ำ  หรือโครงการประตูน้ำกั้นน้ำปิง  เรือแมงป่องก็คือเรือแมงป่อง  นำพาไปดูก้อนเมฆ..)

20080225 ภาพประกอบ (3)

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ   พบกลุ่มเมฆหนาหนัก  ลอยข้ามผ่านแม่น้ำ
(ลืมคิด) เมฆบนเรือเหนือแม่น้ำราคาเท่าไหร่
แล้วฝนก็ตกลงมา   ฝนเดือนกุมภาพันธ์  ส่งท้ายหน้าหนาว

20080225 ภาพประกอบ (5)

เรือลอดใต้สะพานขัวเหล็ก  ตึกสูงเป็นฉากหลัง  และนครพิงค์ริมน้ำ 2551 ความรู้สึกผมเหมือนรูปร่างๆ ดำๆ เป็นเงาอยู่ริมขอบรูป  เบลอๆ งงๆ  มายืนอยู่กลางแม่น้ำได้ไง  
มาอย่างไม่มีจุดหมายเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เหมือนตั้งใจไปดูเมฆ เมฆกลางแม่น้ำ (ราคาเท่าไหร่)

เมฆเหนือยอดดอยเชียงดาว  หรือเมฆเหนือน้ำแม่ปิง   เหมือนจงใจเข้ามาอยู่ในภาพ   หากผมไม่ผ่านไปในนาทีนั้น  วันนั้น  ก็คงไม่ได้เห็นเมฆก้อนนั้น
เมฆ  บนหนทางเผาไหม้ของเชื้อเพลิง  

บางที  เรื่องบางเรื่องก็บางเบาโหวงเหวงเหมือนเมฆ  แค่ฉากหลังของส่วนประกอบไม่มีน้ำหนัก  
ไม่ดูก็ไม่ช่วยให้ราคาเชื้อเพลิงลดราคาลงมาได้  
เข้าทำนอง  เบาเหมือนเมฆ หนักเหมือนเชื้อเพลิง
แล้วเมฆกับเชื้อเพลิง  เกี่ยวกันได้ไง..??
          

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ