Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง พี่มีนา  ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ 1. ทำไมต้องรออายุเยอะจึงคิดปฏิบัติ หลายๆ คนมองว่าการปฏิบัติธรรมหรือการเข้าวัดเข้าวาเป็นเรื่องของผู้สูงอายุ ปฏิเสธไม่ได้หรอกค่ะว่าผู้สูงอายุมักมีเวลาว่างมากกว่าคนวัยเด็กและผู้ใหญ่ บางคนก็เกษียณมาจากการรับราชการ ใช้เวลาอยู่บ้านเฉยๆ จึงไม่แปลกที่จะมีเวลาว่างมากมายในการปฏิบัติธรรมมากกว่า จึงเหมือนกลายเป็นของคู่กันว่าธรรมะต้องคู่กับคนวัยสูงอายุ แต่จริงๆแล้วการที่จะรอให้เราถึงวัยเกษียณก่อนนั้นเป็นเรื่องของการ “วางปลาทูไว้ใกล้แมว” เพราะมันเสี่ยงมาก บางคนอาจโชคดีหน่อยที่อายุยืนและได้ปฏิบัติธรรมตอนอายุเยอะตามที่คิดไว้ แต่บางคนที่ไม่ได้อายุยืนขนาดนั้นล่ะ? รวมถึงผู้ใหญ่หลายๆ คนที่มักพูดว่า “ไม่มีเวลา” เพราะงานเยอะหรืออะไรต่างๆนาๆ อันที่จริงแล้วการปฏิบัติมีความหมายกว้างมากกว่าแค่การนั่งหลับตานิ่งๆอยู่กับที่ แต่หมายถึงได้ทั้งการ เดินอย่างมีสติ กินข้าวอย่างมีสติ หรือ ทำงานอย่างมีสติด้วย เพราะฉะนั้นจะบอกว่า “ไม่มีเวลา” คงจะไม่ได้แล้วนะคะ :P
เมธัส บัวชุม
ท่ามกลางเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่จากนักวิชาการสายพันธมิตร, สื่อสายพันธมิตร, 40 สว. ลากตั้งสายพันธมิตร, พรรคการเมืองสายพันธมิตร, นักสิทธิมนุษยชนสายพันธมิตร, คนกลางสายพันธมิตร, คนดีสายพันธมิตร, ตุลาการสายพันธมิตร และอะไรต่อมิอะไรสายพันธมิตรนั้น เราพอจะได้ยินได้อ่านอะไรที่แตกต่างสร้างสรรค์ เป็นถ้อยคำรื่นหูที่ได้ยินแล้วสบายใจอยู่บ้างแม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม เสียงส่วนน้อยเหล่านี้ควรค่าแก่การจดจำตอกย้ำหรือเก็บไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง เป็นเสียงแห่งความกล้าหาญที่ช่วยดึงรั้งไม่ให้สังคมเตลิดไปกับความหลงผิด เป็นเสียงแห่งเหตุผลและความถูกต้อง เชื่อว่าหลายคนคงผ่านหู ผ่านตามาแล้ว แต่ขอนำเสนอซ้ำอีกครั้งหนึ่ง 1.ที่น่ายินดีก็คือการพระราชทานสัมภาษณ์แก่นักข่าวต่างประเทศ ของสมเด็จพระเทพ ฯ เมื่อถูกถามว่า “พระองค์เห็นด้วยหรือไม่ที่กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงกล่าวว่า พวกเขากระทำการในนามของสถาบันกษัตริย์” "ข้าพเจ้าไม่คิดเช่นนั้น" พระองค์ตรัสตอบคำถาม "พวกเขาดำเนินการสิ่งต่างๆ เพื่อตัวพวกเขาเอง" (ข่าวสด,12 ตุลาคม พ.ศ. 2551, ปีที่ 18 ฉบับที่ 6527) http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNakV5TVRBMU1RPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd09DMHhNQzB4TWc9PQ==
นาโก๊ะลี
“ไม่มีหนทางไปสู่สันติ หากแต่ว่าสันตินั่นแหละคือหนทาง” นี่เป็นคำกล่าวของ เอ เจ มัสเต นั่นหมายความว่า ตราบที่มนุษย์ยังตามหา แสวงหา ค้นหาสันติ พวกเขาทั้งหลายจะไม่มีทางได้พบมัน นั่นเพราะว่าปลายทางแห่งสันตินั้นอาจจะไม่ได้มีอยู่ หากแต่ว่า ทางเดินบางทางต่างหากคือสันติ เช่นนั้นแล้วน่าสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าผู้คนทั้งหลายผู้แสวงหาสันตินั้น พวกเขาเดินอยู่บนทางสายไหน พวกเขาเดินอยู่บนทางที่ชื่อสันติหรือไม่ แต่กระนั้น ที่สุดแล้ว ทางแห่งสันติมันไม่ได้เป็นรูปธรรม แต่ทางเส้นนั้นทอดยาวอยู่อย่างไม่มีจุดสิ้นสุดอยู่ในใจ อยู่ในจิตสำนึกของเราเอง มันทอดยาวขนานไปกับทางแห่งความเคียดแค้น ชิงชัง ว่ากันมาว่า เราจะค้นพบสันติได้อย่างไร ขณะที่ใจเรายังมีความโกรธ เกลียดชัง เพราะที่เราเกลียดชังคือมนุษย์ นั่นแปลว่าเราไม่ได้ศรัทธามนุษย์ และเราก็ย่อมเป็นมนุษย์ นั่นแปลว่าลึกๆ เราก็ไม่ได้ศรัทธาตัวเอง เช่นนั้นแล้วเราจะไปแสวงหาบางสิ่งจากผู้อื่น บางสิ่งที่ลึกๆ เราไม่เชื่อว่ามันมีอยู่ นั่นเพราะว่าในใจเราหาไม่พบสิ่งนั้นเช่นเดียวกัน
โอ ไม้จัตวา
ชอบเพลงนี้มานาน ชื่อเพลง wish you were here ของวงพิงค์ ฟรอยด์ ฟังครั้งแรกจำได้ว่าเพื่อนในม.ช.เปิดให้ฟังเพลงโหยหวนสักเพลง รู้สึกเหมือนฟังซาวด์แทร็กหนังผี กลัวมาก แต่พอฟังไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกชอบ โดยเฉพาะเมื่อครั้งเล่นเพลง Another brick in the wall ที่กำแพงเบอลิน และทุบกำแพง ช่างเป็นเพลงที่เข้ากับวาระและสถานที่จริง ๆ ชื่อเพลงฟังดูโรแมนติค แต่มาอยู่ในเวบนี้อาจมีคนคิดแบบ politic (ฮา) ว่าเราปรารถนาใครคนหนึ่งที่อยู่ไกลให้กลับมา แต่เปล่าเลย สิ่งที่ใฝ่ฝันถึงในวันนี้คือ ท้องฟ้าสีฟ้าที่ไร้ความเจ็บปวด ไม่ต้องสวรรค์ ไม่ต้องนรก เอาแค่เป็นคนธรรมดา ๆ กินอิ่มนอนหลับบนผืนแผ่นดินได้โดยไม่ต้องวิตกกังวลว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร คิดแบบนี้จะหายใจดังไปหน่อยไหม คิดทางขวาก็เจอมือตบ คิดทางซ้ายก็เจอตีนตบ ไม่มีที่ว่างให้อวัยวะส่วนอื่นได้ถอนหายใจบ้าง เพลงนี้เต็มไปด้วยคำถาม ฟังไปก็คุ้น ๆ ยังไงไม่รู้ So, So you think you can tell Heaven from Hell?Blue skies from pain? Can you tell a green field From a cold steel rail?A smile from a veil?Do you think you can tell? Did they get you to trade Your heroes for ghosts? Hot ashes for trees?Hot air for a cool breeze? Cold comfort for change?Did you exchangeA walk on part in the war For a lead role in a cage? How I wish How I wish you were hereWe're just two lost souls swimming in a fish bowl Year after year Running over the same old ground What have we found? The same old fearsWish you were here   
SenseMaker
หากท่านผู้อ่านได้อ่านบทความก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นบทความเรื่อง “การเข้าถึงเทคโนโลยี ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความแตกต่างทางสังคม และสังคมในแนวขนาน” หรือเรื่อง “เว็บยุค2.0 สื่อพลเมือง และการท้าทายกระแสหลัก” และเรื่อง “ICT ตัวการแห่งการเปลี่ยนแปลง และผลลัพท์ทางสังคมที่ย้อนแย้ง” ข้าพเจ้าเชื่อว่าบทความเหล่านี้ จะทำให้ทุกท่านที่อ่านเริ่มตระหนัก ข้อเท็จจริงที่ว่า ICT เป็นตัวแปรต้นของความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ว่า สังคมของเราทุกวันนี้ มีความหลากหลายทางระบบความคิด ความเชื่อ และมีความแตกต่างทางด้านค่านิยมมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมข้างต้น แน่นอนว่าไม่ได้ถูกผลักดัน ด้วยความก้าวหน้าทางด้าน ICT อย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ข้าพเจ้าเห็นว่า ระดับความรู้และพื้นฐานการศึกษาที่สูงขึ้นของสมาชิกในสังคม ยังเป็นอีกตัวแปรหนึ่ง ที่ส่งเสริมความหลากหลายและความแตกต่างทางความคิด กระนั้นก็ดีข้าพเจ้าไม่คิดว่า เราสามารถปฏิเสธบทบาทสำคัญของ ICT ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ ซึ่งช่วยให้ความหลากหลายของ ระบบความคิด แนวความเชื่อ และค่านิยมในสังคม เกิดการสื่อสาร เผยแพร่ และกระจายตัว อย่างรวดเร็วและในวงกว้างทั่วสังคม
Hit & Run
< จิรนันท์ หาญธำรงวิทย์ >หลังจากอ่าน บทสัมภาษณ์ของซูโม่ตู้ หรือจรัสพงษ์ สุรัสวดี ในเว็บไซต์ผู้จัดการรายสัปดาห์ออนไลน์ แล้วพบว่าสิ่งหนึ่งที่ควรชื่นชมคือ ความตรงไปตรงมาของจรัสพงษ์ที่กล้ายอมรับว่าตนเองนั้นรังเกียจคนกุลีรากหญ้า ที่ไร้การศึกษา โง่กว่าลิงบาบูน รวมไปถึง “เจ๊ก” และ “เสี่ยว” ที่มาทำให้ราชอาณาจักรไทยของเขาเสียหาย เป็นความตรงไปตรงมาของอภิสิทธิ์ชนที่ปากตรงกับใจ ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา ที่คงไม่ได้ยินจากปากนักวิชาการ หรือนักเคลื่อนไหวคนไหน (ที่คิดแบบนี้) (เดี๋ยวหาว่าเหมารวม)
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
สวัสดีค่ะ อาทิตย์นี้ ท้องฟ้าที่เชียงใหม่เริ่มใส เริ่มสูง และมีสีเข้มลึกมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณบอกถึงการมาของฤดูหนาว ...ฤดูหนาว สำหรับคนที่เกิดและโตในบ้านนอกอย่างเรา ถือเป็นช่วงเวลาที่พิเศษและรอคอยอยู่ตลอดมาเลยล่ะค่ะ ส่วนหนึ่งอาจเพราะเป็นคนกลัวเสียงฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า น้ำท่วม ฯลฯ ฤดูฝนคือช่วงเวลาของความน่ากลัวๆๆ และรอว่าเมื่อไหร่มันจะจบลงเสียที! แต่ในหน้าหนาว ถึงจะเคยอยู่ในที่ๆ หนาวสุดๆ จนต้องห่มที่นอน (สะลี) แทนผ้าห่มมาแล้วก็ตาม ก็ยังเป็นความรื่นเริงที่จะได้ตื่นแต่เช้า พ่นควันออกจากปาก ชะโงกหน้าไปดูผิวน้ำในคลองเล็กๆ ที่มีกระไอลอยกรุ่น ได้ชะเง้อดูพระอาทิตย์ที่จะลอยขึ้นเหนือภูเขาทางทิศตะวันออก เห็นสีส้มอมชมพูค่อยๆ ทาขึ้นทาบฟ้า เหมือนแก้มของเด็กผมม้าที่สวมเสื้อกันหนาวสีตุ่นๆ ขี่จักรยานไปโรงเรียนตอนเช้า เราชอบหน้าหนาวจังเลยล่ะค่ะ (จริงๆ ก็ชอบทุกฤดู แต่ขอลำเอียงหน่อยนะ) ในปีนี้ อีกครั้งที่โยกย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ทำความรู้จักกับฟ้า ดิน อากาศ สภาพแวดล้อมและผู้คนใหม่ๆ มีคำกล่าวว่า แท้จริงโลกนี้ไม่มีอะไรใหม่อย่างแท้จริงเลย แต่ก็นั่นล่ะค่ะ ในบางมุมที่กระแดะดัดจริตนิดๆ เราก็ยังคิดว่า ดีจัง ฤดูหนาวปีนี้ เราจะได้เห็นท้องฟ้าที่อยู่เหนือหลังคาบ้านของตัวเอง (โปรดสังเกตนัยะในประโยคหลัง) จะได้เห็นต้นไม้ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ได้เห็นแมลงและนกและผีเสื้อ และสีของเสื้อกันหนาวแตกต่างหลากหลาย ดีจัง! นานๆ จะอยากโรแมนติคสักทีค่ะ อยากถามคุณๆ ว่า เวลาที่คุณอยู่ในที่ๆ หนาว หรือในฤดูหนาว คุณทำและคิดอะไรบ้างคะ ที่เรียกมันว่า “สิ่งดีๆ ในชีวิต” น่ะค่ะ คุยกันหน่อยเนอะ ใครที่ผ่านเข้ามา เชิญนะคะ
หัวไม้ story
ประชาไทขอนำเสนอคลิปวิดิโอ 'หลังทักษิณ' มุมมอง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจากคนใกล้ตัวที่บ้านเกิด อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ และบทวิเคราะห์การเมืองไทยหลังทักษิณ โดย รศ.ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ นักวิชาการภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 
ชนกลุ่มน้อย
พอพ่อลูกเดินไปถึงสถานีขนส่งช้างเผือก คนก็มองจ้องราวกับกำลังจะมีฉากถ่ายหนังในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขากองสัมภาระไว้ข้างเก้าอี้ ลูกชายนั่งเฝ้า เขาเดินไปซื้อตั๋ว คนมองลูกชายพลางมองพ่อไปมา บางคนแอบกระซิบยิ้มหัวขณะสายตามองไปยังลูกชาย “เชียงดาวสองที่นั่ง” คนเป็นพ่อมองหญิงวัย 40 กว่าๆ ดูสีหน้าแววตาขี้เล่น ใบหน้าลงเครื่องแป้งหนาลบวัยจริง เป็นใบหน้าคอยถามตอบต้อนรับผู้โดยสาร “ลงที่ไหนจ้าว..วว์” เสียงหวานถามกลับเป็นสำเนียงคำเมืองยืดหางเสียง คนเป็นพ่อนิ่งคิด ชั่วอึดใจนั้น คนขายตั๋วก็มีสถานที่นำเสนอให้ลง “สถานีตำรวจมั้ยจ้าว” น้ำเสียงนั้นเจือยิ้มหัวเป็นกันเอง พอให้รู้ว่าเย้าแหย่เล่นหรอกนะ อย่าซีเรียสจริงจังไปเลยพ่อหนุ่ม พ่อของลูกชายรีบตอบกลับไป “น่าจะดี ไปลงสถานีตำรวจสักครั้ง แต่เอ๊ะ มีสถานีอื่นมั้ยที่ไม่ใช่สถานีตำรวจ สถานีขนส่งอย่างในหนังเรื่องเดอะเลสเตอร์มีมั้ยครับ” เขานึกไปว่า คำพูดตอบน่าจะกลืนไปกับอารมณ์คนขายตั๋วกระมัง “มีจ้าวๆ เพิ่งสร้างใหม่ ดีกว่าในหนังเสียอีก สีแดงสีเหลืองเห็นแต่ไกลเลยจ้าว จะเตียวไปไหนก่อได้ ไปไหนก่อจ้าว..” คนเป็นพ่อตอบตกลง เตียวคือเดิน โอเค..ช็อกโกแล็ตแซทเทอเดย์สถานีขนส่งเชียงดาว แต่เขาไม่ตอบคำถามว่าจะไปไหนต่อ “หกสิบบาทจ้าว รถบัสแดงคันที่จอดอยู่นั่นนะจ้าว” ..
แสงพูไช อินทะวีคำ
สมสีเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อเผย ชาวบ้านต่างกล่าวขานกันว่า เป็นผู้หญิงที่สวยเพียบพร้อมด้วยสมบัติบารมี ตรงตามตำราโบราณ รูปร่างสมส่วน ผิวขาวเหมือนไข่ปอก เข้ากับภาษิตที่ว่า ‘ตีนมือสวยลงน้ำหมานปลา ตีนมือหว้าลงนาหมานข้าว ไผได้เอาฮ่วมซ้อนคำไร้แม่นบ่มี’ เรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านห้วยจิก วันนี้จ่อยกลับจากไปสู่ขวัญบ้านใต้ มองเห็นพ่อเผยกำลังนั่งเหลาตอกอยู่เพียงลำพัง จึงร้องทักอย่างคนคุ้นเคย “พ่อเผยเอ้ย! ข้อยขอเป็นลูกเขยได้บ่” จ่อยทั้งร้องทักทั้งส่งเสียงหัวเราะแหะๆ “บักจ่อย! มึงกล้าแต่ฮ้องใส่กูนี้แล้ว ถ้ามึงกล้าเว้ากับอี่สี แล้วมันตกลงแต่งงานกับมึง กูจะบ่ขัดทั้งสิยกให้มึงโลด” พูดจบ พ่อเผยดึงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อยัดใส่ปากแล้วจุดไฟดูดควันเข้าปอดเต็มแรงแล้วพูดขึ้นอีกว่า “มึงมาแต่ทางใดจึงมาฮ้องใส่กู?” พ่อเผยพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ข้อยมาแต่บ้านใต้ ไปมัดแขนหลานน้อยเฮือนป้าจัน” จ่อยผ่อนแรงเดินให้เฉื่อยลงแล้วเดินเข้าไปหาพ่อเผยช้าๆ เพื่อแสดงความรักนับถือที่มีต่อกัน ไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินแม้แต่น้อย ถึงแม้นว่าไม่ได้คิดเกินเลยไปจากความรักนับถือกัน บางครั้งจ่อยก็คิดว่า หากได้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับพ่อเฒ่าคงมีความสุขนอกจากจ่อยแล้ว ยังมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่บ้านใกล้บ้านไกล ต่างก็พากันสุมหัวซุบซิบยื่นหน้าลอยตาอย่างออกรสชาติ เพราะปรารถนาตำแหน่งลูกเขย ดูไปแล้วก็คงเป็นวาสนาของพ่อเผยแท้ๆ เพราะหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่มาตามตื้อสมสีไม่มีใครขี้เหร่แม้แต่คนเดียวรวมทั้งจ่อย ถึงแม้ว่าจะมีรูปร่างไม่ต่างกับชื่อก็ตาม
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
คำว่า “เพื่อน”มีความหมายมากมาย เป็นคนที่ไปเที่ยวด้วยกัน ช่วยเหลือกัน กินด้วยกัน มีอะไรในใจพูดได้ทุกอย่างพูดแล้วสบายใจ เป็นที่ปรึกษาปัญหาสารพัด ยืมเงินได้แต่ต้องใช้ตรงเวลา บางคนรักเพื่อนมาก เพื่อนทำผิดยังปกป้อง ก็ต้องพิจารณารักเพื่อนมากไปไหม เพื่อนผมคนหนึ่ง พ่อแม่เลิกกัน แม่แยกมาอยู่กับน้องสาว น้องสาวมีครอบครัว สามีน้องสาวคงไม่เต็มใจต้อนรับนัก เพื่อนผมมักมีเรื่องโต้เถียงกับสามีพี่แม่ ผมได้ยินครั้งหนึ่ง ทั้งคู่พูดกูมึง ซึ่งนับว่ารุนแรง แม่ผมคงรู้เรื่องนี้ดีและรู้จักคุ้นเคยกับแม่เพื่อน แม่ขี้สงสาร เห็นอกเห็นใจคน จึงบอกให้เพื่อนผมว่า“หากไม่สบายใจ..มาอยู่กับสันทัดก็ได้ มานอนที่บ้านแม่ เวลากินก็กลับไปกินที่บ้าน มาเถอะ แม่ถือเป็นลูกคนหนึ่ง”สันทัด เป็นชื่อผม แม่บอกผมชวนเพื่อนด้วย ผมบอกว่า“มาอยู่ด้วยกันซิ นอนในห้องนอนกันนั่นแหละ แบ่งกันคนละครึ่ง...แต่ห้ามล้ำเขตนะโว้ย”ผมตบท้ายให้ตลก เพื่อนจะได้ไม่คิดมาก เพื่อนผมคนนี้ชื่อ “บุญมา” ก็มาอยู่บ้านผม นอนอีกข้างหนึ่งของห้อง ผมจำได้ว่า เป็นเดือนเมษายน โรงเรียนปิดภาคเรียนใหญ่ ผมเป็นข้าราชการครู ได้ปิดพักผ่อนยาวทีเดียว เพื่อนผมเป็นลูกจ้างร้านรถยนต์
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ข้าใส่เสื้อสีเหลือง ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งความชอบธรรมของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งความถูกต้องของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งความดีงามของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งข้อเท็จจริงของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งความเป็นจริงของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งเหตุผลของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อสีเหลืองแห่งอุดมการณ์ของข้า ใช่ เพราะข้าเชื่อในสีเหลืองแห่งพลังมวลชนอันยิ่งใหญ่ของข้า และความเชื่อในสีเหลืองทั้งหมดของข้า เป็นความเชื่อที่ข้าเชื่อว่า เป็นความเชื่อที่ถูกต้องที่สุด และดีที่สุดที่ข้ามี แต่เพียงผู้เดียวในโลกนี้ ข้าจึงไม่มีวันที่จะประนีประนอม กับใครหน้าไหนในโลกนี้ทั้งสิ้น

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม