Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หญิงสาวผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง เป็นคนที่ชอบตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระแต่เช้ามืดทุกวัน จนเป็นกิจวัตร เช้าวันหนึ่ง หลังจากตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระเรียบร้อยแล้ว ขณะเดินกลับเข้าประตูรั้วบ้าน เธอก็ได้ยินเสียงร้องครางหงิงๆดังมาจากรั้วข้างประตูด้านใน เมื่อเหลือบตาไปมองดูที่มาของเสียง เธอก็พบกล่องกระดาษแข็งขนาดย่อมใบหนึ่งที่เปิดฝาด้านบนเอาไว้ ซึ่งคงจะมีใครสักคนหนึ่ง เอาลอดรั้วบ้านมาวางไว้ที่นั่น ก่อนที่เธอจะลงจากบ้านออกมาใส่บาตรพระเมื่อเดินเข้าไปดู เธอก็พบลูกหมาตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักน่าสงสารตัวหนึ่ง นอนตัวสั่นอยู่ในกล่องกระดาษที่รองไว้ด้วยเศษผ้าเก่าๆ เธอจึงรีบทรุดลงอุ้มมันเอาไว้แนบอก และพบจดหมายฉบับหนึ่งพับวางอยู่ในกล่องกระดาษนั้น เธอจึงหยิบออกมาคลี่อ่านทันทีคุณครับลูกหมาตัวนี้ เป็นลูกหมาที่ผมรักและสงสารมันมาก ผมพบมันเดินสะเปะสะปะอยู่ที่กองขยะข้างถนน เข้าใจว่าคงจะมีคนเอามาปล่อยทิ้งไว้ ผมจึงอุ้มเอามันไปอาบน้ำและเลี้ยงไว้ในกระท่อมสัปรังเคของผม เพราะสงสารมัน แต่ผมก็รู้ตัวดีว่า ผมคงไม่มีปัญญาที่จะเลี้ยงดูมันให้ดียิ่งไปกว่านี้ได้เพราะผมเป็นคนจนหาเช้ากินค่ำ มีรายได้จำกัดจำเขี่ย มีชีวิตลุ่มๆดอนๆอดๆอยากๆอดมื้อกินมื้อ ถึงแม้ตอนนี้ผมจะพอเลี้ยงดูมันได้ แต่ถ้ามันตัวโตและกินจุมากขึ้น ผมคงไม่สามารถแบ่งข้าวปลาอาหารให้มันกินได้อิ่มทุกวัน แล้วในที่สุดชีวิตของมันก็คงพลอยลำบากไปกับผมด้วย หรือถ้ามันเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ผมก็คงไม่มีปัญญาพามันไปหาหมอ เพราะแม้แต่ตัวผมทุกวันนี้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าหากอาการไม่หนักหนาสาหัสจริงๆ ผมก็มักจะอดทนปล่อยให้มันหายไปเอง เพราะบ่อยครั้ง อย่าว่าแต่ค่าหยูกยาเลย แม้แต่ค่ารถจะออกไปหาหมอก็ยังไม่มีผมแอบสังเกตดูคุณมานาน นอกจากคุณจะมีฐานะเป็นผู้มีอันจะกินแล้ว คุณยังเป็นคนใจบุญสุนทานด้วย เพราะผมเห็นคุณตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระแต่เช้ามืดทุกวัน ผมจึงขอมอบมันไว้ให้คุณเลี้ยงดู เพราะเชื่อว่าคุณจะต้องเลี้ยงดูมันได้ดีและมีความสุขมากกว่าคนจนๆหาเช้ากินค่ำอย่างผม ที่มีให้มันได้แค่ใจรักและสงสารมัน เท่านั้นเองขอบคุณครับ ..................  ครับเรื่องที่ผมเขียนจากความทรงจำเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผมได้อ่านมานานแสนนานแล้ว จากจุลสารเล่มเล็กๆของมูลนิธิอะไรสักอย่าง ผมก็จำไม่ได้แล้ว รวมทั้งผู้เขียนด้วย แต่เรื่องนี้กลับฝังลึกอยู่ในใจผมไม่รู้ลืม มีเหตุให้คิดถึงคราวใด ก็นึกถึงเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำในคราวนั้น อาจเป็นเพราะว่าชีวิตของผม เคยพบปะแต่เรื่องรักๆใคร่ๆแบบผูกพันกันเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ แบบละครน้ำเน่าที่น่าขยะแขยงในจอทีวี ชึ่งวันๆไม่เคยคิดอะไร นอกจากคอยหึงหวงตบตีแย่งผัวแย่งเมียกัน ไม่ค่อยมีโอกาสได้พบปะเรื่องรักชั้นดีที่งดงามและสูงส่งแบบนี้ เรื่องนี้จึงอยู่ในใจผมไม่รู้ลืมมาตลอดชีวิต. 13 กุมภาพันธ์ 2551กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา....เมื่อวางแผนการเดินทางเสร็จสิ้น และพยายามที่จะเคลียร์งานทุกอย่างให้แล้วเสร็จก่อนช่วงส่งท้ายปีเก่า ฉันเดินทางออกจากบ้านที่เชียงรายในวันที่ 24 ธันวาคม 2550 เพื่อมาจัดการงานต่างๆ เอกสารที่คั่งค้างจากการทำวิจัย ช่วงการเดินทางโดยรถทัวร์จากเชียงรายมายังกรุงเทพฯ ฉันนอนไม่ค่อยหลับ เพราะกลัวหลายเรื่อง กลัวรถจะชน กลัวจะมี “มาร” มาขวางไม่ให้ได้ไปปฏิบัติคำว่า “มาร” ในที่นี้ ฉันไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เท่าที่เคยสัมผัสคือ น่าจะมาเป็นลักษณะของอุปสรรค กีดกันไม่ให้เราไปปฏิบัติ อย่างเช่นบางคนพอจะไปปฏิบัติธรรม ก็ป่วยไม่สบาย หรือ ประสบอุบัติเหตุ หรือว่าคนรอบข้างเราเช่น ญาติพี่น้อง ป่วยไม่สบาย ทำให้เราเดินทางต่อไปไม่ได้ เมื่อก่อนตอนที่ฉันจะไปปฏิบัติที่ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก ก็เจอแบบอาการป่วยไม่สบายตามร่างกาย ซึ่งก็กลัวว่าการจะไปปฏิบัติครั้งนี้ที่วัดป่าสุคะโตจะเป็นแบบนั้นอีกทีนี้พออยู่บนรถทัวร์ระหว่างทางไปกรุงเทพฯ ในคืนนั้น รถทัวร์ขับเร็วมากๆ และก็เกือบชนกันสองหน แต่ตอนนั้นก็ตั้งสติตลอดว่า ถ้าจะตายก็ขอให้ตายไปเลย......สุดท้าย มาถึงกรุงเทพฯ ด้วยความปลอดภัย และใช้เวลาอยู่ในกรุงเทพฯ สอง วัน ก่อนจะเดินทางไปจังหวัดชัยภูมิในวันที่ 27 ธันวาคม 2550 ระหว่างที่อยู่กรุงเทพฯ ได้จัดการเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย ซึ่งเพื่อนที่ทำงานร่วมกันบอกว่าต้องหาเอกสารเพิ่มอีกหลายชุด เกี่ยวกับทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคงต้องใช้เวลาหานานพอสมควร ดีไม่ดีอาจจะไม่ได้ไปวัดป่าสุคะโต ซึ่งเมื่อฟังข้อเสนอแนะเสร็จ ฉันก็ได้พยายามที่จะหาเอกสารงานต่างๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และจัดการเตรียมตัวก่อนที่จะเดินทางไปยังวัดป่าสุคะโต เพื่อไม่ให้ขัดขวางต่อการไปปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ในที่สุด ฉันก็สามารถจัดการงานได้ทันท่วงที และพร้อมที่จะเดินทางไปยังจังหวัดชัยภูมิ การเดินทางไปวัดป่าสุคะโตที่จังหวัดชัยภูมิ เป็นการเดินทางไปยังที่หมายนี้ครั้งแรก ....ทว่าฉันยังคงระวังตัวและตื่นเต้นอยู่ทุกขณะระหว่างการเดินทาง ฉันคิดถึงหลายๆ เรื่อง ทั้งที่เกิดขึ้นมาในอดีต และคาดการณ์ถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ระยะเวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ – ชัยภูมิ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ค่าโดยสารรถทัวร์ก็ไม่ถึง 300 บาท (ถูกกว่าค่าเหล้าและกับแกล้มมื้อหนึ่งด้วยซ้ำ) ฉันนั่งคิดไปคิดมา สลับกับการโทรศัพท์หาเพื่อนๆ พี่น้องหลายๆ คน เพื่อทักทายก่อนสิ้นปี บางคนที่เคยมีเรื่องราว “บางอย่าง” ต่อกันในอดีต ก็ขอ “อโหสิกรรม” ต่อกัน - การขอหรือให้อโหสิกรรมเพื่อไม่ให้จองเวร จองกรรม ผูกกรรม สร้างวิบากใหม่ต่อไปให้เกิดขึ้นแก่กันฉันเดินทางจากกรุงเทพฯ ตอนบ่าย 2 และถึงจังหวัดชัยภูมิประมาณ 1 ทุ่มคุณลุงที่เป็นเพื่อนแม่ มารอรับที่บริษัทรถทัวร์ประจำทางที่จังหวัดชัยภูมิ – ลุงทา คือคำเรียกชื่อลุงลุงทา พาฉันไปทักทายกับญาติฝ่ายผู้ใหญ่ที่อยู่ในจังหวัดชัยภูมิ บางท่านเป็นผู้อำนวยการเขตการศึกษา เป็นผู้บริหารขนส่งจังหวัดชัยภูมิ ผู้ใหญ่หลายท่านนั่งสรวลเสเฮฮาเพื่อฉลองการเกษียณอายุราชการของลุงคนหนึ่งป้าคนหนึ่งตักปลาเผาและให้ลุงทาชงเหล้ามาให้ทาน“อ่อ...เอ่อ...ขอบคุณครับ ผมทานเนื้อสัตว์ไม่ได้ครับและไม่กินเหล้าด้วย” ฉันตอบด้วยความเกรงใจป้าท่านหนึ่งถามว่าทำไม?ฉันจึงได้โอกาสบอกว่า ฉันกินอาหารมังสวิรัติ และถือศีล 5 จึงไม่สามารถทานเนื้อสัตว์และดื่มเหล้าได้ และได้ขอบคุณในความปรารถนาดีของผู้ใหญ่ทุกๆ ท่าน  จริงๆ ฉันอยากจะตอบด้วยเหตุผลที่มากกว่านี้ แต่เวลาไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก เพราะเธอและหลายคนอาจงง ว่าทำไมฉันต้องทำแบบนั้น ทำไมต้องถือศีล กินมังสวิรัติ เหตุผลมีอยู่ สามประการหนึ่ง ในการปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวทางมรรคมีองค์ 8 นั้น มีหมวดใหญ่ๆ อยู่ สามอย่างคือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา นั่นคือ หากเราจะปฏิบัติสมาธิ-ปัญญัติเราจักดำรงในศีลเพื่อให้ตัวเองเป็นปกติ ไม่ละเมิดศีล แล้วศีลที่บริสุทธิ์ก็จะส่งผลให้เราทำสมาธิได้ดี และการมีสมาธิได้ดีก็จะทำให้เราเจริญสติ เจริญปัญญาได้ดี ทั้งนี้ ปัญญาของเราก็จะเกื้อกูลการรักษาศีลของเราไปไหนตัวสอง ศีลช่วยกำกับไม่ให้เราทำอะไรที่ไม่ดี เช่น การพูดปด พูดส่อเสียด นินทา ฆ่าสัตว์ ลักขโมยทรัพย์ เพราะการกระทำเหล่านี้จะทำให้เราพบกับผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา ดังนั้นไม่ว่าจะมองทางโลกหรือทางธรรม การรักษาตนในศีลก็ช่วยให้เราไม่พบเจอกับอันตรายใดๆ ที่เข้ามาในชีวิต จากการที่เราทำอะไรผิดๆ สาม พอปฏิบัติวิปัสสนานานเข้า ก็พบว่าตัวเองโกรธ ที่โกรธเพราะอะไรไม่รู้ ลองดูตัวเองมาหลายวัน ก็พบว่าเพราะทานเนื้อสัตว์ จึงลองตั้งใจไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ปรากฏว่าอารมณ์โกรธไม่ค่อยมี เพิ่มเมตตาธรรมในตัวเองเพิ่มมากขึ้น และพอกินไปมากๆ ก็ชินและทำอย่างเป็นปกติติดต่อกันมาหลายเดือน จนพบว่าการทานอาหารมังสวิรัติแม้จะไม่ได้ทานเจ คือ ฉันยังคงกินไข่และนมและผักกลิ่นฉุนต่างๆ อยู่ ก็ช่วยลดการเบียดเบียนสัตว์ ไม่ก่อกรรม สร้างวิบากใหม่ๆ ให้เกิดกับสรรพสัตว์อีกด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกบอกเล่าให้กับเพื่อนๆ ที่สนิทกันฟังอยู่บ่อยๆ จนหลายคนที่รู้จักและเคยกินเคยเที่ยวด้วยกันเมื่อก่อนถึงกับยอมรับกับฉันว่า “รู้สึกไม่คุ้นเคยกับแกเลยนะ” เพราะเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด ทีละน้อย ช่วงหลังๆ เวลาใครเขาจะไปเที่ยวดื่มเหล้าที่ไหน ก็จึงไม่ค่อยจะชวนฉันไป หรืออย่างมากถ้าไป ฉันก็ไปเที่ยว แต่ดื่มเฉพาะน้ำเปล่าหรือน้ำอัดลมเท่านั้นการตั้งวงกินอาหาร ทานเนื้อสัตว์อย่างเอร็ดอร่อยก็เช่นกัน หากฉันได้พูดแบบว่าไม่อยากเบียดเบียนสัตว์ต่อหน้าพวกเขา มีหวังโดนตำหนิว่าไม่รู้จักกาลเทศะแน่นอนโชคดีที่การเจอผู้ใหญ่ในวงเหล้าฉลองปลดเกษียณนี้ฉันไม่เผลอปากพูดออกไปทีนี้พอลุงทา ดื่มเหล้าจนหมดแก้วก็ได้พาฉันกลับไปพักค้างคืนที่บ้านของลุงซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองชัยภูมิ 8 กิโลเมตร และคุยกับฉันเพื่อวางแผนการเดินทางในวันรุ่งขึ้น เพื่อไปยังวัดป่าสุคะโต อย่างที่ฉันได้เล่าให้เธอรับทราบในจดหมายฉบับก่อนนั่นแหละ.....
ชนกลุ่มน้อย
บิเบ - พญาไฟนกเจ้าชายในแดนดงดิบ  ร่ำลือกันว่าทั้งหล่อเหลา ดุดัน ร้อนแรง และมีน้ำเสียงอันไพเราะ  ยามปีกสีเพลิงอยู่รวมปีก  ประหนึ่งต้นพริกเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่  แทบทำให้ป่าเปลี่ยนสี สักครั้ง บรรดานกสาวต่างหมายปองจะเห็นตัวจริงเสียงจริง .. สายเลือดกำเนิดบิเบในป่าสนขุนห้วย  งามปีกของมันเทียบเคียงกิ่งสนชรา  กิ่งบิดปลายเบี้ยวหักงอ ตะปุ่มตะป่ำ  วาดซ้ายขวาขึ้นไปบนท้องฟ้า  ยิ่งแก่กิ่งก้านยิ่งบิดงาม  ยิ่งแก่ยิ่งมีชั้นเชิงเติบโต สีเปลือกแตกลายกร้านโลก ยืนยันมีชีวิตอยู่บนภูเขาสูง  มองปีกเพลิงจากด้านไหน      กลับเย็นเยือกเหมือนใบสนในหมอกฤดูหนาว ไม่มีใครรดน้ำต้นสน   เช่นกัน  ไม่มีใครคิดหว่านเมล็ดข้าวให้บิเบ ไม่เคยขโมยเมล็ดจากช่อรวงข้าวไม่เคยแตะต้องเมล็ดข้าวเรี่ยตกผืนดินกลางทุ่งไร่ไล่จับหนอนแมลงกินเองน้ำเสียงแนะนำตัวเอง ให้รู้จักอีกเสียงหนึ่งในป่าสน"ทำไร่  ตัดต้นไม้อย่าตัดทุกต้นเหลือไว้ให้บิเบมาพักทำรังหนึ่งกิ่ง"บิเบ - พญาไฟนกเจ้าชายในแดนขุนห้วยป่าสนปี่เขาควาย กลองหนังสัตว์ ฆ้อง เคาะไม้ดังขึ้นกลางแดดผีตากผ้าอ้อมบ่ายกิ่งสนเป็นสีเพลิง  เสื้อผ้าเก่าบนเนื้อตัวชายเฒ่าเป็นสีเพลิงบิเบมาถึงพร้อมกับขบวนแห่  เสียงคร่ำครวญจากเพลงโบราณมีดดาบ  ถุงย่าม  เสื้อกางเกงเก่าๆขาดๆปลายเท้าเปลือยเปล่าสัมผัสเย็นเยือกหนักแน่นเนื้อดินไปให้ถึงเรือนรังเปล้าสาวปีกเขียวใบไม้แรกผลิเสียงในราวป่า  สะท้อนถึงกันมาหลายฤดูกาลความสวยงามเติบโต มีชีวิตยากลำบาก  อีกหนึ่งพญานก สง่างาม โทนทางท่องราวไพรบทเริ่มต้นรับรสสิ่งชำรุด  กระโจนสู่ท่วงท่าชีวิตครั้งใหม่ย่ามใบใหม่  เสื้อผ้าตัวใหม่และรอยยิ้มเห็นอกเห็นใจกิ่งใบสนประสานเสียงเพลงคร่ำครวญกับสายลมเย็นฤดูกาลชีวิตครั้งใหม่  บนเส้นทางเก่าแก่ที่สุด เสื้อผ้ายังไม่ผ่านห้วงเวลาตรากตรำไม่ปรากฏร่องรอยฉีกขาดบทเพลงพเนจรยังไล่ตามกังวานสู่ความคาดหวังพันเล่มเกวียนเปล้าสาวพึงรับรู้เส้นทางเดินไกลบิเบห่างไกลกัน กลับใกล้  
"บิเบ เอะ ดิ๊ หมื่อ โอ่ ดิ๊บิเบ เหม่ ยู หมื่อ ลอ ผิมีนกนางไฟ ก็ยังมีแสงตะวันนกนางไฟบินไปแสงตะวันก็ดับ"บิเบ - พญาไฟนกเจ้าชายแดนดิบขุนห้วยป่าสนราตรีหน้าหนาวเจ็บเนื้อยาวนานกองไฟฟืนสุมฟืนข้ามคืนสู่แสงแดดเช้าวันใหม่กลิ่นชาป่าหอมโชยมากับกลิ่นยางสนกลิ่นควันฟืนยังจับอยู่ตามเสื้อผ้า  โลกเบื้องหน้าพิศวงไม่ต่างจากเส้นทางที่พรากจากมา ..        
ชาน่า
ความรักหากใครไม่เคยสัมผัสก็ยากจะอธิบายให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงแก่นและก้นบึ้งของหัวใจ “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์”  ประโยคหนึ่งที่เคยได้ยินมาแต่ไหนแต่ไร ตอนเป็นเด็กไร้เดียงสา ก็แค่อ่าน ได้ยิน และเข้าใจ แต่ไม่ได้สัมผัส รับรสของความรักและความทุกข์โลกวันนี้ได้ผ่านเข้า และผ่านไปจากบทเรียนและประสบการณ์ของชีวิตโลกแห่งความจริงกับสิ่งที่ฝันบางครั้งมันห่างไกลกันเหลือคณานับ  ทุกคนฝันอยากมีรักที่สวยงาม รักที่ทำให้ชีวิตนี้มีความสุข แต่หากเมื่อไหร่ รักนั้นไม่เป็นดังหวัง  ไม่เหมือนในฝัน มันย่อมเกิดทุกข์กับความรักคนที่ไม่เคยอกหัก  ก็เพราะเขาไม่เคยมีความรัก คงไม่มีใครในโลกใบนี้จะสมหวังในรักตั้งแต่เริ่มแรกรัก ไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวี“เพราะรักไม่มีกำแพงกั้น ไม่เคยแบ่งแยกชนชั้น วรรณะหรือแม้แต่เพศ”เมื่อเข้าใจตั้งแต่กรอกใบสมัครเป็นคนที่มีรสนิยมความรักทางเพศในเพศเดียวกันว่า “เตรียมใจเผื่อไว้ให้กับความผิดหวัง”  ขอยกตัวอย่างเรื่องจริงไม่อิงนิยาย ฝากไว้คิด...โอ  (นามสมมุติ)  เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวที่พ่อแม่ตั้งความหวังอย่างสูงสุดที่อยากให้ชีวิตของเค้าเป็นหลักเป็นฐาน มีหน้าที่การงานที่ดี มีหน้ามีตาทางสังคม ด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์สูงส่งโอมีพร้อมด้วยรูปพรรณอันหล่อเหลาเอาการ เรียกได้ว่า  Perfect man of the year ก็คงจะไม่ผิดกับสมญานามนี้ แต่ใครจะรู้ว่า ส่วนลึก ความรู้สึก และรสนิยมทางเพศข้างในของเค้าจะเป็นอย่างไร โอย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ เค้าใช้ชีวิตเป็นเด็กนักเรียนนอกจนจบปริญญาเอกด้วยวัยที่ยังเยาว์ชีวิตและพฤติกรรมสามารถอยู่ในกรอบได้ แต่ความรู้สึกจิตใจยากไซร้จะเป็นไปตามใครบังคับ เค้าใช้ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมของโลกอิสระเสรี จนวันหนี่งเค้าค้นพบและบอกกับตัวเองว่า  “ผมมีความรู้สึกทางเพศ และมีความสุขกับเพศเดียวกัน”  แม้โอจะพยายามหลีกหนีความจริง ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้สมาชิกในครอบครัว รู้ว่าส่วนลึกและความต้องการของจิตนั้นเป็นเช่นไร เมื่อถึงคราวที่ต้องโดนคลุมถุงชนกับคนที่มีชาติตระกูล พร้อมด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์เท่าเทียมกัน  โอ และ เจน (นามสมมุติ) อยู่กินฉันท์สามี ภรรยาอย่างเป็นสุข (ในความคิดของทุกคนแม้กระทั่งเจนเอง) เค้าทำการบ้าน หน้าที่ การงานทุกอย่างปกติอย่างเนียน โดยไม่มีใครสงสัย แต่บ่อยครั้งที่โอ ต้องมีภารกิจทำหน้าที่เดินทางไปต่างประเทศ เค้ามักจะปล่อยใจตามสิ่งที่เค้าปรารถนา คือการได้เสพความสุขกับเพศเดียวกัน มันเป็นความต้องการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โอเริ่มผูกพันกับชายต่างชาติที่เค้าปลื้มและหลงรักโดยไม่รู้ตัว  แม้แต่ภรรยาอันเป็นที่รักของเค้า เพราะเธอรักเชื่อใจ และเป็นสุขกับการใช้ชีวิตอยู่กับโอ โอผิดหรือไม่ที่เลือกทำตามใจตัวเอง แต่เค้าก็ไม่เคยทำให้เจนผิดหวัง โอทำให้ครอบครัวและผู้หญิงที่รักเค้ามากมีความสุข  แต่ความสุขและความต้องการของเค้าคือ การปลอดปล่อยอารมณ์และความโหยหากับชายที่เค้าต้องการ 
โอบอกกับชาน่าเสมอว่า “ผมคงจะทำเช่นนี้ไปตลอด ในเมื่อบางครั้งมันก็ไม่มีทางเลือก”  หนึ่งภาระทำเพื่อหน้าที่อีกหนึ่งใจทำเพื่อความสุขของตนเอง  “ผมผิดใช่มั้ยแต่ผมก็เลิกไม่ได้”.....
Carousal
ในโลกอนาคต ยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าถึงขีดสุด ถึงขั้นที่มนุษย์สามารถสร้างสรรค์สิ่งมีชีวิตขึ้นเองได้โดยไม่ต้องอาศัยกระบวนการทางธรรมชาติ การผลิตมนุษย์สังเคราะห์เพื่อเป็นแรงงานแทนมนุษย์กลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีประโยชน์มหาศาล ด้วยความสามารถทางวิทยาศาสตร์ มนุษย์สังเคราะห์เหล่านี้จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทุกประการ แต่มีความสามารถทางกายภาพสูงกว่ามาก เนื่องจากสามารถดึงพลังงานจากเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า ทำให้เขาเหล่านั้นแข็งแรงกว่า และมีความสามารถในระดับที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถเทียบได้การคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนทำให้การสร้างมนุษย์สังเคราะห์ถูกต่อต้าน และนั่นเป็นเหตุผลที่คุณจะไม่ค่อยได้พบเห็นมนุษย์สังเคราะห์บนโลกนัก แต่ถึงอย่างนั้น ริคุโด ลีน นายตำรวจหนุ่มยศร้อยโทแห่งรัฐญี่ปุ่น ก็ยังมีโอกาสได้พบและทำความรู้จักกับมนุษย์สังเคราะห์คนหนึ่ง ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตและทัศนคติของเขาเกี่ยวกับมนุษย์สังเคราะห์ไปตลอดกาลชื่อของเธอคือ Joker Joker เป็นผลงานเรื่องเยี่ยมจากจินตนาการของ Maki Yu และถ่ายทอดออกมาในรูปแบบการ์ตูนโดย Michihara Katsumi นักวาดที่โด่งดังจาก Legend of the Galactic Heroes จัดจำหน่ายในรูปแบบภาษาไทยโดยบงกช คอมมิคส์Joker ไม่ใช่มนุษย์สังเคราะห์ธรรมดา แต่เธอเป็นมนุษย์สังเคราะห์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษโดยหน่วยงานเพื่อความมั่นคงที่มีฐานที่มั่นอยู่บนดวงจันทร์ เพื่อเป็น ‘อัยการหน่วยสืบสวนพิเศษ’ ทำหน้าที่สืบสวนและทำลายอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในมุมมืดของสังคม และการกระทำความผิดที่ตำรวจธรรมดาไม่สามารถจัดการได้ ไม่ว่าจะเนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานที่เข้มแข็งเพียงพอ หรือเพราะคดีนั้นมีความเกี่ยวข้องกับอำนาจอิทธิพล โดยอัยการหน่วยสืบสวนพิเศษจะมีอำนาจตัดสินและพิพากษาผู้กระทำความผิดได้ในสถานที่เกิดเหตุ ทำให้อาชญากรรมนั้น ๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยโดยที่มนุษย์ไม่ต้องรับรู้Joker กับริคุโด ลีน ได้รู้จักกันในการสืบสวนครั้งหนึ่ง และหลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือจาก Joker ริคุโด ลีนก็หลงรักเธอ โดยไม่สนใจว่าเธอเป็นมนุษย์สังเคราะห์ ที่แข็งแกร่งเสียจนทำให้ชายอกสามศอกอย่างเขารู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ไปเลย เพราะแฟนแข็งแรงเสียจนไม่ต้องให้ปกป้องอีกแล้วประเด็นที่ทำให้ฉันสนใจการ์ตูนเรื่องนี้มีอยู่สองประเด็นค่ะ ประเด็นแรกก็คือ ตัวตนและสิทธิของมนุษย์สังเคราะห์ – ในเรื่องนั้น มนุษย์สังเคราะห์ไม่ได้รับการยอมรับในฐานะมนุษย์ ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นนอกเหนือจากพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่เพราะเขาเหล่านั้นไม่มีสำนึกของความเป็นมนุษย์ด้วย มนุษย์สังเคราะห์ที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดมุ่งหมายพิเศษอย่างการเป็นอัยการหน่วยสืบสวนพิเศษ จะถูกกำหนดให้มีร่างกายที่เจริญเติบโตเทียบเท่าผู้ใหญ่วัยเจริญพันธุ์ตั้งแต่เกิดเพื่อประโยชน์ในการใช้แรงงาน การที่ไม่เคยได้รับการอบรมเลี้ยงดูและได้รับประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต ทำให้มนุษย์สังเคราะห์ไม่มีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์เหมือนมนุษย์ทั่วไป ไม่รู้ว่าอะไรผิดหรือถูก ไม่มีความคิดหรือความใฝ่ฝันเป็นของตัวเอง เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ และมีชีวิตอยู่เพื่อมนุษย์เท่านั้นความคิดที่ว่า มนุษย์สังเคราะห์มีหน้าที่อุทิศตัวให้มนุษย์ ถูกปลูกฝังลงสู่จิตใต้สำนึกของ Joker ด้วย แม้ว่าเธอจะมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง เพราะอัยการหน่วยสืบสวนพิเศษได้รับสิทธิพิเศษให้เจริญเติบโตและเรียนรู้เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง แต่ Joker ก็ยังคงเป็นมนุษย์สังเคราะห์ การที่ Joker ปฏิบัติงานเสี่ยงอันตรายตามหน้าที่ ทำให้ลีนซึ่งเป็นมนุษย์ส่วนน้อยที่ได้รู้จักกับมนุษย์สังเคราะห์อย่างลึกซึ้งรู้สึกสับสนมาก เขาเริ่มเกิดคำถามว่า มนุษย์แยกแยะสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นพวกเดียวกับตัวเองหรือไม่ใช่พวกเดียวกันด้วยอะไร และทำไมมนุษย์สังเคราะห์อย่าง Joker จึงไม่ได้รับการยอมรับเทียบเท่ามนุษย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยนอกจากวิธีการเกิด และคำถามนั้นยิ่งเน้นย้ำหนักหน่วงขึ้นอีกเมื่อรู้ว่า มนุษย์สังเคราะห์มีอายุขัยเพียง 45 ปี เนื่องจากเซลล์ที่ถูกใช้งานหนักจะเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ และอัยการหน่วยสืบสวนพิเศษจะต้องถูกแยกส่วนเมื่ออายุ 35 ปี เพื่อคงประสิทธิภาพในการทำงานให้อยู่ในระดับสูงสุด อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญกว่า คือการทำงานของอัยการหน่วยสืบสวนพิเศษ เจ็นคุส อิดะ หัวหน้าหน่วยพิสูจน์หลักฐานที่ต่อต้านการทำงานของหน่วยสืบสวนพิเศษได้เคยให้เหตุผลไว้ว่า อัยการหน่วยสืบสวนพิเศษซึ่งทำหน้าที่กำจัดความชั่วร้ายอยู่ในเงามืดโดยไม่แสดงตัว และทำให้มนุษย์ได้ฝันไปว่าตัวเองอยู่ในโลกที่ขาวสะอาดปราศจากอาชญากรรมนั้น เปรียบเหมือนแม่ที่หยิบของเล่นที่อันตรายจากลูกไปทิ้งจะเป็นอย่างไรถ้าคุณคอยกำจัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นอันตรายออกไปจากชีวิตลูกของคุณ โดยไม่เคยเปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้เลยว่าในโลกนี้ไม่ได้มีแต่สิ่งที่ปลอดภัยอย่างที่คุณหยิบยื่นให้เขา ชีวิตที่ปราศจากภูมิต้านทานของเขาจะเป็นอย่างไร เมื่อเขาต้องออกไปสู่สังคมที่กว้างกว่าโดยไม่มีมือของคุณคอยปกป้องอีกต่อไป?การฉาบคุณงามความดีที่หลอกลวงไว้ข้างหน้า โดยเก็บความเลวร้ายและอันตรายซึ่งเป็นความจริงยิ่งกว่าไว้ข้างหลัง ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ตราบเท่าที่ยังไม่สามารถกำจัดความเลวร้ายและต้นตอทั้งหมดของมันไปได้อย่างหมดจดถาวร เขาเหล่านั้นก็จะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอและไร้สัญชาตญาณการระแวงภัยเท่านั้นJoker จัดพิมพ์ออกมาในรูปแบบภาษาไทยทั้งหมด 6 เล่ม มี 5 ตอน คือเพชฌฆาตไซบอร์ก, Moon Fantasy (2 เล่ม), Dream Playing Game, Green Paradise และ Sherlickian Computer ขาดไปอีกเพียงเล่มเดียวเท่านั้นก็จะจบเรื่อง ซึ่งเป็นบทสรุปบทสุดท้ายระหว่าง Joker และริคุโด ลีน รวมทั้งสิทธิและสถานภาพของมนุษย์สังเคราะห์ ไม่รู้เหมือนกันว่าบงกชจะทำออกมาหรือเปล่า แต่ถ้าคุณคิดจะไปหามาลองอ่าน ขอเตือนก่อนว่าไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบวายขั้นรุนแรง เพราะถึงแม้การ์ตูนเรื่องนี้จะไม่ใช่การ์ตูนวาย แต่ Joker ก็เป็นมนุษย์สังเคราะห์ที่สามารถแปลงร่างตัวเองเป็นหญิงหรือชายก็ได้ตามใจชอบ และเธอก็ไม่ค่อยสนใจว่าตัวเองกำลังอยู่ในร่างไหนตอนที่แสดงความรักกับพระเอกของเธอเสียด้วยสิ
new media watch
 ช่วงนี้กำลังเห่อเกมฝึกภาษาอังกฤษอย่าง Freerice เป็นพิเศษ ให้อารมณ์เหมือนตอนอ่านหนังสือเตรียมสอบเอนทรานซ์ แต่สนุกสนานกว่ากันมาก เกม ‘เล่นคำ' แล้วได้ ‘ข้าว' เป็นโครงการ Word Food Program ของ UN ที่เปิดให้คนทั่วโลกฝึกภาษาอังกฤษด้วยการทายความหมายของคำแต่ละคำ ด้วยการจับคู่คำที่เป็น ‘โจทย์' กับคำที่เป็น ‘คำตอบ' ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน หรือถ้าจะพูดง่ายๆ กว่านั้น นี่คือแบบฝึกหัดเพื่อหา Synonym ฉบับออนไลน์นั่นเองสิ่งที่พิเศษไปกว่านั้นคือ คะแนนที่ได้จากการเล่นเกมจะคิดเป็นข้าวสารจำนวนหนึ่ง ซึ่งทาง UN จะนำไปบริจาคให้กับประเทศที่ขาดแคลนอาหาร และเกมนี้ก็เล่นได้เรื่อยๆ จนกว่าจะเหนื่อยกันไปข้าง ไม่มีเกมโอเวอร์ จะมีก็แต่การเก็บระดับเพื่อให้มีคะแนนไปแลกข้าวเยอะๆส่วนเงินที่จะใช้ในการจัดหาข้าวเพื่อนำไปบริจาคให้กับประเทศที่ประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร มาจากบริษัทที่ลงโฆษณากับ Freerice และยิ่งมีคนเข้าไปเล่นเกมนี้มากเท่าไหร่ ทาง World Food ก็จะนำัตัวเลขผู้เล่นเกมไปต่อรองเงินบริจาคกับบริษัทเหล่านั้นำได้มากขึ้นด้วย
Hit & Run
   อรพิณ ยิ่งยงพัฒนาในเกมช่วงชิงพื้นที่สื่อ กลยุทธ์หนึ่งก็คือ ทำยังไงก็ได้ ให้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เป็นข่าว ส่วนฝ่ายตนนั้น ต่อให้เป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายแต่ถ้าได้พื้นที่ข่าวก็ถือว่าได้เปรียบใน ระดับหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็พอทำให้ชื่อเสียงเรียงนามเป็นที่คุ้นหูอยู่ในความจดจำ ดีกว่าเป็นบุคคลโนเนมที่ไม่มีใครรู้จักเช่นเดียวกัน ช่วงนี้ ดูเหมือนว่านายกรัฐมนตรีพูดอะไร ให้สัมภาษณ์ว่าอะไร สื่อมักจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ สังเกตได้ว่าเวลาอ่านหรือฟังข่าวในเวลานี้ ผู้สื่อข่าวจะหยิบคำพูดของนายกรัฐมนตรีมาเปิดเผยแบบยาวๆพูดแบบตามตำรา ก็คือ แหล่งข่าวเป็นผู้นำในรัฐบาล พูดอะไรก็ย่อมเป็นข่าวอยู่แล้ว แต่นั่นอาจจะไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดของกรณีที่เกิดขึ้น ผู้นำฝ่ายค้านแม้จะมีฐานะเป็นผู้นำประเทศเช่นกัน แต่กลับไม่ได้มีโอกาสได้เป็นข่าวเท่าไรการเปิดเผยคำพูดของนายกฯ สมัครแบบคำต่อคำ ให้พื้นที่ข่าวแก่ท่านนายกฯ แบบไม่น้อยนั้น เชื่อได้ว่าเป็นเพราะสิ่งที่นายสมัคร สุนทรเวชพูดนั้น ไม่ใช่แค่เรื่อง ‘พูดอะไร' แต่เป็นเรื่อง ‘พูดอย่างไร' คือ สื่ออาจเห็นว่าลักษณะวิธีพูดของนายกฯ มีนัยยะที่ต้องการเสนอ คือ มีความไหวตัวและละเอียดอ่อนกับคำพูดของผู้นำประเทศคนนี้เป็นพิเศษสื่อภาคสนาม สื่อที่ต้องคอยประกบติดนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องอาศัยความอดทนอดมากอยู่แล้ว มายุคของนายกฯ คนนี้ คงต้องใช้ขันติและอุเบกขาให้มากยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัว บุคลิกของผู้นำเช่นนี้ เรียกร้องให้สื่อจำเป็นต้องมีภูมิต้านทานแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นคงจะเผลอไปอยู่ในขั้วใดขั้วหนึ่งในความขัดแย้งทางการเมืองโดย ไม่ทันตั้งใจนั่นคือ งานข่าวสำหรับสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ภายใต้รัฐบาลสมัคร 1 นี้ คงต้องอาศัยพลังใจที่แข็งแกร่งมาก ไม่อ่อนไหวจนกลายเป็นการให้น้ำหนักกับท่านนายกรัฐมนตรีไปโดยไม่รู้ตัว รวมทั้งไม่อ่อนไหวจนไม่สามารถทำงานได้พูดภาษาปาก อาจจำเป็นต้องพูดว่า เพื่อให้สอดคล้องกับผู้นำประเทศ สื่อมวลชนต้องไม่หน้าบางจนเกินไปความอ่อนไหวนี้ อาจรวมถึงที่มาของบรรยากาศการแทรกแซงสื่อที่ร่ำลือกันในช่วงเวลานี้ ดังกรณีที่เกิดขึ้นในข่าวการถอนตัว จนนำมาสู่การยกเลิกจัดรายการ ‘มุมมองเจิมศักดิ์' ซึ่งจัดโดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และคู่หู เถกิง สมทรัพย์ ซึ่งออกอากาศเป็นประจำทุกเช้า ที่คลื่นวิทยุ เอฟเอ็ม 105 เมกะเฮิรตซ์ คลื่นวิทยุในสังกัดกรมประชาสัมพันธ์ โดยวิสดอมเรดิโอเป็นผู้ได้สัมปทานคลื่นเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมา ที่ระหว่างดร.เจิมศักดิ์จัดรายการ ซึ่งกำลังกล่าวถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งนายสมัคร สุนทรเวช ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวจากอัลจาซีร่าว่า มีคนตายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพียง 1 คน โดยดร.เจิมศักดิ์ ได้หยิบข้อมูลต่างๆ ทางประวัติศาสตร์มาเล่าในรายการ หลังจากนั้น ดร.เจิมศักดิ์ ให้ข่าวแก่สื่อมวลชนว่า ระหว่างกำลังจัดรายการ มีรัฐมนตรีโทรศัพท์ไปยังคลื่นวิทยุวิสดอมเรดิโอว่าจะโละผังรายการทั้งหมด ของคลื่นวิทยุวิสดอม ทำให้เจ้าของคลื่นโทรศัพท์มาสอบถามว่า ดร.เจิมศักดิ์จะบรรเทาความเสียหายให้แก่วิสดอมได้อย่างไร สุดท้าย ดร.เจิมศักดิ์ ตัดสินใจถอนตัวจากการจัดรายการแม้กระแสข่าวต่อจากนั้น จะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าที่แท้แล้วอะไรเกิดขึ้น เพราะนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็ให้ข่าวปฏิเสธ ย้ำว่าไม่มีการโทรศัพท์ไปแทรกแซง ทั้งยังสั่งให้นายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ประสานงานไปยังบริษัทฟาติมา ซึ่งเป็นเจ้าของคลื่น 105 เปิด การแถลงข่าวเพื่อแสดงข้อเท็จจริง ซึ่งนายแสงชัย อภิชาติธนพัฒน์ ประธาน บริษัท ฟาติมา บรอดคาสติ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ได้รับสัมปทานคลื่นวิทยุ เอฟเอ็ม 105 เมกะเฮิรตซ์ ก็ เปิดเผยว่า ไม่ได้ถูกแทรกแซงจากกรมประชาสัมพันธ์ หรือรัฐบาล แต่มีการพูดคุยกับนายเจิมศักดิ์ ถึงความไม่สบายใจกับเนื้อหารายการที่วิพากษ์วิจารณ์บุคคลอื่น ซึ่งเขาอยากให้สังคมเกิดความสมานฉันท์ และยอมรับว่ามีความกังวลว่าหากยังดำเนินรายการที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์ บุคคลอื่นต่อไป อาจจะมีปัญหาเรื่องคลื่นหลุด ซึ่งจะส่งผลเสียหายกับบริษัทให้ไม่สามารถดำเนินกิจการอยู่ได้ต่อเรื่องนี้ จริงเท็จอย่างไร คงยังไม่รู้แน่ชัด แต่อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ฐานะของคนทำสื่อ มีความเปราะบางมากเหลือเกินเรื่องเก่าๆ อย่างปัญหาโครงสร้างสื่อ กลายเป็นสิ่งที่จองจำการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนให้ไม่สามารถทำงานได้อย่าง เต็มที่ ไม่เว้นวงการข่าวเท่านั้น ล่าสุด เมื่อปลายปีที่ผ่านมา คลื่นวิทยุรายการเพลงที่ดีที่สุดเพียงคลื่นเดียว อย่าง The Radio ก็ถูกปลดกลางอากาศแบบที่คนฟังหรือแม้แต่ผู้จัดรายการไม่ทันได้ตั้งตัวปัญหาของสองกรณี มาจากเหตุเดียวกัน คือ นายทุนผู้ได้สัมปทานคลื่น มีความประสงค์จะเปลี่ยนเนื้อหารายการ กรณีที่ดร.เจิมศักดิ์เจอ คือรายการวิพากษ์การเมืองแรง นายทุนคลื่นมีความกังวล ส่วนกรณีที่ The Radio เจอ คือ นายทุนอยากเปลี่ยนแนวรายการ จากรายการดนตรี ไปเป็นการ ‘โฆษณาดนตรี' ที่มีรายได้มากกว่าคลื่นวิทยุโทรทัศน์กระแสหลัก อยู่ในภายใต้การดูแลของหน่วยงานรัฐและหน่วยงานทหาร หน่วยงานเหล่านี้ก็ปล่อยสัมปทานออกมาปีต่อปี เพื่อให้นายทุนที่วิ่งเต้นทุกๆ ช่วงสิ้นปีเพื่อให้ ‘ได้รับคัดเลือก' ได้คลื่นไปบริหาร ก่อนจะมาปล่อยถึงมือคนทำสื่อเป็นทอดสุดท้าย โครงสร้างแบบนี้ หนีไม่พ้นทั้งอำนาจรัฐและอำนาจทุนถามว่า ระบบโครงสร้างเวลานี้ ยังหลงเหลือให้ที่ทางสำหรับจิตวิญญาณสื่อสารมวลชนบ้างหรือไม่ สิ่งที่น่าสนใจต่อกรณีของ The Radio คือ ผู้คนตื่นตัวมากกับปัญหาที่ว่า รายการดีดีมักไม่มีที่ให้อยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีคนตั้งกระทู้เรื่องนี้ หลายคนขอให้รายการไม่ล้มหายจากไป แต่เปลี่ยนมาออกอากาศในอินเตอร์เน็ตแทน พร้อมทั้งเสนอตัวช่วยด้านเทคนิคทุกอย่าง แต่อย่างไรก็ดี สื่อแต่ละประเภทก็มีธรรมชาติของสื่อที่ต่างๆ กัน แม้อินเทอร์เน็ตดูจะเป็นที่ทางสำหรับคนไม่มีทางเลือกในการส่งสาร แต่สำหรับคนรับสาร ดูเหมือนทางเลือกจะน้อยลงทุกที นี่อาจจะเป็นอีกความท้าทายของรัฐบาล ชุดที่ประกาศว่าจะมีการ จัดระบบสื่อ เพราะรัฐมนตรีที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ จำเป็นต้องรู้ต้นตอปัญหาของระบบการสื่อสารมวลชนในประเทศไทย หากกล้าจริง ต้องทำลายโครงสร้างที่มัดมือสื่ออยู่ในเวลานี้ และเลิกคิดว่าตนจะเป็นผู้เข้ามาทำเนื้อหาสื่อให้ดีเอง เพราะการครอบงำแบบนั้น ประชาชนไม่ต้องการ  เพิ่มเติม :คอลัมน์ บ้านบรรทัดห้าเส้น ประชาไท : 99.5 The Radio : เมื่อรายการวิทยุดีๆ จะไม่มีที่อยู่คลิปเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ ของนายสมัคร สุนทรเวช ต่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศข่าวมติชน : 'จักรภพ'ปัดสั่งปลดพิธีกรคลื่น105 เจ้าของยืดอกรับขอให้ถอนตัว เพื่อรักษา'ธุรกิจ'ข่าวผู้จัดการ : "หมัก" สั่งรื้อช่อง 11 ท้า "เจิมศักดิ์" หาหลักฐาน รมต.สั่งถอดรายการ
Music
  "Love films are broadcast lateBut violence is allowed at any hourWhile on a kibbutz a girl was rapedIn the disco they set their spirits free"- Violence -เป็นเรื่องธรรมดาที่น้อยคนในบ้านเราจะรู้จักศิลปินหนุ่มจากอิสราเอลที่ชื่อ Aviv Geffen เพราะผมเองกว่าจะรู้จักเขาก็ต้องโยงอะไรหลายทอดอยู่เหมือนกันมันเริ่มจากการที่ผมชื่นชอบวงโปรเกรสซีฟร็อค ที่ชื่อ Porcupine Tree แล้วนักร้องนำและผู้กุมบังเหียนของวงนี้คือ Steve Wilson ในขณะที่ยังคงอยู่กับวงเดิม ก็ได้ออกไปมีโปรเจกท์ย่อยคือวง Blackfield ด้วย ซึ่งวงโปรเจกท์ของเขานี้ ก็ตั้งใจว่าจะเป็นวงป็อบร็อค ที่ทำร่วมกับนักดนตรีรุ่นน้องชาวอิสราเอลคนหนึ่ง และนักดนตรีรุ่นน้องที่ว่านี้ก็คือ Aviv Geffen นั่นเองก่อนที่จะมาร่วมทำวง Blackfield นาย Geffen คนนี้ได้เคยมีผลงานอยู่ในบ้านเกิดตัวเองอยู่แล้ว แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ขณะที่เราไม่ค่อยรู้จักเขากันเท่าไหร่ แต่สำหรับที่อิสราเอลแล้วเขาถือเป็นไอดอลร็อคสตาร์ประจำใจคนทั่วประเทศเลยทีเดียววง Blackfield : Aviv Geffen (ซ้าย) , Steve Wilson (ขวา)ในทางดนตรีนั้น Aviv Geffen เป็นนักดนตรีป็อบร็อค ที่มีรูปลักษณ์แบบ Anti-Macho คือ ไม่เสริมคุณสมบัติตัวเองด้วยการอวดเบ่งความเป็นชาย จนบางครั้งอาจไพล่ให้นึกไปถึง David Bowie หรือ Lou Reed สไตล์เพลงของเขาได้รับอิทธิพลจาก U2 , Nirvana , Bob Dylan และนอกจากนั้นแล้วเจ้าตัวยังบอกเองว่าได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก Roger Waters นักดนตรี/นักแต่งเพลงผู้มองโลกในแง่ร้ายและเคยเป็นมันสมองในยุคหนึ่งของ Pink Floydคงไม่เพียงดนตรีเท่านั้นหรอกที่เขาได้จาก Roger Waters มา แม้แต่การแต่งเนื้อเพลงรวมถึงแนวคิดซ้าย ๆ บางอย่างก็คงได้มาจาก Waters ด้วย (แต่ไม่น่าจะโหดเท่า Waters) เพราะ Aviv Geffen ไม่เพียงแต่เป็นขวัญใจคนหนุ่มสาวเท่านั้น เขายังเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายซ้ายคนสำคัญคนหนึ่งอีกต่างหากGeffen ก็เช่นเดียวกับศิลปินผู้ติดความเป็นนักเคลื่อนไหวคนอื่น ๆ เขาคิดจะใช้เพลงของตัวเองเป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงสังคม เพลงที่เขาเขียนนั้นเต็มไปด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก สันติภาพ ภาพสะท้อนของยุคสมัย ความเลวร้ายของการสู้รบ และ ...ความตายในฐานะที่อยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ เขาต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งการต่อสู้เรียกร้องสันติภาพในเหตุความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์อย่างแน่แท้ ในตอนนั้นกลุ่มของอิสราเอลแบ่งเป้นสองค่ายอย่างชัดเจนคือกลุ่มฝ่ายขวาอย่าง ค่ายชาตินิยม (National Camp) กับกลุ่มอิสราเอลซ้ายอย่างค่ายสันตินิยม (Peace Camp) และ Aviv Geffen ก็ได้เลือกที่จะอยู่ข้างเดียวกับกลุ่มสันตินิยมในช่วงที่มีการรณรงค์เพื่อสันติภาพอย่างแรงกล้านั้น เขาก็ได้อยู่ในเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งในปี 1995 คือเหตุการณ์สังหารอดีตนายกรัฐมนตรีนาย ยิทซ์ซัค ราบิน (Yitzhak Rabin) ขณะปราศัย ณ จัตุรัสกลางเมือง Tel Avivในตอนนั้น Rabin เป็นนายกรัฐมนตรีของอิสราเอลที่มาจากการเลือกตั้ง และช่วงที่เขาเป็นรัฐมนตรีก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายสันติภาพ เหตุการณ์ที่มีส่วนสำคัญมากที่สุดคือการทำสนธิสัญญาออสโล (Oslo Accord) ร่วมกับผู้นำปาเลสไตน์ ซึ่งสนธิสัญญานี้เป็นการมอบอำนาจการปกครองบางส่วนของดินแดนในฉนวนกาซ่าและเขตเวสต์แบงก์ ให้กับปาเลสไตน์ แลกกับการหยุดสร้างความรุนแรงฟังดูเหมือนเป็นเรื่องดี แต่สนธิสัญญานี้ก็ได้ทำให้ชาวอิสราเอลแบ่งออกเป็นสองพวกอย่างชัดเจน ทั้งพวกที่เห็นด้วยและชื่นชม พวกนี้จะมองว่าเป็นสนธิสัญญาที่ช่วยหลักดันให้เกิดสันติภาพ ขณะที่ชาวอิสราเอลอีกส่วนหนึ่งกลับมองว่า Rabin เป็นคนทรยศที่มอบดินแดนที่ควรจะเป็นของอิสราเอลให้คนอื่นไป นอกจากนี้ยังได้ออกมาบอกว่าสนธิสัญญาออสโล ไม่ได้ทำให้การก่อการร้ายลดลงเลย มีแต่จะยิ่งทำให้เพิ่มขึ้น แล้วก็ยังมีชาวยิวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เหล่านี้นอกจากนี้แม้ผู้นำองค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์ (ซึ่งองค์กรในตอนนั้นอ่อนกำลังลงมาก) จะยอมรับในข้อตกลงยับยั้งการต่อสู้ด้วยอาวุธและหันมาแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี แต่เนื้อหาส่วนหนึ่งของข้อตกลงได้สนับสนุนสิทธิในการครองดินแดนของไซออนนิสท์ (กลุ่มสนับสนุนแนวคิดว่าดินแดนนี้เป็นของยิว) และเป็นการทำข้อตกลงโดยผู้นำที่ไม่ได้ถามชาวปาเลสไตน์ ทำให้กลุ่มชาวปาเลสไตน์ทั้งฝ่ายชาตินิยมและฝ่ายซ้ายไม่พอใจเช่นกันความไม่พอใจส่งผลบานปลายมาจนถึงในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1995 ชาวยิวขวาจัดคนหนึ่งซึ่งไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงกับสนธิสัญญานี้ ได้วางแผนที่จะสังหารนาย Rabin ขณะที่เขากำลังออกเดินสายสร้างการสนับสนุนสนธิสัญญาออสโลจากประชาชน (ทั้งๆ ที่มันได้ตกลงกันไปเรียบร้อยแล้ว) ซึ่งมือสังหารคนนี้คิดว่า มันจะทำให้ประเทศของเขารอดพ้นจากวิกฤตได้ในวันเดียวกันนั้นเอง Aviv Geffen ในฐานะนักดนตรีผู้สนับสนุนสันติภาพก็ได้ขึ้นเวทีต่อหน้าผู้คนกว่า 3 แสนคน ที่โห่ร้องปรบมือแสดงความยินดี เขาได้ร้องเพลงบัลลาดที่ชื่อ "Livkot Lecha" ซึ่งเป็นชื่อเพลงภาษาฮิบรู แปลเป็นภาษาอังกฤษคือ "Cry for You" (ฉันร้องไห้เพื่อคุณ) โดยเนื้อหาของเพลงเป็นเหมือนเพลงที่จะร้องให้กับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว"Lanetzach achiezkor otcha tamidVenipagesh basof ata yode'a.veyesh li chaverimaval gam hem kavimEl mul orcha hameshage'a."- Livkot Lecha -"Forever my friendI'll see you in the endAnd we will always be the best of brothersThe friends I have are fineBut in the light you shineI only see the shadow of the others"- คำแปลจากเนื้อเพลง Livkot Lecha (Cry for You)แต่เหมือนชะตาเล่นตลก หลังจากที่จบการแสดงของเพลงนี้แล้ว Geffen ได้เข้าสวมกอดอำลานายกรัฐมนตรี บอกลากันด้วยคำว่า Shalom (ในภาษาฮิบรู คำนี้หมายความได้ทั้ง ‘สวัสดี' ‘ลาก่อน' หรือ ‘สันติ') แล้วหลังจากนั้นอีกไม่นานนัก ขณะที่ Rabin กำลังจะเดินไปขึ้นรถ เขาก็ได้ถูกมือสังหารเข้ามาเหนี่ยวไกใส่สามนัด พิษจากบาดแผลที่ถูกยิงทำให้ Rabin เสียชีวิตในเวลาต่อมา"ฉันได้กลิ่นของปืนพก" คือปากคำส่วนหนึ่งของ Geffen ตอนที่ให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นเป็นที่น่าตั้งคำถามว่า นอกจากกลิ่นของปืนพกแล้ว เขาได้กลิ่นของความไม่พอใจกับข้อตกลงนี้ด้วยหรือไม่ หลายต่อหลายครั้งที่คนเราลุกขึ้นมาสนับสนุนโดยที่ยังไม่เข้าใจความซับซ้อนของมันมากพอ เพียงแต่สนับสนุนเพราะมัน "เข้าทาง" สิ่งที่เราคิดฝันไว้เท่านั้นเอง หลังจากเหตุการณ์ ได้มีคนค้นพบกระดาษชีทเพลงเปิ้อนเลือดในกระเป๋า เนื้อเพลงในชีทเปื้อนเลือดนั้นคือเพลง Shar Lashalom (Song for Peace-บทเพลงเพื่อสันติภาพ) ซึ่งเป็นเพลงยอดนิยม และเป็นเหมือนเพลงประจำของกลุ่มซ้ายสันติในอิสราเอล โดย Rabin ได้ขึ้นร้องเพลงนี้ร่วมกับ Miri Aloni บนเวที ก่อนที่จะถูกสังหารมันฟังดูตลกร้ายตรงที่มีคนคิดว่าเพลง "Cry for You" ที่ Geffen ร้องในวันนั้นกลายเป็นเหมือนลางบอกเหตุสำหรับเหตุการณ์สังหารนาย Rabin อยู่กลาย ๆ แล้วเหตุการณ์นี้ยังทำให้ในเวลาต่อมาเพลง "Cry for You" กลายเป็นเพลงแห่งยุคสมัยสำหรับนักโปรโมทสันติภาพในอิสราเอลเลยทีเดียวเหตุการณ์ในครั้งนั้นอาจจะเป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับหลายๆ คน แต่ก็น่าเห็นใจมือสังหารผู้นั้นอยู่เหมือนกัน เพราะแทนที่เขาจะได้ในสิ่งที่หวัง แต่กลับกลายเป็นทำให้ชื่อของ Rabin ถูกนำไปใช้ในการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ของฝ่ายซ้ายไปเสีย (ยังไม่นับว่ามีคนโยงเรื่องนี้กับทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่ามาจากทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา)ผมเองก็ไม่อาจทราบได้ว่าศิลปินผู้เลือกข้างอย่างชัดเจนเช่น Aviv Geffen จะเข้าใจความซับซ้อนของเหตุการณ์นี้ขนาดไหน แต่สิ่งที่พอจะรู้คือมันได้ทำให้ความคิดและจิตใจของเขาเปลี่ยนไป จากเดิมที่เขาเคยมีด้านที่จัดจ้าน เคยเขียนเพลงประท้วงแบบถอนรากถอนโคน (Radical) ก็เริ่มสุขุมเยือกเย็นและอ่อนโยนขึ้น เพลงของเขามีเนื้อหาการเมืองน้อยหรือเบาลง ขณะเดียวกันก็มีความลึกซึ้งกว่าเดิมเขาได้บอกกับนิตยสารที่ให้สัมภาษณ์ว่า "ในอิสราเอลมันมีความกดดันมากพออยู่แล้ว มันไร้ประโยชน์ที่จะโยนน้ำมันลงไปในกองไฟ"ความรู้สึกสะเทือนใจ เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันมันก็ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือได้ ไม่ว่าจะโดยฝ่ายใดก็ตาม แต่ผมลองคิดในด้านดีของมันว่า หากความสะเทือนใจในระดับปัจเจก มันได้รับการกลั่นกรองผิดถูกในสำนึกของแต่ละคน มันอาจจะทำให้คนๆ นั้นเติบโต และเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด หรือไม่งั้นก็เป็นสิ่งที่ช่วยกระแทกปลุกให้ตื่นจากความฝันได้แล้ว Geffen เอง จะเติบโตจากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ขนาดไหนกัน...ไว้คราวหน้า จะมาพูดถึงชีวิตและดนตรีของ Aviv Geffen รวมถึง Peace Camp ที่เขาสังกัดอยู่ด้วยพอเขียนมาถึงตรงนี้ อารมณ์ของผมมันก็ไม่ค่อย Love and Peace เท่าไหร่แล้ว  
ฐาปนา
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ลมหนาวคลายความยะเยือกลง เหลือเพียงลมเย็นโชยเฉื่อย เจือกลิ่นหอมของไม้เมืองหนาวหลายชนิดที่ยังคงผลิดอกแม้ฤดูหนาวสิ้นสุด แล้วเมืองเชียงใหม่ก็เข้าสู่ช่วงเวลาพิเศษของคนหนุ่มสาวอีกครั้ง“วันแห่งความรัก” (Valentines Day) ที่ใครหลายคนรอคอยอันที่จริง แม้จะเรียกกันว่า วัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริบทของสังคมเปลี่ยนไป ด้วยอานุภาพแห่งความรักและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความรัก จึงไม่อาจจำกัดให้วันแห่งความรักอยู่แค่เพียง วันที่ 14 ของเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น วันแห่งความรักได้ขยายช่วงเวลาเป็น สัปดาห์แห่งความรัก จนกระทั่งเป็น เดือนแห่งความรัก ในที่สุด นอกจากบรรยากาศแห่งความรัก ดูเหมือนจะล่องลอยอยู่ในอากาศในทุกๆ ที่ ที่มีคู่หนุ่มสาวอิงแอบกันแล้ว คนที่รอคอยเดือนนี้ไม่น้อยกว่ากันเลย เห็นจะได้แก่พ่อค้า-แม่ค้า “ดอกไม้” ทุกคนเพราะ “กุหลาบ” ดอกไม้ที่มีตำนานเล่าว่าเกิดจากโลหิตของ Saint Valentine นักบุญผู้ให้กำเนิดวันวาเลนไทน์ คือสัญลักษณ์แห่งความรัก จึงทำให้กุหลาบคือดอกไม้ที่สวยที่สุด แพงที่สุด เป็นที่ต้องการที่สุด รวมทั้งขายดีที่สุดในช่วงเวลานี้ของปี กุหลาบไม่ใช่ไม้พื้นเมืองของไทย แม้จะมีการพบพันธุ์กุหลาบป่าที่ดอยหลวงเชียงดาวซึ่งมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี แต่พันธุ์กุหลาบส่วนใหญ่ในปัจจุบันนำเข้าจากต่างประเทศ มีข้อสันนิษฐานว่า ผู้ที่นำกุหลาบเข้ามาปลูกแรกสุดในไทย น่าจะเป็นพวกมิชชันนารี หรือพวกเจ้านายชั้นสูงในสมัยรัชกาลที่ 5ที่เชียงใหม่ มีกุหลาบชื่อดังอยู่ 2 สายพันธุ์ หนึ่งนั้นคือ “ควีนสิริกิติ์” กุหลาบพระนามในองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ใครมาเที่ยวพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์แล้ว ต้องมาชมให้ได้ กับอีกหนึ่งนั้นคือ “จุฬาลงกรณ์” กุหลาบพันธุ์ที่พระราชชายา เจ้าดารารัศมี สั่งจากอังกฤษเพื่อมาปลูกที่เชียงใหม่ และทรงตั้งชื่อพันธุ์ ตามพระนามของผู้เป็นที่รักยิ่งของท่านจากพื้นที่ปลูกกุหลาบประมาณ 7,000 ไร่ทั่วประเทศ ปัจจุบัน เชียงใหม่มีพื้นที่ปลูกกุหลาบมากถึง 658 ไร่ ในพื้นที่ 67 หมู่บ้านในเกือบทุกอำเภอของเชียงใหม่  ในแต่ละปี ช่วงวันที่ 12-14 กุมภาพันธ์นี้ จะมีดอกกุหลาบจากเชียงใหม่กระจายออกสู่ตลาดทั่วประเทศวันละกว่าสามแสนดอกสำหรับราคาขายปลีกของกุหลาบในช่วงเวลาแห่งความรักเช่นนี้ มีตั้งแต่ดอกละ 20-30 บาทไปจนถึงดอกละ 200-300 บาท ขึ้นอยู่กับสี ขนาดดอก ความยาวของก้าน และที่มา ซึ่งมีทั้งที่ปลูกในเชียงใหม่ นำเข้าจากฮอลแลนด์ หรือนำเข้าจากจีน และหากนำไปจัดเข้าช่อตามร้านขายและรับจัดช่อดอกไม้หลายแห่ง ก็อาจมีราคาสูงถึง ดอกละ 500-2,000 บาท เลยทีเดียวแม้ว่าในช่วงเดือนแห่งความรัก ราคาของกุหลาบอาจจะสูงกว่าปกติถึง 10 เท่า แต่นั่นก็ใช่ว่า จะใช้ตรรกะของราคากุหลาบไปเทียบกับราคาของความรักได้ กุหลาบราคาแพงใช่จะหมายถึงความรักสูงค่า ขณะเดียวกัน กุหลาบราคาถูก ก็ใช่จะหมายถึงความรักต่ำต้อยด้อยค่ากุหลาบ คือดอกไม้ที่งามและโดดเด่นด้วยตัวของมันเองไม่ว่าจะพันธุ์ไหนหรือเฉดสีใด เฉกเช่น ความรัก ที่เปี่ยมด้วยคุณค่าในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความรักของใคร ในรูปแบบไหน หรือในขอบเขตใดกลางเดือนกุมภาพันธ์เมืองเชียงใหม่ เต็มไปด้วยดอกไม้ และ อวลกลิ่นความรักใต้แสงแดดอุ่น หรือใต้แสงไฟสลัวยามราตรี ความรักถูกมอบให้กันผ่านสัญลักษณ์ของมันกุหลาบดอกนั้น สวยที่สุด เมื่ออยู่ในมือคนรักของคุณข้อมูลจาก : wikipedia,สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงใหม่,ศูนย์วิจัยกสิกร,นิตยสาร compass** หมายเหตุ บทความชิ้นนี้ ผมเขียนเก็บไว้นานแล้ว คิดว่าน่าจะเข้ากับบรรยากาศช่วงนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขในวันแห่งความรัก และขอให้ทุกวันเป็นวันแห่งความรักของคุณ
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
ราศีเมษ Aries (13 เมย.-13 พค.)                ไพ่ใบแรกของคุณสัปดาห์นี้  6 คทาค่ะ งานการใดๆ ที่ทำมานาน จะถึงจุดหมายแล้วนะคะ แต่ถ้างานไหนเพิ่งเริ่มตอนนี้ เส้นทางความสำเร็จยังอีกยาวไกล แต่ก็หวังได้ถึงสิ่งดีๆ ค่ะธุรกิจ การงาน  1 เหรียญ จะมีโอกาสดีๆ ทางการเงินเข้ามา หรือได้งานใหม่ งานที่มีลู่ทางด้านการเงินสดใส บางคนได้เพื่อนร่วมหุ้นลงทุนใหม่ๆ โครงการใหม่ผ่านฉลุย สมองแจ่มใสเห็นลู่ทางใหม่ๆ เป็นพิเศษค่ะสถานการณ์การเงิน  5 ถ้วย มีเรื่องไม่ได้ดั่งใจค่ะ ไม่ว่าจะได้อะไรมาก็ดูเหมือนจะไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ ต้องจำใจยอมรับความผิดหวัง แต่ก็ไม่ถือว่าร้ายแรงนะคะความรัก ความสัมพันธ์   9 คทา ก่อนจะไปสู่ความสุขสมบูรณ์ของชีวิตรัก ชีวิตคู่ ก็คงต้องผ่านด่านทดสอบมากมาย ในอาทิตย์นี้ในเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ คุณจึงต้องการการปรับตัวเป็นอย่างมาก จะมีความรู้สึกไม่สะดวกใจ มีปัญหา มีเรื่องอยากถอย หรือตัดสินใจยากว่าจะก้าวเข้าไป หรือจะก้าวออกมา ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้ จะเป็นสิ่งที่บอกว่าคุณยัง “มีใจ” กับใครบางคนนั่นเองคำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น 3 เหรียญ ปัญหาที่งอกเงยขึ้นมาโดยไม่คาดฝัน แต่ดูเหมือนเริ่มต้นจะมีแต่สิ่งดีๆ หากนานไป อะไรที่คุณชื่นชมยินดี กลับนำเรื่องไม่คาดฝันมาให้คำแนะนำจากไพ่  1 ถ้วย คุณจะมีโชคดี ในเรื่องที่เกี่ยวกับความรัก บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย หรืออสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ไพ่ใบนี้ยังบ่งบอกถึงความสุขในบ้าน ความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ครองคนรัก หรือใครทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับเครื่องดื่ม อาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค เป็นจังหวะที่ดีของคุณค่ะ
โอ ไม้จัตวา
“เมื่อไรลื้อจะมา ลื้อบอกว่าจะมาหกโมง นี่จะสามทุ่มแล้ว”  เสียงโหวกเหวกโวยวายดังอยู่ตรงหน้าราวกับทะเลาะกันทางโทรศัพท์  รีเซฟชั่นยืนนิ่งมองชายคนหนึ่งยืนคุยโทรศัพท์หน้าดำคร่ำเครียด ฉันมองนิดหนึ่งเห็นว่าไม่มีอะไรก็หันมาอ่านหนังสือตรงหน้าต่อวันนี้วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักที่คนรอบข้างล้วนไม่มีใครสนใจใคร แม้แต่ฉันซึ่งหมกตัวเองอยู่กับงาน จนพบว่าลืมอาบน้ำเป็นวัน ๆ พบตัวเองที่หน้าคอมฯ อีกทีก็หน้ามันแผล่บ ป้า ๆ แถวนี้มาเห็นคงเหล่ตามองเย้ยหยัน ว่าทำตัวแบบนี้ไงเล่า! บอกน้องสาวไปทางเอ็มว่า วาเลนไทน์ของพี่ตายไปแล้ว ตั้งแต่เช้ามานี้ยังไม่ได้หายใจโล่ง ๆ เลย ดอกกุหลาบเหรอ...แพง! ความรักเหรอ...เหมือนเสาวิหารของยิบรานไง อยู่ห่างกันโน่นเลย แต่อนาคตมันคงเป็นวิหารเก่า ๆ ที่ถ้าใครโยกเสาสักข้างก็คงพัง โรแมนติกเหรอ...โอ..มันคือเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์  เดี๋ยวนี้ชีวิตมีแต่เรียลลิสติค ความเป็นจริงตรงหน้ามันช่างน่าปวดหัวอะไรเช่นนี้ ว่าแล้วน้ำย่อยก็ซึมผนังกระเพาะออกมาทักทายร่างกายให้จี๊ด ๆ เล่นน้องสาวส่งตัวเหวอกลับมา ว่าพี่อายุสี่สิบนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ ********
ช้องนาง วิพุธานุพงษ์
TANSTAAFL- There ain't no such thing as a free lunch.Milton Friedmanเคยได้ยินใช่ไหมคะที่เขาว่ากันว่า “โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี” ประโยคนี้มีที่มาจากไหนใครเป็นคนริเริ่มไม่ปรากฏแน่ชัด ว่ากันว่ามีที่มาจากร้านอาหารอเมริกันในศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการดึงดูดผู้มีรายได้น้อยด้วยการประกาศเลี้ยงอาหารกลางวันฟรี แต่มีข้อแม้อยู่ว่าใครจะกินต้องจ่ายค่าเครื่องดื่มอีกต่างหากอย่างน้อยหนึ่งอย่างต่อมาจึงเป็นที่มาของแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ส่งผลให้ประโยคที่ว่านี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางภายใต้ชื่อของศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิคาโก Milton Friedmanแนวคิดที่ว่านี้คือ การได้มาซึ่งสิ่งใดก็ตามในโลก ย่อมต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน”ในทางกฎหมาย เวลาที่ “บุคคลสองฝ่าย” ตกลงแลกเปลี่ยนสิ่งใดก็ตามระหว่างกัน หากทั้งสองฝ่ายมีคำเสนอและคำสนองถูกต้องตรงกัน เราเรียกว่าคำเสนอและคำสนองนั้นก่อให้เกิด “สัญญา” ค่ะในกรณีเช่นนี้ หากการแลกเปลี่ยนนั้น เป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างสิ่งของกับสิ่งของ สัญญานั้นเรียกว่า “สัญญาแลกเปลี่ยน” แต่หากเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างสิ่งของและเงิน สัญญานั้นเรียกว่า “สัญญาซื้อขาย” โดยหลักแล้ว แม้ว่า “สัญญาแลกเปลี่ยน” และ “สัญญาซื้อขาย” จะมีลักษณะเฉพาะต่างกันดังกล่าว แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้กำหนดให้นำบทบัญญัติในเรื่องซื้อขายมาใช้บังคับกับการแลกเปลี่ยนด้วย โดยให้ถือว่าผู้เป็นคู่สัญญาแลกเปลี่ยนเป็นผู้ขายในส่วนทรัพย์สินซึ่งตนได้ส่งมอบ และเป็นผู้ซื้อในส่วนทรัพย์สินซึ่งตนได้รับในการแลกเปลี่ยนนั้น (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 519) ขอแถมนิดหนึ่งว่า ในกรณีที่กล่าวถึงการเข้าทำสัญญาไม่ว่ากรณีใด ทางกฎหมายจะไม่ใช้คำว่า “คนสองคน” นะคะ เนื่องจากในการทำสัญญาแต่ละครั้ง คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอาจประกอบด้วยบุคคลมากกว่าหนึ่งคนก็ได้ คำว่า “คนสองคน” จึงขออนุญาตเก็บไว้ใช้ในโอกาสอื่นๆ ที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับกฎหมายจะดีกว่ากลับมาที่สัญญาซื้อขายและสัญญาแลกเปลี่ยนกันอีกครั้งค่ะ  เมื่อปรากฏว่าสัญญาแลกเปลี่ยน คือการแลกเปลี่ยนระหว่างสิ่งของกับสิ่งของ และสัญญาซื้อขาย คือการแลกเปลี่ยนระหว่างสิ่งของกับเงินแล้วทราบไหมคะว่า สิ่งของอะไรในโลกนี้ที่สามารถใช้แลกกับเงินได้บ้าง?ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 ระบุประเภทของทรัพย์ที่สามารถทำสัญญาซื้อขาย ได้แก่ “อสังหาริมทรัพย์” และ “สังหาริมทรัพย์”อสังหาริมทรัพย์ (มาตรา 139) หมายถึง ที่ดินและทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร หรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้น และหมายความรวมถึงทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับที่ดิน หรือทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดิน หรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้นด้วย ตัวอย่างเช่น ไม้ยืนต้น โรงเรือน อาคาร สิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน แร่ธาตุ กรวด หิน ดิน ทรายขณะยังอยู่ในที่ดิน (ไม่ใช่ขุดออกมาแล้ว) ส่วนทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับที่ดิน เช่น กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่มีโฉนด สิทธิครอบครอง ภาระจำยอม สิทธิอาศัย ส่วนไม้ล้มลุก หรือทรัพย์อื่นๆซึ่งติดกับที่ดินเพียงชั่วคราวไม่ถือเป็นอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรานี้ทรัพย์ที่อาจทำการซื้อขายได้อีกประเภทหนึ่งคือ สังหาริมทรัพย์ (มาตรา 140) หมายถึงทรัพย์สิน “อื่น” นอกจากอสังหาริมทรัพย์ และหมายความรวมถึงสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นด้วย ส่วนทรัพย์ที่ไม่สามารถทำสัญญาซื้อขาย ได้แก่ “ทรัพย์นอกพาณิชย์” (มาตรา 143)  ซึ่ง หมายถึงทรัพย์ที่ไม่สามารถถือเอาได้ และทรัพย์ที่โอนแก่กันมิได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หรือทรัพย์สินอื่นซึ่งมีข้อกำหนดห้ามโอนตามมาตรา 1700 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในการทำสัญญาซื้อขาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 458 กำหนดว่า กรรมสิทธิในทรัพย์สินที่ขายนั้นย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกันพูดแบบนี้อาจทำให้เข้าใจไปได้ว่า เพียงแค่เอ่ยปากเจรจาตกลงทำสัญญาซื้อขาย กรรมสิทธิในทรัพย์ที่ขายนั้นก็จะตกเป็นของผู้ซื้อทันทีโดยไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นอีก  เกือบจะใช่ แต่ก็ยังไม่ใช่เสียทีเดียวค่ะที่จริงแล้ว ในการทำสัญญาซื้อขาย กรรมสิทธิในทรัพย์นั้นจะโอนไปยังผู้ซื้อโดยสมบูรณ์หรือไม่  ขึ้นอยู่กับว่า ทรัพย์ที่ซื้อขายกันนั้นเป็นทรัพย์ชนิดใด และต้องดูด้วยว่าผู้ซื้อผู้ขายได้ทำสัญญากันถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่กล่าวคือ ถ้าเป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป แพ และสัตว์พาหนะ ถ้าไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายนั้นตกเป็นโมฆะ คือสิ้นผลไปทั้งหมด กรรมสิทธิไม่โอนไปยังผู้ซื้อส่วนการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดแบบไว้ โดยปกติเพียงแค่ตกปากรับคำซื้อขาย กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ซื้อขายย่อมโอนไปเป็นของผู้ซื้อทันที เว้นแต่คู่กรณีจะได้ระบุเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไว้เป็นอย่างอื่น ตัวอย่างเช่น  คำพิพากษาฎีกาที่ 60/2524 รถยนต์ไม่ใช่ทรัพย์ที่อยู่ในบังคับตามมาตรา 456 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อแต่ขณะทำสัญญาซื้อขายกันโดยมิต้องไปโอนทะเบียน ส่วนการโอนทะเบียนรถยนต์ตามกฎหมาย เกี่ยวกับทะเบียนรถยนต์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่จะควบคุมยานพาหนะและภาษีรถยนต์ มิใช่แบบของนิติกรรมแต่อย่างใดคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 802/2546 จำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์พิพาทมาจากจำเลยที่ 2 โดยชำระราคาด้วยเช็คหลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้ขายรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ชำระราคาครบถ้วนและได้รับมอบรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้ว แม้เช็คที่จำเลยที่ 1 ชำระราคารถยนต์พิพาทถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน การซื้อขายรถยนต์พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์โอนไปยังจำเลยที่ 1 ผู้ซื้อตั้งแต่ขณะที่เมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 458 ส่วนการชำระราคาไม่ใช่เงื่อนไขในการโอนกรรมสิทธิ์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6289/2549 ข้อความในหนังสือสัญญาซื้อขาย แม้จะระบุว่าผู้ขายได้รับชำระค่ามัดจำเป็นเงินจำนวนหนึ่งและยอมให้ผู้ซื้อชำระราคาที่เหลือภายใน 1 ปี พร้อมกับการส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายก็ตาม แต่ก็ไม่มีข้อความตอนใดที่แสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่าหากผู้ซื้อชำระราคาครบถ้วนแล้ว ผู้ซื้อและผู้ขายจะไปทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในภายหลังต่อไป หนังสือสัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดจึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่อาจนำหนังสือสัญญาซื้อขายมาฟ้องบังคับให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินพิพาทได้

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม